“โบสถ์เซนต์จอร์จ” (The Church of St. George) สถาปัตยกรรมสุดแปลกและน่าพิศวงที่มีอยู่ในโลก

เผยแพร่วันพฤหัสที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2562

โบสถ์ Bete Giyorgis ของนิกาย Orthodox ในเอธิโอเปีย ถ่ายเมื่อปี 2012 (ภาพจาก CARL DE SOUZA / AFP)

ในบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ของโลก (กลุ่มสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์) อันกระจายอยู่หลายทวีป มีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการมากมาย โบสถ์เซนต์จอร์จ ในเอธิโอเปียอาจไม่ได้จัดอยู่ในสถานที่ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ แต่อย่างน้อยกระบวนการก่อสร้างในยุคโบราณก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้สิ่งก่อสร้างอื่น

โบสถ์แห่งเซนต์จอร์จ หรือเป็นที่รู้จักในนาม Bet Giyorgis ในภาษา Amharic (ภาษาท้องถิ่น) ตั้งอยู่ที่เมืองเก่าแก่ “ลาลิเบล่า” (Lalibela) ในประเทศเอธิโอเปีย เรียกได้ว่าเป็นเพชรน้ำงามของเมืองหรืออาจของประเทศเอธิโอเปียด้วยซ้ำ

 
โบสถ์เซนต์จอร์จ” (The Church of St. George) หนึ่งในสถาปัตยกรรมสุดแปลกและน่าพิศวงที่มีอยู่ในโลก ตั้งอยู่ที่เมืองลาลิเบลา ประเทศเอธิโอเปีย ที่นี่เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์แหล่งความเชื่อและความศรัทธาของผู้นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศเอธิโอเปีย มีชื่อดั้งเดิมคือ “โรฮา” ด้านความโดดเด่นและน่าตื่นตะลึงใจอยู่ที่โครงสร้างของโบสถ์นั้นอยู่ที่ใต้ดิน มีการก่อสร้างจากการแกะสลักหินตั้งแต่ในอดีต

โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นจากวัตถุดิบที่เป็นหินลาวาแดงขนาดใหญ่ มีเรื่องเล่าต่อกันมาในท้องถิ่นว่าโบสถ์นี้เป็นหนึ่งใน 11 สิ่งก่อสร้างที่แกะสกัดจากหิน โดยนักวิชาการเชื่อว่า การก่อสร้างตามพระประสงค์ที่พิเศษนี้อาจใช้แรงงานไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นราย ตามตำนานเล่ากันว่า พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากเทพทำให้ก่อสร้างเสร็จ สิ่งก่อสร้างนี้ได้รับบรรจุเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อ ค.ศ. 1978

ชื่อของลาลิเบล่า ถูกเชื่อมโยงกับประวัติความเป็นมาจากกษัตริย์ Gebre Mesqel Lalibela ผู้นำในศตวรรษที่ 13 (บางตำราว่าศตวรรษที่ 12)แห่งอาณาจักร Zagwe  เขาต้องการสร้างโบสถ์แห่งคริสตจักรให้คล้ายกับกรุงเยรูซาเล็ม โดยแบ่งแนวคิดเป็นเยรูซาเล็มบนโลกกับเยรูซาเล็มบนสวรรค์ ผู้คนในนิกายยังแต่งตัวด้วยชุดขาวมาทำพิธี จนดูเหมือนเป็นลัทธิและมีมนต์ขลัง ซึ่งโบสถ์เซนต์จอร์จมีบรรรยากาศและสถาปัตยกรรมอันแปลกไม่เหมือนใครจนได้เป็นหนึ่งใน “หนึ่งใน 8 สิ่งน่าสงสัยที่สุดในโลก” และเป็นหนึ่งในมรดกโลก
ซึ่งเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาบอกเล่าว่า ยุคของพระองค์สร้างโบสถ์ 11 แห่งหลังจากพระองค์รับบัญชาจากพระเจ้าให้สร้าง “เยรูซาเล็มแห่งใหม่” (New Jerusalem)

เครดิต : wikipedia.org

ก่อนหน้าที่จะมีถนนในค.ศ. 1955 นักเดินทางต้องเดินทางหลายวันเพื่อเข้าถึงลาลิเบล่า แต่การได้สัมผัสสิ่งก่อสร้างที่อยู่ใต้ผิวดินถึงลงไป 30 เมตร และโบสถ์อีก 10 แห่งที่ทั้งอยู่ภายใต้คูลึก หรือตั้งในถ้ำของเหมืองหิน บางแห่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินคดเคี้ยวและอุโมงค์ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติและชาวเอธิโอเปียส่วนใหญ่ที่นับถือนิกายออร์โธดอกซ์ (Orthodox) อันเป็นศาสนาที่มีผู้รับถือมากที่สุดในประเทศ

โบสถ์แห่งนี้มีฐานเสา 3 ชั้น ตัวอาคารมีลักษณะเป็นรูปกากบาทสไตล์กรีก สูง 15 เมตร ตั้งอยู่ในหลุมลึกต่ำกว่าระดับผิวดินประมาณ 30 เมตร มีคูลึกล้อมรอบตัวอาคาร บนตัวอาคารมีหน้าต่างแกะเป็นทรงกากบาท งานออกแบบแสดงให้เห็นถึงลักษณะอันหรูหรา วิธีที่จะเดินทางเข้าไปถึงพื้นสนามที่ล้อมรอบอาคารแห่งนี้ต้องเดินทางผ่านบันไดและอุโมงค์เท่านั้น


อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่า องค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างที่เป็นหินนั้น ทำให้อาคารเสี่ยงถูกกัดกร่อนจากฝนที่มักตกอย่างหนักในฤดูฝนของเอธิโอเปีย ด้วยเหตุนี้ จึงมีการสร้างที่กำบังจากกลุ่มอิตาเลียนขึ้นเมื่อปี 2008

นักอนุรักษ์เชื่อว่า ที่กำบังซึ่งช่วยให้อาคารพ้นจากการตกต้องน้ำฝนนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตัวอาคาร อย่างไรก็ตาม หลังคาที่กำบังนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเพิกเฉยที่พวกเขาต้องอดทนรับมือ คนในท้องที่กังวลว่า หากหลังคาพังลงมาเมื่อถูกลมพายุรุนแรงอาจทำให้อาคารโบราณพังทลายลง นอกจากนี้ บางรายยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า หลังคาแบบอิตาเลียนนั้นดูอัปลักษณ์สิ้นดี และเหมือนเป็นกรรมเวรอีกครั้งจากความขัดแย้งระหว่างเอธิโอเปียกับอิตาลี

ขณะที่นักบวชและผู้เข้ามาสวดภาวนาในอาคารเป็นประจำร้องเรียนว่า เสาหลักของโครงสร้างหลังคาที่กำบังทำให้ห้องสวดมนต์ใต้ดินเสียหาย (ห้องสวดมนต์ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะ) โดยหลังคาของห้องเริ่มแตกร้าวเนื่องจากแบกรับน้ำหนักเสา
แต่ Hailu Zeleke Woldetsadik ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของหน่วยงานด้านวิจัยและอนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า ยืนยันว่าไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงต่างๆ พร้อมปฏิเสธเรื่องความเสียหายต่อห้องสวดมนต์ โดยระบุว่า โครงสร้างที่กำบังอาคารนั้นถูกออกแบบมาให้ลู่เอนไปตามภาวะลมแรง และใช้งานได้อย่างแข็งแรงตลอดระยะเวลารับประกันนาน 10 ปี

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางเข้าเยี่ยมชมอาคารโบราณแห่งนี้ แนะนำว่า ให้เดินทางไปช่วงเดือนมกราคมระหว่างที่มีเทศกาล “ทิมกัต” (Timkat) การเฉลิมฉลองวันสำคัญของพระเยซู ช่วงเวลานี้จะสามารถสัมผัสบรรยากาศแบบชาวคริสเตียนที่อบอวลไปด้วยความเชื่อความศรัทธา

อ้างอิง:
Osman, Jheni. The World’s Great Wonders. Lonely Planet Publications PTY LTD, 2014
Stein, Chris. Macron Ethiopia visit raises hopes for ancient stone-carved churches. AFP. Published 11 MAR 2019.
silpa-mag.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่