ที่จริงคิดอยู่นานว่าจะเอามาเล่าดีไหม เพราะเป็นทริปที่ไปมาเกือบปีแล้ว
และมีคนให้ข้อมูลที่เยอะกว่า ดีกว่า เกี่ยวกับการปีนภูเขาไฟฟูจิ
แต่ก็คิดว่า อยากแบ่งปันความรู้สึก ประสบการณ์ และเป็นขวัญกำลังใจแก่คนที่ลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ไปดีก็แล้วกัน
เล่าเยอะ รูปน้อย ><
ขอย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อตอนเรียนมหา'ลัย (ประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้ว โคตรนาน)
ตอนนั้นดูรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เค้าพาไปเที่ยวบนยอดภูเขาไฟฟูจิ แล้วก็บอกว่า
"เนี่ย เราสามารถส่งจดหมายหรือโปสการ์ดจากยอดเขาฟูจิมาที่บ้านเราได้ด้วยนะ
มีไปรษณีย์อยู่ข้างบน ประทับตราเสร็จสรรพ"
ตอนนั้นเราก็บ้าส่งโปสการ์ด เลยรู้สึกว่า
"โคตรคูล"
แต่ตอนนั้นเป็นเด็กน้อยโลกแคบ เงินก็ไม่มี เลยเก็บความฝันเอาไว้ในใจ
จนกระทั่งสังขารเริ่มร่วงโรย ก็เริ่มคิดว่า ถ้าไม่ไปก่อนอายุ 40 ก็คงหมดแรงปีน
ประจวบเหมาะเคราะห์ดี เลยชวนคุณสามีขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
(ตอนชวนก็คิดนะ ว่าจะยอมไปไหม ไปแล้วจะบ่นไหม แต่สุดท้ายก็ยอมไปด้วยกัน)
แต่การขึ้นฟูจิ ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องง่าย
ด้วยสภาพร่างกายที่ห่างหายการออกกำลังกายไปเกือบสิบปี จึงต้องกลับมาฟิตอีกครั้ง
สุดท้ายตัดสินใจ "วิ่ง"
เดือนแรกของการวิ่ง
เป็นเดือนที่ทรมาน สิ่งที่ยากกว่าการวิ่ง คือการเอาตัวเองมาวิ่ง
โชคดีที่มีวันหยุดเยอะ งานไม่เยอะมาก เลยได้มาวิ่งเกือบทุกวัน
คนเดียวบ้าง มีเพื่อนมาบ้าง
เดือนที่สองของการวิ่ง สามารถวิ่งได้ 4 กม. สมดังที่ตั้งใจ
จะบอกว่าไม่ง่ายเลยนะ วินาทีที่ผ่าน 4 กม. ได้ดีใจมาก
มันเหมือนเราเอาชนะใจตัวเองได้
เดือนที่สาม งานเริ่มถาโถม แต่ยังพาตัวเองมาวิ่งได้อยู่บ้าง
เดือนที่สี่ ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนไปฟูจิ ชีวิตแย่มาก
ไม่ได้วิ่ง นอนน้อย งานหนัก กลับบ้านไม่ต่ำกว่า สี่ห้าทุ่ม (เวลานี้คือไว)
มาทำงานเสาร์-อาทิตย์ตลอด งานจัดวันศุกร์ที่ 13 ก.ค. 61 เราบินวันที่ 14
เรียกว่าไปญี่ปุ่นแบบแพนด้ากลับบ้านเกิด (นั่นจีน)
ตอนนั้นคิดเลยนะ ว่าจะรอดไหม จะขึ้นได้หรือเปล่า
น้ำหนักตอนนั้น 48 กก. ทีแรกก่อนงานเข้าแบบถาโถม อยู่ที่ประมาณ 50 กก. หน่อยๆ
เรียกว่าลดเพราะงานโดยแท้
แต่สุดท้ายก็ได้ไป
---------------------------------------------
14 July
เราสองคนอยากให้ทริปนี้เป็นทริปของฟูจิอย่างแท้ทรู จึงตัดสินใจจ่ายแพงขึ้น ด้วยการจองที่นั่งฝั่งที่เห็นฟูจิ
ทีแรกก็คิดกันว่า จะหลับไหม จะมีเมฆหรือเปล่า แต่สุดท้าย ก็เห็นยอดแหลมๆ โผล่พ้น มวลหมู่เมฆ
วินาทีนั้นรู้สึกว่า
"จะไปยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้"
ลงจากเครื่องที่สนามบินนาริตะ ก็ออกเที่ยวเลยจ้า
สิ่งที่คิด "เที่ยวเบาๆ ถนอมขา"
สิ่งที่เป็น "เดินตั้งแต่วันแรกเลยจ้า"
ครั้งนี้ไปพักที่อูเอโนะที่เดียว แต่ยอมพักโรงแรมที่ใกล้สถานีที่สุด
เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า หลังจากลงจากฟูจิแล้วสภาพเท้าและขาจะเป็นอย่างไร
พอเก็บของอะไรเรียบร้อย ก็ไปเที่ยวที่อาซากุสะ
จากนั้นเราควรจะเดินไปที่สถานีรถไฟแล้วไปที่สถานีโตเกียวสกายทรี
แต่พอแหงนหน้ามองโตเกียวสกายทรี
เหมือนอยู่ไม่ไกลโนะ จึงตัดสินใจเดินแบบไม่เปิด Google map
สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสุมิดะ
เห็นโตเกียวสกายทรีอยู่ฝั่งตรงข้ามไกลๆ นึกได้ตอนนั้นว่า
"ไม่น่าเดินเลยยยย"
มองไปซ้ายขวา มีสะพานข้ามไป เลยตัดสินใจไปสะพานสีแดง
รู้ตอนหลังว่าชื่อ อาซุมะบาชิ (Azumabashi Bridge)
เป็นสะพานยอดนิยมที่คนมาถ่ายรูป
เรายืนดูแม่น้ำสุมิดะด้วยความชื่นชม
โคตรสะอาด โคตรสวย อยากให้เจ้าพระยาเป็นอย่างนี้บ้างจัง
แต่สามียืนมองอาคารเบียร์อาซาฮีด้วยความชื่นชมเช่นกัน
คิดว่านางมองแล้วคงคิดไปไกลว่า ตัวเองได้กินเบียร์ ๕๕๕
[อาคารเบียร์อาซาฮี (Asahi Beer Tower) จำลองสถาปัตยกรรมให้เหมือนแก้วเบียร์
กรุผนังอาคารด้วยกระจกสีทอง และมีฟองด้านบน
ส่วนอาคารสีดำข้างๆ ชื่อว่า ซูเปอร์ดายฮอล์ (Super Dry Hall) เป็นอาคารที่ด้านบนมีเปลวไฟสีทอง
(แต่อ่านในเว็บเค้าบอกว่าคนญี่ปุ่นบางคนเรียกว่าอุนจิสีทอง)
จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงโตเกียวสกายทรี ก็เย็นพอดี
วิวจากโตเกียวสกายทรี
15-16 July
ตามแผนการเดินทางของเรา จะขึ้นรถบัสไฮเวย์เที่ยวที่สองของวัน (9.35 น.)
และไปถึงที่สถานที่ที่ 5 ตอนเที่ยงนิดๆ (ที่จริงจะจองเที่ยว 9.00 แต่พลาด ตัดสินใจช้าไป รถเต็ม)
แต่เอาเข้าจริง รถติดจ้าาาาาา ติดบนทางด่วน เหมือนกรุงเทพฯ เลย เศร้าแป๊บ
เลยขอบอกทุกคนไว้เลยว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจวันเสาร์-อาทิตย์
เพราะใครๆ ก็ออกไปเที่ยวกัน
กว่าจะถึงสถานีที่ 5 ปาไปบ่ายโมงกว่า ต้องกินข้าว เปลี่ยนชุด เตรียมขึ้นเขา
ซื้อไม้ค้ำไว้ประทับตราบนเขาเก็บของในล็อกเกอร์
(เราเช่าชุดปีนเขาไว้ ตรงนี้ลืมเล่าให้เขามาส่งที่โรงแรมที่พักเมื่อคืน
ในเซ็ตที่เราจองมีชุดกันฝน ไม้เท้า (จำเป็นมาก) รองเท้า (เป็นไปได้ซื้อเองเหอะ ให้เข้ากับเท้าเรา)
ไฟฉายคาดหัว (จำเป็นสุดๆ) ส่วนที่เอาไปเองคือ เสื้อกันหนาว ฮีทเทค ถุงเท้า
เป้สะพายหลังแบบซัพพอร์ทหลัง (อันนี้ซื้อดีไปเลย เรารอดตายเพราะเป้ดี)
เอ้า ปาไปเกือบบ่ายสอง แต่ก็ยังพอลัลล้าอยู่ได้นะ
จากสถานีที่ 5 มาสถานีที่ 6 เดินขึ้นทางชัน มีต้นไม้เขียว แต่ก็ยังชิลล์อยู่
ควักกล้อง DSLR ขึ้นมาถ่าย ใช่แล้ว ทุกคนอ่านไม่ผิด เราแบกกล้อง DSLR ขึ้นเขา
ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไม้กระทับตราเป็นภาระ
คือมีไม้เท้าปีนเขาที่ทรงประสิทธิภาพสองอัน มันไม่ควรจะมีอะไรที่อยู่ในมืออีกแล้ว
ขอบอกทุกคนว่า มันมีอันน้อย ที่พกพาง่าย จงไปซื้ออันนั้นมาประทับซะ
แต่ตอนนี้ก็ยังยิ้มได้ เอากล้องคาดไว้กับตัว เดินชิลล์
พอถึงสถานีที่ 6 เขามีป้ายไม้ให้ซื้อ สลักคำว่า "Mt.Fuji 2018"
แต่ก็ไม่ได้ซื้อมา เพราะว่าคิดว่าจะซื้อขากลับ แต่เฮลโหลลล ขึ้น-ลง คนละทาง งานนี้อดจ้า
ระหว่างทางจากสถานี 5 ไป 6 เจอคนเดินสวนลงมา แต่ละคนอ่อนระโหยโรยแรง
บางคนเปื้อนฝุ่น เปื้อนโคลน ก็คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะ
พอจากสถานีที่ 6 ไป 7 มองขึ้นไป เป็นอย่างที่เค้ารีวิวกันเลย
มันซิกแซกมากกกก ระยะทางขึ้นเขาอีก 5 กม.
ฟังดูเหมือนนิดเดียว
แต่...
ทางซิกแซกไม่ง่ายอย่างที่คิด เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนเดินอยู่กับที่
ไม่หมด ไม่หยุดสักที ทีนี้มีวิกฤตไง คุณสามีอยากเข้าห้องน้ำ
เป็นช่วงเวลาที่กลับตัวก็ไม่ได้ (มีห้องน้ำตรงสถานีที่ 6)
ให้เดินต่อไปก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง แต่ฮีก็ยอมเดินขึ้นไป เดินขึ้นไป
แรกๆ ที่บอกให้สามีเดินไปก่อน เพราะเราหยุดถ่ายรูปบ้าง อะไรบ้าง
สุดท้ายก็เดินไปจนถึงสถานีที่ 7
เจอจุดประทับตราที่แรก แต่ไม่เจอห้องน้ำ OMG
พอถามเจ้าของบ้านพัก (ที่ปั๊มตราด้วย) เขาก็บอกว่า ที่นี่ไม่มี
แต่ข้างบนอาจจะมี ไม่แน่ใจเหมือนกัน
สรุปแล้วคือ เดินขึ้นไปอีกนิดก็เจอห้องน้ำ เราก็ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย
เป็นช่วงที่อัพ fb ได้ตลอดๆ (ความจริงคือเนียนพัก)
วิวมองลงไป สวยมาก สวยจนคิดว่า
"ทำไมเราต้องรีบเดินฟร่ะ"
เห็นทะเลสาบที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิที่ดูเล็กนิดเดียว
แต่ความจริงมันใหญ่มากที่จริงแถวนี้เราอยากจะชิลล์ถ่ายรูปอีกนิด แต่ก็ทำไม่ได้
เรามองขึ้นไป เห็นเสาโทริอิไกลๆ คิดเอาไว้ "นั่นคือที่พักของเรา" เป็นความหวังที่จะได้พักของเรา
เอ้า เดินก็เดิน ทางเริ่มชัน บางช่วงต้องปีน อีไม้ที่ซื้อมาประทับตราก็เกะกะมาก
เป้สะพายหลังก็ถ่วงน้ำหนักเหลือเกิน
เป้เราหนักกว่าเป้สามีอยู่เยอะ แต่ฮีบอกว่า เอามาต้องรับผิดชอบตัวเอง ><
เจอเด็กเหมือนกัน ในรีวิวบอกว่า เด็กคนแก่เดินซาบ๊ายยยยย บอกเลยว่า หลอกลวง!!!
จังหวะที่เรานั่งหอบอยู่ได้ยินเสียงเด็ก
สามี "เด็กยังเดินได้เลย อายเด็กไหม"
เรา "ไม่อาย มันเหนื่อยนี่"
สักพักนึงเด็กเดินขึ้นมานั่งใกล้ๆ แล้วหอบ
เรามองตากับเด็ก ประมาณว่า "รู้นะว่าเหนื่อย"
เด็กก็มองประมาณว่า "ป้าก็เหนื่อยเหมือนกันใช่ไหม"
สรุปว่า ใครขึ้นมาก็เหนื่อย ถ้าฟิตไม่พอ (ป.ล. เจอเด็กร้องไห้ด้วย)
เดินไปเรื่อยๆ ทีนี้เกิดวิกฤตที่ 2 ขอเล่าก่อนว่าทางจุดนี้เป็นทางขึ้น บางจังหวะต้องก้าวยาวมากๆ
บางจังหวะต้องปีน เราต้องโยนไม้ แล้วใช้มือส่งตัวเองให้ขึ้นไป ทีนี้พอเกร็งกล้ามเนื้อที่ขามากๆ
คุณผู้ชายเป็นตะคริวที่ขาเลยจ้า นาทีนั้นก็แอบรู้สึกผิดนะ ว่าพาสามีมาลำบาก
ตอนนั้นสามีเริ่มถามแล้วว่า "เมื่อไหร่จะถึงที่พัก"
เราก็ยังยืนยันคำเดิมว่า "เสาโทริอิสีแดงนั่นไง"
แล้วเปิดรูปให้ดู
สามี "มันขาวไม่ใช่เหรอ ในรูปอะ"
เรา "เอ้ย สีมันจางมั้ง สีเพี้ยนอะ มันอยู่มานานคงมีลอกบ้าง"
สุดท้ายช่วงประมาณเกือบทุ่ม เราก็มาถึงเสาโทริอิสีแดงจนได้
ไชโย ที่พักของเราาาาาา
แต่พอมาถึง บ้านพักไม่ใช่ชื่อนี้ เราจอง ganso maru ไว้
แต่นี่ไม่ใช่ เริ่มงงแระ
พอถามเจ้าของบ้านพัก
เค้าบอกว่านี่ไม่ใช่เลย ยังไม่ถึงสถานีที่ 8 เลยจ้า
แล้วอันนี้ คือ เสาแดง ที่เราหาอยู่คือ เสาขาว
ตอนนั้น ขาแทบทรุด
แต่ก็ต้องเดินต่อ สามีเริ่มแบบ "ไม่ไหวแล้วนะ"
จากคำบอกเล่าของเจ้าของที่พักตรงเสาแดง เค้าบอกว่าขึ้นไปอีกประมาณ 5 หลัง
แต่พี่บัวลอย มันช่างชัน สูง และไกล
พอขึ้นไปสักพัก ฟ้าเริ่มมืด ไม่มีแสงไฟ ผู้คนเริ่มหยุดตรงที่พักของตัวเอง
คุณสามีก็เริ่มหน้าแย่ บอกไปไม่ไหวแล้ว เราเลยแบบ เอ้า ขึ้นไปตรงนั้น ถ้าไม่ใช่ที่พักก็จะขอพักละนะ
แต่ทางที่เดินขึ้นไปก็ไม่ใช่ง่าย คิดสภาพคนสองคนที่โหมงานหนัก แบกเป้ใบยักษ์ ขึ้นเขาตอนมืดๆ
มีเพียงแสงไฟจากไฟฉายคาดหัวอากาศข้างบนก็น้อยลง เบางลงทุกที
นี่ก็เดินไปพักไป มีอยู่จังหวะนึงเหมือนกันที่คิดว่า เราจะเอาชีวิตเราและสามีมาทิ้งที่ฟูเขาไฟฟูจิ เพราะความฝันบ้าๆ หรือเปล่านะ
แต่พอนั่งพักสักพักนึง มองลงไปจากภูเขา เห็นแสงไฟจากด้านล่าง เห็นดาวจากข้างบน
มันเป็นวิวที่แบบสวยมากกกกกก เป็นวิวประเภทที่มีแต่คนที่มาที่นี่เท่านั้นที่จะเข้าใจ
ในนาทีนั้นก็มีแรงฮึด ประมาณว่า "เอาวะ เดินต่อ"
พอถึงฮัทต่อมา เรารู้แล้วล่ะ ว่าไม่ใช่ที่พักเรา แต่ก็ขอพัก จากนั้นก็ขอเค้าโทรไปหาที่พักที่จองไว้
และขอโทษเค้าพร้อมกับบอกว่า เราไปไม่ไหวจริงๆ
ที่พักของที่นี่เป็นไปอย่างที่ทุกคนเขียนไว้ คือ เป็นที่ที่ให้ซุกหัวนอน แล้วนอนเรียงกันเป็นปลาทูแม่กลอง
ระหว่างเดินไปที่ที่พัก พนักงานก็บอกให้เราเงียบๆ เพราะทุกคนพักผ่อนกันหมดแล้ว แต่ความจริงเสียงเดินกับเสียงเก็บของก็ใช่ว่าจะเบา
(เราไม่ได้ถ่ายรูปที่พักไว้นะคะ มันเหนื่อยและล้าสุดๆ กล้ามเนื้อทุกส่วนประท้วงมาก)
เมื่อสาวออฟฟิศวัยเกือบ 40 อยากปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิ #ทริปปี2018
และมีคนให้ข้อมูลที่เยอะกว่า ดีกว่า เกี่ยวกับการปีนภูเขาไฟฟูจิ
แต่ก็คิดว่า อยากแบ่งปันความรู้สึก ประสบการณ์ และเป็นขวัญกำลังใจแก่คนที่ลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ไปดีก็แล้วกัน
เล่าเยอะ รูปน้อย ><
ขอย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อตอนเรียนมหา'ลัย (ประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้ว โคตรนาน)
ตอนนั้นดูรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เค้าพาไปเที่ยวบนยอดภูเขาไฟฟูจิ แล้วก็บอกว่า
"เนี่ย เราสามารถส่งจดหมายหรือโปสการ์ดจากยอดเขาฟูจิมาที่บ้านเราได้ด้วยนะ
มีไปรษณีย์อยู่ข้างบน ประทับตราเสร็จสรรพ"
ตอนนั้นเราก็บ้าส่งโปสการ์ด เลยรู้สึกว่า "โคตรคูล"
แต่ตอนนั้นเป็นเด็กน้อยโลกแคบ เงินก็ไม่มี เลยเก็บความฝันเอาไว้ในใจ
จนกระทั่งสังขารเริ่มร่วงโรย ก็เริ่มคิดว่า ถ้าไม่ไปก่อนอายุ 40 ก็คงหมดแรงปีน
ประจวบเหมาะเคราะห์ดี เลยชวนคุณสามีขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
(ตอนชวนก็คิดนะ ว่าจะยอมไปไหม ไปแล้วจะบ่นไหม แต่สุดท้ายก็ยอมไปด้วยกัน)
แต่การขึ้นฟูจิ ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องง่าย
ด้วยสภาพร่างกายที่ห่างหายการออกกำลังกายไปเกือบสิบปี จึงต้องกลับมาฟิตอีกครั้ง
สุดท้ายตัดสินใจ "วิ่ง"
เดือนแรกของการวิ่ง
เป็นเดือนที่ทรมาน สิ่งที่ยากกว่าการวิ่ง คือการเอาตัวเองมาวิ่ง
โชคดีที่มีวันหยุดเยอะ งานไม่เยอะมาก เลยได้มาวิ่งเกือบทุกวัน
คนเดียวบ้าง มีเพื่อนมาบ้าง
เดือนที่สองของการวิ่ง สามารถวิ่งได้ 4 กม. สมดังที่ตั้งใจ
จะบอกว่าไม่ง่ายเลยนะ วินาทีที่ผ่าน 4 กม. ได้ดีใจมาก
มันเหมือนเราเอาชนะใจตัวเองได้
เดือนที่สาม งานเริ่มถาโถม แต่ยังพาตัวเองมาวิ่งได้อยู่บ้าง
เดือนที่สี่ ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนไปฟูจิ ชีวิตแย่มาก
ไม่ได้วิ่ง นอนน้อย งานหนัก กลับบ้านไม่ต่ำกว่า สี่ห้าทุ่ม (เวลานี้คือไว)
มาทำงานเสาร์-อาทิตย์ตลอด งานจัดวันศุกร์ที่ 13 ก.ค. 61 เราบินวันที่ 14
เรียกว่าไปญี่ปุ่นแบบแพนด้ากลับบ้านเกิด (นั่นจีน)
ตอนนั้นคิดเลยนะ ว่าจะรอดไหม จะขึ้นได้หรือเปล่า
น้ำหนักตอนนั้น 48 กก. ทีแรกก่อนงานเข้าแบบถาโถม อยู่ที่ประมาณ 50 กก. หน่อยๆ
เรียกว่าลดเพราะงานโดยแท้
แต่สุดท้ายก็ได้ไป
---------------------------------------------
14 July
เราสองคนอยากให้ทริปนี้เป็นทริปของฟูจิอย่างแท้ทรู จึงตัดสินใจจ่ายแพงขึ้น ด้วยการจองที่นั่งฝั่งที่เห็นฟูจิ
ทีแรกก็คิดกันว่า จะหลับไหม จะมีเมฆหรือเปล่า แต่สุดท้าย ก็เห็นยอดแหลมๆ โผล่พ้น มวลหมู่เมฆ
วินาทีนั้นรู้สึกว่า "จะไปยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้"
ลงจากเครื่องที่สนามบินนาริตะ ก็ออกเที่ยวเลยจ้า
สิ่งที่คิด "เที่ยวเบาๆ ถนอมขา"
สิ่งที่เป็น "เดินตั้งแต่วันแรกเลยจ้า"
ครั้งนี้ไปพักที่อูเอโนะที่เดียว แต่ยอมพักโรงแรมที่ใกล้สถานีที่สุด
เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า หลังจากลงจากฟูจิแล้วสภาพเท้าและขาจะเป็นอย่างไร
พอเก็บของอะไรเรียบร้อย ก็ไปเที่ยวที่อาซากุสะ
จากนั้นเราควรจะเดินไปที่สถานีรถไฟแล้วไปที่สถานีโตเกียวสกายทรี
แต่พอแหงนหน้ามองโตเกียวสกายทรี
เหมือนอยู่ไม่ไกลโนะ จึงตัดสินใจเดินแบบไม่เปิด Google map
สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสุมิดะ
เห็นโตเกียวสกายทรีอยู่ฝั่งตรงข้ามไกลๆ นึกได้ตอนนั้นว่า
"ไม่น่าเดินเลยยยย"
มองไปซ้ายขวา มีสะพานข้ามไป เลยตัดสินใจไปสะพานสีแดง
รู้ตอนหลังว่าชื่อ อาซุมะบาชิ (Azumabashi Bridge)
เป็นสะพานยอดนิยมที่คนมาถ่ายรูป
เรายืนดูแม่น้ำสุมิดะด้วยความชื่นชม
โคตรสะอาด โคตรสวย อยากให้เจ้าพระยาเป็นอย่างนี้บ้างจัง
แต่สามียืนมองอาคารเบียร์อาซาฮีด้วยความชื่นชมเช่นกัน
คิดว่านางมองแล้วคงคิดไปไกลว่า ตัวเองได้กินเบียร์ ๕๕๕
[อาคารเบียร์อาซาฮี (Asahi Beer Tower) จำลองสถาปัตยกรรมให้เหมือนแก้วเบียร์
กรุผนังอาคารด้วยกระจกสีทอง และมีฟองด้านบน
ส่วนอาคารสีดำข้างๆ ชื่อว่า ซูเปอร์ดายฮอล์ (Super Dry Hall) เป็นอาคารที่ด้านบนมีเปลวไฟสีทอง
(แต่อ่านในเว็บเค้าบอกว่าคนญี่ปุ่นบางคนเรียกว่าอุนจิสีทอง)
จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงโตเกียวสกายทรี ก็เย็นพอดี
วิวจากโตเกียวสกายทรี
15-16 July
ตามแผนการเดินทางของเรา จะขึ้นรถบัสไฮเวย์เที่ยวที่สองของวัน (9.35 น.)
และไปถึงที่สถานที่ที่ 5 ตอนเที่ยงนิดๆ (ที่จริงจะจองเที่ยว 9.00 แต่พลาด ตัดสินใจช้าไป รถเต็ม)
แต่เอาเข้าจริง รถติดจ้าาาาาา ติดบนทางด่วน เหมือนกรุงเทพฯ เลย เศร้าแป๊บ
เลยขอบอกทุกคนไว้เลยว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจวันเสาร์-อาทิตย์
เพราะใครๆ ก็ออกไปเที่ยวกัน
กว่าจะถึงสถานีที่ 5 ปาไปบ่ายโมงกว่า ต้องกินข้าว เปลี่ยนชุด เตรียมขึ้นเขา
ซื้อไม้ค้ำไว้ประทับตราบนเขาเก็บของในล็อกเกอร์
(เราเช่าชุดปีนเขาไว้ ตรงนี้ลืมเล่าให้เขามาส่งที่โรงแรมที่พักเมื่อคืน
ในเซ็ตที่เราจองมีชุดกันฝน ไม้เท้า (จำเป็นมาก) รองเท้า (เป็นไปได้ซื้อเองเหอะ ให้เข้ากับเท้าเรา)
ไฟฉายคาดหัว (จำเป็นสุดๆ) ส่วนที่เอาไปเองคือ เสื้อกันหนาว ฮีทเทค ถุงเท้า
เป้สะพายหลังแบบซัพพอร์ทหลัง (อันนี้ซื้อดีไปเลย เรารอดตายเพราะเป้ดี)
เอ้า ปาไปเกือบบ่ายสอง แต่ก็ยังพอลัลล้าอยู่ได้นะ
จากสถานีที่ 5 มาสถานีที่ 6 เดินขึ้นทางชัน มีต้นไม้เขียว แต่ก็ยังชิลล์อยู่
ควักกล้อง DSLR ขึ้นมาถ่าย ใช่แล้ว ทุกคนอ่านไม่ผิด เราแบกกล้อง DSLR ขึ้นเขา
ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไม้กระทับตราเป็นภาระ
คือมีไม้เท้าปีนเขาที่ทรงประสิทธิภาพสองอัน มันไม่ควรจะมีอะไรที่อยู่ในมืออีกแล้ว
ขอบอกทุกคนว่า มันมีอันน้อย ที่พกพาง่าย จงไปซื้ออันนั้นมาประทับซะ
แต่ตอนนี้ก็ยังยิ้มได้ เอากล้องคาดไว้กับตัว เดินชิลล์
พอถึงสถานีที่ 6 เขามีป้ายไม้ให้ซื้อ สลักคำว่า "Mt.Fuji 2018"
แต่ก็ไม่ได้ซื้อมา เพราะว่าคิดว่าจะซื้อขากลับ แต่เฮลโหลลล ขึ้น-ลง คนละทาง งานนี้อดจ้า
ระหว่างทางจากสถานี 5 ไป 6 เจอคนเดินสวนลงมา แต่ละคนอ่อนระโหยโรยแรง
บางคนเปื้อนฝุ่น เปื้อนโคลน ก็คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะ
พอจากสถานีที่ 6 ไป 7 มองขึ้นไป เป็นอย่างที่เค้ารีวิวกันเลย
มันซิกแซกมากกกก ระยะทางขึ้นเขาอีก 5 กม.
ฟังดูเหมือนนิดเดียว
แต่...
ทางซิกแซกไม่ง่ายอย่างที่คิด เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนเดินอยู่กับที่
ไม่หมด ไม่หยุดสักที ทีนี้มีวิกฤตไง คุณสามีอยากเข้าห้องน้ำ
เป็นช่วงเวลาที่กลับตัวก็ไม่ได้ (มีห้องน้ำตรงสถานีที่ 6)
ให้เดินต่อไปก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง แต่ฮีก็ยอมเดินขึ้นไป เดินขึ้นไป
แรกๆ ที่บอกให้สามีเดินไปก่อน เพราะเราหยุดถ่ายรูปบ้าง อะไรบ้าง
สุดท้ายก็เดินไปจนถึงสถานีที่ 7
เจอจุดประทับตราที่แรก แต่ไม่เจอห้องน้ำ OMG
พอถามเจ้าของบ้านพัก (ที่ปั๊มตราด้วย) เขาก็บอกว่า ที่นี่ไม่มี
แต่ข้างบนอาจจะมี ไม่แน่ใจเหมือนกัน
สรุปแล้วคือ เดินขึ้นไปอีกนิดก็เจอห้องน้ำ เราก็ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย
เป็นช่วงที่อัพ fb ได้ตลอดๆ (ความจริงคือเนียนพัก)
วิวมองลงไป สวยมาก สวยจนคิดว่า "ทำไมเราต้องรีบเดินฟร่ะ"
เห็นทะเลสาบที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิที่ดูเล็กนิดเดียว
แต่ความจริงมันใหญ่มากที่จริงแถวนี้เราอยากจะชิลล์ถ่ายรูปอีกนิด แต่ก็ทำไม่ได้
เรามองขึ้นไป เห็นเสาโทริอิไกลๆ คิดเอาไว้ "นั่นคือที่พักของเรา" เป็นความหวังที่จะได้พักของเรา
เอ้า เดินก็เดิน ทางเริ่มชัน บางช่วงต้องปีน อีไม้ที่ซื้อมาประทับตราก็เกะกะมาก
เป้สะพายหลังก็ถ่วงน้ำหนักเหลือเกิน
เป้เราหนักกว่าเป้สามีอยู่เยอะ แต่ฮีบอกว่า เอามาต้องรับผิดชอบตัวเอง ><
เจอเด็กเหมือนกัน ในรีวิวบอกว่า เด็กคนแก่เดินซาบ๊ายยยยย บอกเลยว่า หลอกลวง!!!
จังหวะที่เรานั่งหอบอยู่ได้ยินเสียงเด็ก
สามี "เด็กยังเดินได้เลย อายเด็กไหม"
เรา "ไม่อาย มันเหนื่อยนี่"
สักพักนึงเด็กเดินขึ้นมานั่งใกล้ๆ แล้วหอบ
เรามองตากับเด็ก ประมาณว่า "รู้นะว่าเหนื่อย"
เด็กก็มองประมาณว่า "ป้าก็เหนื่อยเหมือนกันใช่ไหม"
สรุปว่า ใครขึ้นมาก็เหนื่อย ถ้าฟิตไม่พอ (ป.ล. เจอเด็กร้องไห้ด้วย)
เดินไปเรื่อยๆ ทีนี้เกิดวิกฤตที่ 2 ขอเล่าก่อนว่าทางจุดนี้เป็นทางขึ้น บางจังหวะต้องก้าวยาวมากๆ
บางจังหวะต้องปีน เราต้องโยนไม้ แล้วใช้มือส่งตัวเองให้ขึ้นไป ทีนี้พอเกร็งกล้ามเนื้อที่ขามากๆ
คุณผู้ชายเป็นตะคริวที่ขาเลยจ้า นาทีนั้นก็แอบรู้สึกผิดนะ ว่าพาสามีมาลำบาก
ตอนนั้นสามีเริ่มถามแล้วว่า "เมื่อไหร่จะถึงที่พัก"
เราก็ยังยืนยันคำเดิมว่า "เสาโทริอิสีแดงนั่นไง"
แล้วเปิดรูปให้ดู
สามี "มันขาวไม่ใช่เหรอ ในรูปอะ"
เรา "เอ้ย สีมันจางมั้ง สีเพี้ยนอะ มันอยู่มานานคงมีลอกบ้าง"
สุดท้ายช่วงประมาณเกือบทุ่ม เราก็มาถึงเสาโทริอิสีแดงจนได้
ไชโย ที่พักของเราาาาาา
แต่พอมาถึง บ้านพักไม่ใช่ชื่อนี้ เราจอง ganso maru ไว้
แต่นี่ไม่ใช่ เริ่มงงแระ
พอถามเจ้าของบ้านพัก
เค้าบอกว่านี่ไม่ใช่เลย ยังไม่ถึงสถานีที่ 8 เลยจ้า
แล้วอันนี้ คือ เสาแดง ที่เราหาอยู่คือ เสาขาว
ตอนนั้น ขาแทบทรุด
แต่ก็ต้องเดินต่อ สามีเริ่มแบบ "ไม่ไหวแล้วนะ"
จากคำบอกเล่าของเจ้าของที่พักตรงเสาแดง เค้าบอกว่าขึ้นไปอีกประมาณ 5 หลัง
แต่พี่บัวลอย มันช่างชัน สูง และไกล
พอขึ้นไปสักพัก ฟ้าเริ่มมืด ไม่มีแสงไฟ ผู้คนเริ่มหยุดตรงที่พักของตัวเอง
คุณสามีก็เริ่มหน้าแย่ บอกไปไม่ไหวแล้ว เราเลยแบบ เอ้า ขึ้นไปตรงนั้น ถ้าไม่ใช่ที่พักก็จะขอพักละนะ
แต่ทางที่เดินขึ้นไปก็ไม่ใช่ง่าย คิดสภาพคนสองคนที่โหมงานหนัก แบกเป้ใบยักษ์ ขึ้นเขาตอนมืดๆ
มีเพียงแสงไฟจากไฟฉายคาดหัวอากาศข้างบนก็น้อยลง เบางลงทุกที
นี่ก็เดินไปพักไป มีอยู่จังหวะนึงเหมือนกันที่คิดว่า เราจะเอาชีวิตเราและสามีมาทิ้งที่ฟูเขาไฟฟูจิ เพราะความฝันบ้าๆ หรือเปล่านะ
แต่พอนั่งพักสักพักนึง มองลงไปจากภูเขา เห็นแสงไฟจากด้านล่าง เห็นดาวจากข้างบน
มันเป็นวิวที่แบบสวยมากกกกกก เป็นวิวประเภทที่มีแต่คนที่มาที่นี่เท่านั้นที่จะเข้าใจ
ในนาทีนั้นก็มีแรงฮึด ประมาณว่า "เอาวะ เดินต่อ"
พอถึงฮัทต่อมา เรารู้แล้วล่ะ ว่าไม่ใช่ที่พักเรา แต่ก็ขอพัก จากนั้นก็ขอเค้าโทรไปหาที่พักที่จองไว้
และขอโทษเค้าพร้อมกับบอกว่า เราไปไม่ไหวจริงๆ
ที่พักของที่นี่เป็นไปอย่างที่ทุกคนเขียนไว้ คือ เป็นที่ที่ให้ซุกหัวนอน แล้วนอนเรียงกันเป็นปลาทูแม่กลอง
ระหว่างเดินไปที่ที่พัก พนักงานก็บอกให้เราเงียบๆ เพราะทุกคนพักผ่อนกันหมดแล้ว แต่ความจริงเสียงเดินกับเสียงเก็บของก็ใช่ว่าจะเบา
(เราไม่ได้ถ่ายรูปที่พักไว้นะคะ มันเหนื่อยและล้าสุดๆ กล้ามเนื้อทุกส่วนประท้วงมาก)