( ต่อจากตอน 1)
วัดห้วยปลากั้งตั้งอยู่ที่ตำบลริมกก ไม่ไกลจากตัวเมืองนักเป็นวัดที่อยู่ในทำเลที่สวยงามตั้งเด่น อยู่บนเนินมีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่เป็นตึก วัดตั้งขึ้นเมื่อปี พศ. 2544 เดิมเป็นสำนักสงฆ์ จนปี พศ. 2548. อาจารย์พบโชค. ติสสวโส. ได้มาปฏิบัติธรรมและจิตศัทธาจากพุทธศาสนิกชนเริ่มก่อสร้างศาสนวัตถุ. ปี พศ.2552 ได้การประกาศแต่งตั้งเป็นวัด. แต่ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ (เหมือนกันทุกวัดในเมืองไทย ถ้ามีพุทธศาสนิกชนศัทธา เงินมาก จะสร้างไม่หยุด...รำพึง..คร่า..). เมื่อไปถึง ขึ้นรถไฟฟ้าด้านหน้าพาไปยังเจ้าแม่กวนอิม แล้วขึ้น lift ( เสียตังค์..) ไปถึงชั้น 26.ชมความงามของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมในอริยบทต่าง ๆ เดินต่อไป ถึงชั้น 29 จะมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม อีกพวกเราชื่นชม และถ่ายรูปกันตามสะดวก แต่การขึ้น lift ตึกเจ้าแม่กวนอิมนี้ ทุกคนต้องถอดรองเท้า ใส่ถุงแดงหรือเหลือง หิ้วไปด้วย
หลังจากที่ลงมาจากเจ้าแม่กวนอิม ขึ้นรถไฟฟ้ากลับมาด้านหน้าที่ประชาสัมพันธ์ มีการเชิญชวนให้ทำบุญลุ้นโชคในซองสีชมพู 200 บาท มีลอตตารี อยู่ข้างในให้ลุ้น อีก 2 วันหวยออก ( หวังว่าจะถูกรางวัล...กระหยิ่ม ...) ออกจากวัดห้วยปลากั้ง ขับรถไปวัดพระแก้ว แต่ถนนปิด เลยต้องไปวัดร่องเสือเต้นก่อน วัดร่องเสือเต้น ตั้งอยู่ที่ ตำบลริมกก บ้านร่องเสือเต้น เดิมเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ณ ที่นี้มีร่องรอยสันนิษฐาน ว่าเป็นวัดเก่า แต่ถูกปกคลุมหญ้าและป่าไม้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ( รวมทั้งเสือด้วย...จึงชื่อว่าบ้านร่องเสือเต้น..) ต่อมาประชากรมากขึ้นจึงได้มาปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้และได้รวมกันทำการบูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่ และให้ชื่อว่าวัดร่องเสือเต้นตามชื่อหมู่บ้านเพื่อใช้ในการประกอบศาสนกิจพิธี ในปี พ.ศ. 2548 สล่านก ( นายพุทธา กาบแก้ว) ศิลปินเชียงรายซึ่งเป็นศิษย์เอกอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้ สร้างวิหารด้วยศิลปะล้านนาขึ้นมาอย่างงดงาม แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2559 (บางที่ก็เรียกวัดสีฟ้า) ยิ่งในตอนเย็น ใกล้จะอัสดงแสงพระอาทิตย์ จะสาดส่องกระทบกับวิหารสวยงามประดุจเทวานฤมิต
เมื่อชื่นชมศิลปะอันงดงามของล้านนากันแล้ว รีบเดินทางไปวัดพระแก้วเชียงราย วัดพระแก้วตั้งอยู่กลางเมือง เชียงราย ประวัติเดิมเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกต ( องค์พระแก้วองค์เดียวกับที่ประดิษฐานที่วัดพระแก้วมรกต ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ..) วัดพระแก้ว เดิมชื่อวัดป่าญะ หรือป่าเยียะ (ป่าไผ่ชนิดหนึ่ง) ในปี พ.ศ. ๑๙๗๗ เกิดฟ้าผ่าลงที่องค์พระเจดีย์จนพังทลายลง ทำให้พบพระแก้วมรกตซ่อนไว้ในพระเจดีย์ จึงได้ชื่อใหม่ว่า “วัดพระแก้ว” หลังจากนั้นได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐาน ณ เมืองต่างๆ คือ ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ และได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑
อิ่มบุญกันแล้ว...เริ่มหิว ..ออกจากวัดพระแก้ว เดินทางไปกินข้าวเย็นร้านข้าวต้มมีนา ( อ้อ...ก่อนถึงร้านข้าว เวียนหาร้าน Beauty Shop ก่อนหาซื้อน้ำมันใส่ผมที่โดนทิ้งถังขยะ...) หลังจากกินข้าว แวะชมการแสดงแสงเสียงที่หอนาฬิกา (..แสดงแสงสีประกอบเพลง ณ ราตรีหนึ่ง ยังจำฝังใจ..เชียงรายรำลึก..)... มีรอบ 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม ตามลำดับ แล้วเสร็จแวะ 7-11 ซื้อขนมไว้กินเช้ากับกาแฟ ตอนเช้า กลับโรงแรมนอน Hop Inn เช้ารีบไปต่อ
วันที่ สอง
หลังจากเสร็จภารกิจตอนเช้ากินกาแฟและขนม กันแล้วเดินทางต่อ เราเริ่มต้นแวะที่ตลาดบ้านดู่ซื้ออาหารสำรอง พวกผลไม้ กล้วย ข้าวเหนียวหมูทอด แล้วขึ้นดอยแม่สลอง วันนี้กะว่าจะทบทวนเส้นทางแม่สลองหลังจากที่ปีที่แล้วไปพักที่. Little home ซื้อชากันมา ( ผ่านมา 1 ปี ยังไม่ได้เปิดกระป๋องชาเลย...) เส้นทางขึ้นดอยวกวนตามไหล่เขาที่ไม่สูงมากนัก แทบไม่มีรถสวนทางเลย พอไปถึงเงียบเหงาเหมือนเดิมสมาชิกนางแบบนิตยสาร Week (นางแบบกลุ่มเรา..) คู่แข่งนิตยสาร Vogue ทำงาานกันอย่างขมักเขม้น แต่ตอนนี้ ซื้อ..ซื้อ..อย่างเดียว เพราะมีกลุ่มเรากลุ่มเดียว ชาวเขาแม่ค้าเห็นแล้วยิ้มเลยคงนึกว่าเหยื่อมาแย้ววว...ดอยแม่สลอง ตั้งอยู่ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวจีนฮ่อ แห่งกองพล 93 ปัจจุบันมีชื่อว่าหมู่บ้านสันติคีรี ตั้งอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล เฉลี่ย 1,200 ม. มีทัศนียภาพที่สวยงามและอากาศเย็นสบายตลอดปี รายได้หลักมาจากการปลูกชาอู่หลง และการท่องเที่ยว ลงมาแวะถ่ายรูปที่ดอยหมอกดอกไม้
เมื่อชอปและชิมจนพอใจเริ่มหิวข้าว วันนี้กินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารบนดอยนี้หล่ะ อร่อยใช้ได้ เมื่อเรียบร้อยแล้วลงไปไร่แม่ฟ้าหลวง ดอยตุง
“แม่ฟ้าหลวง”เป็นคำที่ชาวไทยในพื้นที่ภาคเหนือ ใช้แทนพระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สันนิษฐานว่า พระนามนี้ได้มาจากการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรชาวไทยภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เฮลิปคอบเตอร์เป็นพระราชพาหนะ เปรียบเสมือนมารดาจากฟากฟ้ามาดูแลบุตร
พระตำหนักดอยตุงเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มี พระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม สร้างพระตำหนักให้เป็นที่ประทับ
ภายในมีสวนดอกไม้สวยมาก ( ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ) ไร่แม่ฟ้าหลวงเป็นของกลุ่มเราเข้าไปแล้ว นางแบบเริ่มถ่ายรูป ส่วนเรารีบไปติดต่อเข้า Tree Top Walk ( ตอนนี้เพิ่ม Zip Link แต่พวกเราไม่ใช้...กลัว..ค่ะ ) หลังจากถ่ายรูปกันแล้วก็ไปเดิน Tree Top Walk ระยะทาง 200 m ( ปี 2018 ไป Sydney ก็ไปเดิน Tree Top Walk ที่ National Park เหมือนกัน สนุกดี ) สนุกกันมาก
ประติมากรรมชื่อ "ความต่อเนื่อง..Continuity..." ที่อยู่ตรงกลางสวนดอกไม้ โดยเป็นรูปเด็ก 17 คน ต่อตัวกันในกลางอากาศ เป็นผลงานของ มีเซียม ยิบอินซอย ศิลปินสาขาจิตรกรรม สร้างสอดคล้องกับกระแสรับสั่งของสมเด็จย่าที่ว่าทำงานอะไรก็ตามจะสำเร็จได้ต้องมีความต่อเนื่อง หลังจากสนุกสนานสิ้นสุดเส้นทาง Tree Top Walk แล้วเดินทางออกจากสวนพระตำหนักดอยตุง รีบเดินทางไปเป้าหมายสุดท้ายวันนี้คือวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นวนอุทยานในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน ตั้งอยู่ในตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีเนื้อที่ 5,000 ไร่ จัดตั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2529 โดยกรมป่าไม้ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาขนาดใหญ่หลายลูกติดต่อกัน มีความสูงโดยเฉลี่ย 779 เมตร และลาดชันมาทางทิศตะวันออก มีความยาวถ้ำหลวง ประมาณ 10.3 กม. เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย
ทำไมถึงต้องไปถ้ำหลวง จากเหตูการณ์เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2561 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่ทำให้ประเทศไทยรู้จักไปทั่วโลกจากเหตุการณ์ “13 หมูป่าติดถ้ำ” หรือทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย 13 ชีวิต ต้องติดอยู่ภายในถ้ำหลวง โดยการช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากสภาพภูมิประเทศของถ้ำและภูมิอากาศช่วงมรสุมที่มีฝนตกตลอดจนทำให้ระดับน้ำในถ้ำสูงขึ้น จนทำให้เกิดการระดมสรรพกำลังในหลายๆ ส่วนของไทยทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ จากอีกหลากหลายประเทศ จนเรียกได้ว่าทั้งโลกต่างก็ร่วมลุ้นและเอาใจช่วยให้หมูป่าทั้ง 13 ชีวิตรอดปลอดภัยออกมาจากถ้ำ แต่จากการช่วยเหลือครั้งนี้ทำให้เราต้องสูญเสียอาสาสมัครที่มีจิตใจเสียสละอย่างสูงส่งต้องจากไปอย่างไมีมีวันกลับคือจ่าแซม” หรือนาวาตรีสมาน กุนัน ฮีโร่ถ้ำหลวง
จุดสำคัญที่หลายๆ คนตั้งใจมาเยือนก็คือ “อนุสาวรีย์จ่าแซม” หรือนาวาตรีสมาน กุนัน ฮีโร่ถ้ำหลวง ผู้เสียชีวิตในขณะทำภารกิจช่วยเหลือ 13 หมูป่า รูปหล่อของจ่าแซมนี้หล่อด้วยโลหะบรอนซ์ มีความสูง 3.2 เมตร ฐานกว้าง 2.5 เมตร โดยผู้ริเริ่มและออกแบบแนวความคิดการสร้างรูปหล่อจ่าแซมก็คือ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และได้ อ.สราวุฒิ คำมูลชัย เป็นหัวหน้าทีมช่างปั้นสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนจ่าแซมมาก รูปปั้นของจ่าแซมและมีลูกหมู่ป่าเกาะที่เท้า เป็นรูปปั้นที่น่ารักมาก สมกับการมาคารวะจ่าแซมครั้งนี้ แต่ที่น่าเสียดายคือถ้ำหลวงปิดประตูเหล็กห้ามประชาชนเข้าไป ถือว่าเป็นเขตอันตราย
เนื่องจาก ถ้ำหลวงปิดพวกเราเลยได้แค่ถ่ายรูปกับฉากเท่านั้นเอง ต้องรีบไป Check in ที่โรงแรมแล้ว The Room@Mae Sai แล้วไปกินข้าวที่ตลาดแม่สาย ...ตลาดแม่สายก็เงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนก่อน ๆ อาจเป็นที่ระบบการขนส่ง ( Logistic) ที่ทำให้ตลาดสินค้า ทุกท้องถิ่นเหมือน ๆ กัน รวมทั้งราคาไม่แตกต่างกันด้วย ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เงียบเหงา ( หรือว่าไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว..) พรุ่งนี้ต้องลาจากเชียงรายเข้าเชียงใหม่ คงเดินทางหลังกินข้าวเช้านัดกับพี่ ๆ ว่าจะเดินทาง 8 โมงเช้า เพราะนัดกับต้าให้มารับ 7.30 น หลังจากกินข้าวเช้าต้องมีการถ่ายรูปหน้าโรงแรมเป็นที่ระลึก (ต่อ ตอน 3)
ไป ไปเถอะ ไปแอ่ว จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ (ตอน 2 )
วัดห้วยปลากั้งตั้งอยู่ที่ตำบลริมกก ไม่ไกลจากตัวเมืองนักเป็นวัดที่อยู่ในทำเลที่สวยงามตั้งเด่น อยู่บนเนินมีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่เป็นตึก วัดตั้งขึ้นเมื่อปี พศ. 2544 เดิมเป็นสำนักสงฆ์ จนปี พศ. 2548. อาจารย์พบโชค. ติสสวโส. ได้มาปฏิบัติธรรมและจิตศัทธาจากพุทธศาสนิกชนเริ่มก่อสร้างศาสนวัตถุ. ปี พศ.2552 ได้การประกาศแต่งตั้งเป็นวัด. แต่ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ (เหมือนกันทุกวัดในเมืองไทย ถ้ามีพุทธศาสนิกชนศัทธา เงินมาก จะสร้างไม่หยุด...รำพึง..คร่า..). เมื่อไปถึง ขึ้นรถไฟฟ้าด้านหน้าพาไปยังเจ้าแม่กวนอิม แล้วขึ้น lift ( เสียตังค์..) ไปถึงชั้น 26.ชมความงามของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมในอริยบทต่าง ๆ เดินต่อไป ถึงชั้น 29 จะมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม อีกพวกเราชื่นชม และถ่ายรูปกันตามสะดวก แต่การขึ้น lift ตึกเจ้าแม่กวนอิมนี้ ทุกคนต้องถอดรองเท้า ใส่ถุงแดงหรือเหลือง หิ้วไปด้วย