โดนล้วงกระเป๋าที่ยุโรปเตือนภัยสำหรับคนเที่ยวเองที่ยุโรป(มิจฉาชีพภัยร้ายรอบๆตัวPart 2/2)
มาต่อกันนะคะกับเหตุการณ์สดๆร้อนๆของทริปล่าสุดเลยค่ะ
ทริปนี้เราไปเที่ยว+ ทำงานแถมนิดหน่อยกับทริปแฟรงค์เฟิร์ต- ปารีส- กรานาด้า(สเปน) เหมือนเดิมคุณแฟนก็บ่นเช่นเดิมแต่รอบนี้เรามีเพื่อนร่วมทริปรวมทั้งหมด6 คนท่องเที่ยวไปในปารีสตามที่ต่างๆบอกเลยว่าทริปนี้เราระวังตัวขึ้นมากค่ะก็เหตุการณ์ปกติดีจนถึงวันช้อปปิ้งซึ่งเป็นวันเสาร์นักท่องเที่ยวเต็มไปหมดเราก็ไปเดินช้อปที่Lafayette ได้กระเป๋าแบรนด์เนมมา2 ใบคือกระเป๋าถือ1 ใบ+ กระเป๋าตังค์1 ใบ(ไม่ได้อวดนะคะแต่มันมีประเด็นตรงนี้ล่ะค่ะเพราะกระเป๋าแบรนด์เนมนี่ล่ะ) หลังจากเราช้อปเสร็จบอกเลยว่าสมาชิกในทริปทุกคนก็เพลียมากเดินทางขึ้นรถไฟกลับด้วยอาการกระปลกกระเปลี้ยนิดๆโดยหอบหิ้วถุงของแบรนด์เนมที่ซื้อมาคนละ1-2 ถุงเดินมาๆเรื่อยๆก็ไม่มีอะไรพอถึงสถานีรถไฟปุ๊ปก็รอรถไฟปกติและแล้วไม่นานเกินรอรถไฟก็จอดรับพวกเรานี่แหละเราขึ้นเป็นคนสุดท้ายขึ้นไปก็เจอเด็กผู้หญิงฝรั่งผิวขาววัยประมาณ12 ปีได้ไม่น่าเกินจากนี้เข้ามาดักเราแล้วพูดอะไรซักอย่างฟังไม่รู้เรื่องแล้วเราก็ได้ยินเพื่อนเราตะโกนว่ารีบเข้าๆประตูจะปิดแล้วเราก็เบี่ยงตัวหนีแล้วเดินเข้าไปเลยแต่ขยับไปได้นิดเดียวก้อเจอเด็กผู้หญิงฝรั่งอีกคนมาดักแล้วพูดรัยอีกแล้วก็ไม่รู้แล้วก้อรู้สึกว่าทำไมคนมันแน่นไปหมดและเราเอะใจทันทีแล้วว่ามันแปลกๆเลยเอามือคว้ากระเป๋าสะพายของเราทันทีแฟนเราหันมาเห็นพอดีเลยตะโกนเรียกเราแต่บอกเลยว่าเด็กผู้หญิงหลายคนมากมันแบบนัวเนียกันมากเราฝ่าออกไปไม่ได้รู้แต่ว่าเหตุการณ์มันไม่โอแล้วล่ะคว้ากระเป๋าสะพายมากอดไว้กับตัวแน่นไม่ได้สนใจถุงของที่ซื้อมาเลยเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรหายไปได้แฟนเราเห็นท่าไม่ดีก็เข้ามาลากเราออกจากวงล้อมของเด็กผู้หญิงพวกนั้นแต่ด้วยความเป็นคนตัวใหญ่เค้าอาจจะแรงเยอะไปนิดเลนผลักเด็กผู้หญิงคนนึงกระเด็นไปทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหมือนเดิมและประตูรถไฟก็ปิดลงทุกอย่างจะจงลงแบบของหายเราก็ไม่รู้ตัวถ้าเด็กผู้หญิงกลุ่มนี้มีกันทั้งหมด5 คนวัยไล่เลี่ยกันคือน่าจะไม่เกิน12 ขวบโวยวายใส่แฟนเราว่าไปผลักเพื่อนเค้าทำร้ายเพื่อนเค้าเอาเรื่องแฟนเราแฟนเราก็ขอโทษขอโพยพวกนางอยู่แต่พวกนางโวยวายไม่หยุดขณะเดียวกันแฟนเราก็หันมาถามเราว่ามีอะไรหายมั้ยเราเองก็ห่วงแต่กระเป๋าสะพายซึ่งเรากอดไว้แนบตัวตลอดเวลาช่วงชุลมุนเราก็มั่นใจว่าไม่หายตอบแฟนไปว่าไม่มีอะไรหายและก้อพยายามคิดว่าจะยังไงดีกลัวแฟนเราจะมีปัญหากับเด็กพวกนี้ก็กวาดตามองของรอบตัวเราว่ามีอะไรเสียหายพอที่จะเป็นหลักฐานว่ามันเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่แฟนเราเค้าป้องกันตัวเราไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเด็กเผอิ๊ญ.... เหลือบมองเห็นถึงของที่ซื้อมาขาดประมาณ3 นิ้วได้ก้อแบบนี่แหละหลักฐานของชั้นแล้วแฟนก้อถามย้ำอีกว่ามีอะไรหายมั้ยเราเลยกวาดตาดูของภายในถุงก็รู้สึกว่าไม่มี๊ครบๆๆแต่แล้วก้อเฮ้ยกล่องใส่กระเป๋าตังหายไปเราเลยโวยวายของหายกระเป๋าตังหายแฟนเราเลยหันไปโวยใส่เด็กพวกนั้นว่าค้นตัวๆๆๆเด็กคนนึงเลยเอากล่องกระเป๋าออกมาจากที่ซ่อนไว้ในเสื้อแจ๊คเก็ตแล้วก้อเทกระเป๋าเราออกจากกล้องให้มันลงไปที่พื้นแฟนเราเลยบอกไปหาตำรวจเลยๆๆจาก้ดิมที่เด็ก5 คนนี้รุมโวยวายใส่แฟนเราว่าทำร้ายเพื่อนนางกลายเป็นเฮ้ยเราไม่รู้จักกันๆๆแล้วพอดีรถไฟถึงสถานีต่อมาพวกนางเลยรีบกรูกันลงไปเราเลยไม่ให้แฟนเราตามเพราะกลัวจะลงไปเจอพวกมันคนอื่นอีกอาจจะอันตรายกับพวกเราเองซึ่งระหว่างที่เกิดเรื่องสมาชิกในทีมเราก็ถ่ายรูปพวกนางทันตามรูปเลยค่ะหลังจากนั้นเราเอาเรื่องราวของสมาชิกแต่ละคนมาปะติดปะต่อกันได้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้:
น้องเราในทีมอีกคนที่เป็นผู้หญิงถือถุงแบรนด์เนมเหมือนกันและเข้าไปในรถไฟก่อนเราเค้าบอกว่าเค้าเจอเหตุการณ์เดียวกับเรานี่แหละแต่พอได้ยินเพื่อนตะโกนให้รับเข้ารถจะออกแล้วนางก็รีบสะบัดหลุดและรับเข้าไป
สมาชิกในทีมเราอีกคนก็สังเกตเห็นชายผิวดำ1 คนมายืนประกบเค้าอยู่เค้าเองก้อระวังตัวกับชายผิวดำคนนั้นซึ่งช่วงตอนที่เราเกิดเรื่องและสุดท้ายจับเด็กได้ว่าขโมยของเค้าก็พยายามถ่ายรูปเด็กเด็กก้อพยายามปิดหน้าปิดตาแล้วก็เลยไปถ่ายติดคนอื่นด้วยซึ่งชายผิวดำนี่ก้อพยายามเอียงตัวหนีกล้องเราเลยตั้งสมมติฐานกันว่าอาจจะเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาคุมเด็ก
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราสรุปกันได้ว่ามิจฉาชีพพวกนี้มันทำกันเป็นขบวนการและเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเพราะเรามักจะไม่เอาเรื่องเพราะยุ่งยากและเสียเวลาเน้นวันหยุดเพราะนักท่องเที่ยวจะเยอะมากมาพร้อมกับเงินที่เตรียมมาช้อปอยู่แล้วและบอกได้เลยว่าที่ยุโรปไม่เหมือนไทยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราคงช่วยกันรุมประชาทัณฑ์กันแล้วแต่นี่ทุกคนบนรถดูแล้วก็เฉยๆและสมาชิกเรามีความประมาทตรงที่คอยระวังแต่ผู้ใหญ่ไม่ได้ระแวดระวังเด็กๆเลยว่าเด็กอายุน้อยๆ12-13 ปีจะเป็นมิจฉาชีพและการหิ้วถุงแบรนด์เนมเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจให้คนพวกนี้เข้าหาเรารวมถึงเพราะเราเป็นคนเอเชียเลยมักจะเป็นเหยื่อกลุ่มแรกๆที่คนพวกนี้จะให้ความสนใจและหมายหัวเป็นอันดับแรกๆ
ครั้งนี้เราถือว่าเราโชคดีที่เด็กพวกนี้โวยวายถ้านางเงียบๆไปเราคงไม่ได้เอะใจเช็คของที่ซื้อมาในถุงเพราะมัวแต่โฟกัสกระเป๋าตัวเองที่สะพายอยู่ที่มีทั้งพาสปอร์ตเงินโทรศัพท์ไม่ยังงั้นของเราคงหายไปแล้วแต่จะโชคดีซักกี่ครั้งดังนั้นสิ่งที่ทำได้สำหรับทริปต่อไปเราคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นในทุกๆด้านแต่อย่าลืมนะคะคนที่มันจับต้องจะทำสิ่งไม่ดีมันมักจะพยายามหาทางได้เสมอค่ะกับอีกสิ่งนึงก็คนผิวดำส่วนนึงก็พยายามเรียกร้องเรื่องการเหยียดสีผิวแต่กชุ่มมิจฉาชีพผิวดำพวกนี้ทำให้ภาพลักษณ์คนผิวดำอื่นๆที่เป็นคนดีประกอบอาชีพสุจริตเสียหายใจนึงก็สงสารเค้านะคะแต่อีกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็นะละไว้ในฐานที่เข้าใจ
หลังจากเจอเหตุการณ์นี้สมาชิกในทีมเลยจิตตกไปตามๆกันระแวงคนผิวดำทุกคนที่เราต้องเดินผ่านซึ่งเยอะมากกับเมืองหลวงอย่างปารีสแล้วก็มานั่งคิดว่าความโชคดีครั้งนี้อาจจะไม่ได้โชคดีตลอดไปดังนั้นเลยอยากเตือนเพื่อนๆและหวังว่านักเดินทางทุกท่านจะไม่เจอเหตุการณ์เหมือนเรานะคะ
พอได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนที่ทำงานที่สเปนนางกล่าวว่ากฎหมายEU ต่อให้จับคนทำผิดได้ถ้าอายุต่ำกว่า18 ปีถึงจะมีของกลางอยู่ในมือสุดท้ายสิ่งที่ตำรวจจะทำให้ได้คือเอาของคืนแล้วปล่อยคนร้ายไปเพราะกฎหมายที่ว่าเค้าให้ความคุ้มครองเยาวชนนั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมกลุ่มมิจฉาชีพถึงชอบเลือกใช้เด็กมาขโมยของอันนี้เรื่องจริงเป็นยังไงมิรู้ได้ใครมีข้อมูลก็ช่วยบอกต่อกันนะคะจะได้เป็นกุศลทานต่อนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆค้า
(จับได้คาหนังคาเขา) โดนล้วงกระเป๋าที่ยุโรปเตือนภัยสำหรับคนเที่ยวเองที่ยุโรป(มิจฉาชีพภัยร้ายรอบๆตัวPart 2/2)
มาต่อกันนะคะกับเหตุการณ์สดๆร้อนๆของทริปล่าสุดเลยค่ะ
ทริปนี้เราไปเที่ยว+ ทำงานแถมนิดหน่อยกับทริปแฟรงค์เฟิร์ต- ปารีส- กรานาด้า(สเปน) เหมือนเดิมคุณแฟนก็บ่นเช่นเดิมแต่รอบนี้เรามีเพื่อนร่วมทริปรวมทั้งหมด6 คนท่องเที่ยวไปในปารีสตามที่ต่างๆบอกเลยว่าทริปนี้เราระวังตัวขึ้นมากค่ะก็เหตุการณ์ปกติดีจนถึงวันช้อปปิ้งซึ่งเป็นวันเสาร์นักท่องเที่ยวเต็มไปหมดเราก็ไปเดินช้อปที่Lafayette ได้กระเป๋าแบรนด์เนมมา2 ใบคือกระเป๋าถือ1 ใบ+ กระเป๋าตังค์1 ใบ(ไม่ได้อวดนะคะแต่มันมีประเด็นตรงนี้ล่ะค่ะเพราะกระเป๋าแบรนด์เนมนี่ล่ะ) หลังจากเราช้อปเสร็จบอกเลยว่าสมาชิกในทริปทุกคนก็เพลียมากเดินทางขึ้นรถไฟกลับด้วยอาการกระปลกกระเปลี้ยนิดๆโดยหอบหิ้วถุงของแบรนด์เนมที่ซื้อมาคนละ1-2 ถุงเดินมาๆเรื่อยๆก็ไม่มีอะไรพอถึงสถานีรถไฟปุ๊ปก็รอรถไฟปกติและแล้วไม่นานเกินรอรถไฟก็จอดรับพวกเรานี่แหละเราขึ้นเป็นคนสุดท้ายขึ้นไปก็เจอเด็กผู้หญิงฝรั่งผิวขาววัยประมาณ12 ปีได้ไม่น่าเกินจากนี้เข้ามาดักเราแล้วพูดอะไรซักอย่างฟังไม่รู้เรื่องแล้วเราก็ได้ยินเพื่อนเราตะโกนว่ารีบเข้าๆประตูจะปิดแล้วเราก็เบี่ยงตัวหนีแล้วเดินเข้าไปเลยแต่ขยับไปได้นิดเดียวก้อเจอเด็กผู้หญิงฝรั่งอีกคนมาดักแล้วพูดรัยอีกแล้วก็ไม่รู้แล้วก้อรู้สึกว่าทำไมคนมันแน่นไปหมดและเราเอะใจทันทีแล้วว่ามันแปลกๆเลยเอามือคว้ากระเป๋าสะพายของเราทันทีแฟนเราหันมาเห็นพอดีเลยตะโกนเรียกเราแต่บอกเลยว่าเด็กผู้หญิงหลายคนมากมันแบบนัวเนียกันมากเราฝ่าออกไปไม่ได้รู้แต่ว่าเหตุการณ์มันไม่โอแล้วล่ะคว้ากระเป๋าสะพายมากอดไว้กับตัวแน่นไม่ได้สนใจถุงของที่ซื้อมาเลยเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรหายไปได้แฟนเราเห็นท่าไม่ดีก็เข้ามาลากเราออกจากวงล้อมของเด็กผู้หญิงพวกนั้นแต่ด้วยความเป็นคนตัวใหญ่เค้าอาจจะแรงเยอะไปนิดเลนผลักเด็กผู้หญิงคนนึงกระเด็นไปทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหมือนเดิมและประตูรถไฟก็ปิดลงทุกอย่างจะจงลงแบบของหายเราก็ไม่รู้ตัวถ้าเด็กผู้หญิงกลุ่มนี้มีกันทั้งหมด5 คนวัยไล่เลี่ยกันคือน่าจะไม่เกิน12 ขวบโวยวายใส่แฟนเราว่าไปผลักเพื่อนเค้าทำร้ายเพื่อนเค้าเอาเรื่องแฟนเราแฟนเราก็ขอโทษขอโพยพวกนางอยู่แต่พวกนางโวยวายไม่หยุดขณะเดียวกันแฟนเราก็หันมาถามเราว่ามีอะไรหายมั้ยเราเองก็ห่วงแต่กระเป๋าสะพายซึ่งเรากอดไว้แนบตัวตลอดเวลาช่วงชุลมุนเราก็มั่นใจว่าไม่หายตอบแฟนไปว่าไม่มีอะไรหายและก้อพยายามคิดว่าจะยังไงดีกลัวแฟนเราจะมีปัญหากับเด็กพวกนี้ก็กวาดตามองของรอบตัวเราว่ามีอะไรเสียหายพอที่จะเป็นหลักฐานว่ามันเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่แฟนเราเค้าป้องกันตัวเราไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเด็กเผอิ๊ญ.... เหลือบมองเห็นถึงของที่ซื้อมาขาดประมาณ3 นิ้วได้ก้อแบบนี่แหละหลักฐานของชั้นแล้วแฟนก้อถามย้ำอีกว่ามีอะไรหายมั้ยเราเลยกวาดตาดูของภายในถุงก็รู้สึกว่าไม่มี๊ครบๆๆแต่แล้วก้อเฮ้ยกล่องใส่กระเป๋าตังหายไปเราเลยโวยวายของหายกระเป๋าตังหายแฟนเราเลยหันไปโวยใส่เด็กพวกนั้นว่าค้นตัวๆๆๆเด็กคนนึงเลยเอากล่องกระเป๋าออกมาจากที่ซ่อนไว้ในเสื้อแจ๊คเก็ตแล้วก้อเทกระเป๋าเราออกจากกล้องให้มันลงไปที่พื้นแฟนเราเลยบอกไปหาตำรวจเลยๆๆจาก้ดิมที่เด็ก5 คนนี้รุมโวยวายใส่แฟนเราว่าทำร้ายเพื่อนนางกลายเป็นเฮ้ยเราไม่รู้จักกันๆๆแล้วพอดีรถไฟถึงสถานีต่อมาพวกนางเลยรีบกรูกันลงไปเราเลยไม่ให้แฟนเราตามเพราะกลัวจะลงไปเจอพวกมันคนอื่นอีกอาจจะอันตรายกับพวกเราเองซึ่งระหว่างที่เกิดเรื่องสมาชิกในทีมเราก็ถ่ายรูปพวกนางทันตามรูปเลยค่ะหลังจากนั้นเราเอาเรื่องราวของสมาชิกแต่ละคนมาปะติดปะต่อกันได้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้:
น้องเราในทีมอีกคนที่เป็นผู้หญิงถือถุงแบรนด์เนมเหมือนกันและเข้าไปในรถไฟก่อนเราเค้าบอกว่าเค้าเจอเหตุการณ์เดียวกับเรานี่แหละแต่พอได้ยินเพื่อนตะโกนให้รับเข้ารถจะออกแล้วนางก็รีบสะบัดหลุดและรับเข้าไป
สมาชิกในทีมเราอีกคนก็สังเกตเห็นชายผิวดำ1 คนมายืนประกบเค้าอยู่เค้าเองก้อระวังตัวกับชายผิวดำคนนั้นซึ่งช่วงตอนที่เราเกิดเรื่องและสุดท้ายจับเด็กได้ว่าขโมยของเค้าก็พยายามถ่ายรูปเด็กเด็กก้อพยายามปิดหน้าปิดตาแล้วก็เลยไปถ่ายติดคนอื่นด้วยซึ่งชายผิวดำนี่ก้อพยายามเอียงตัวหนีกล้องเราเลยตั้งสมมติฐานกันว่าอาจจะเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาคุมเด็ก
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราสรุปกันได้ว่ามิจฉาชีพพวกนี้มันทำกันเป็นขบวนการและเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเพราะเรามักจะไม่เอาเรื่องเพราะยุ่งยากและเสียเวลาเน้นวันหยุดเพราะนักท่องเที่ยวจะเยอะมากมาพร้อมกับเงินที่เตรียมมาช้อปอยู่แล้วและบอกได้เลยว่าที่ยุโรปไม่เหมือนไทยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราคงช่วยกันรุมประชาทัณฑ์กันแล้วแต่นี่ทุกคนบนรถดูแล้วก็เฉยๆและสมาชิกเรามีความประมาทตรงที่คอยระวังแต่ผู้ใหญ่ไม่ได้ระแวดระวังเด็กๆเลยว่าเด็กอายุน้อยๆ12-13 ปีจะเป็นมิจฉาชีพและการหิ้วถุงแบรนด์เนมเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจให้คนพวกนี้เข้าหาเรารวมถึงเพราะเราเป็นคนเอเชียเลยมักจะเป็นเหยื่อกลุ่มแรกๆที่คนพวกนี้จะให้ความสนใจและหมายหัวเป็นอันดับแรกๆ
ครั้งนี้เราถือว่าเราโชคดีที่เด็กพวกนี้โวยวายถ้านางเงียบๆไปเราคงไม่ได้เอะใจเช็คของที่ซื้อมาในถุงเพราะมัวแต่โฟกัสกระเป๋าตัวเองที่สะพายอยู่ที่มีทั้งพาสปอร์ตเงินโทรศัพท์ไม่ยังงั้นของเราคงหายไปแล้วแต่จะโชคดีซักกี่ครั้งดังนั้นสิ่งที่ทำได้สำหรับทริปต่อไปเราคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นในทุกๆด้านแต่อย่าลืมนะคะคนที่มันจับต้องจะทำสิ่งไม่ดีมันมักจะพยายามหาทางได้เสมอค่ะกับอีกสิ่งนึงก็คนผิวดำส่วนนึงก็พยายามเรียกร้องเรื่องการเหยียดสีผิวแต่กชุ่มมิจฉาชีพผิวดำพวกนี้ทำให้ภาพลักษณ์คนผิวดำอื่นๆที่เป็นคนดีประกอบอาชีพสุจริตเสียหายใจนึงก็สงสารเค้านะคะแต่อีกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็นะละไว้ในฐานที่เข้าใจ
หลังจากเจอเหตุการณ์นี้สมาชิกในทีมเลยจิตตกไปตามๆกันระแวงคนผิวดำทุกคนที่เราต้องเดินผ่านซึ่งเยอะมากกับเมืองหลวงอย่างปารีสแล้วก็มานั่งคิดว่าความโชคดีครั้งนี้อาจจะไม่ได้โชคดีตลอดไปดังนั้นเลยอยากเตือนเพื่อนๆและหวังว่านักเดินทางทุกท่านจะไม่เจอเหตุการณ์เหมือนเรานะคะ
พอได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนที่ทำงานที่สเปนนางกล่าวว่ากฎหมายEU ต่อให้จับคนทำผิดได้ถ้าอายุต่ำกว่า18 ปีถึงจะมีของกลางอยู่ในมือสุดท้ายสิ่งที่ตำรวจจะทำให้ได้คือเอาของคืนแล้วปล่อยคนร้ายไปเพราะกฎหมายที่ว่าเค้าให้ความคุ้มครองเยาวชนนั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมกลุ่มมิจฉาชีพถึงชอบเลือกใช้เด็กมาขโมยของอันนี้เรื่องจริงเป็นยังไงมิรู้ได้ใครมีข้อมูลก็ช่วยบอกต่อกันนะคะจะได้เป็นกุศลทานต่อนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆค้า