จากการลองผิดลองถูก กว่าจะเจอกระเป๋าแบ็คแพ็คใบที่ใช่ เลยจะมาแบ่งปันประสบการณ์การเลือกกระเป๋าแบ็คแพ็คคู่ใจ สำหรับมือใหม่หัดสะพายเป้ เพื่อที่จะได้ท่องเที่ยวอย่างมีความสุข ไม่เจ็บปวดไหล่และหลัง จากประสบการณ์ตรงที่ลองผิดลองถูกมาหลายปี ที่ในที่สุดก็เจอแบ็คแพ็คคู่ใจ เย้ๆ ซึ่งถือว่าชนะเลิศมากค่ะ สำหรับแบ็คแพ็คเกอร์อย่างหยก หากใครมีประสบการณ์คงจะเข้าใจดี ใช่ไหมคะ
เคยไหม... ที่ไปเลือกกระเป๋าแบ็คแพ็ค แต่ก็ไม่ได้รับคำแนะนำที่ดี ในการเลือกซื้อ สุดท้ายก็ลงเอยที่การเลือกซื้อ เพราะความสวยงาม เพราะเร่งรีบ เพราะต้องใช้วันนี้ วันพรุ่งนี้แล้ว แต่ใช้งานไม่ได้จริง และมีความทรมานในการสะพาย
เคยไหม... ที่ซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็คมา แต่ก็ไม่รู้ว่าส่วนประกอบต่างๆ ของกระเป๋าแบ็คแพ็ค ที่หน้าตาแปลกๆ ที่อยู่เต็มตัวกระเป๋านั้น มันคืออะไร? และแต่ละส่วน เอาไว้ทำอะไร?
เคยไหม... ที่ซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็คมาแล้ว แต่ใบดันใหญ่เกินตัว ยกขึ้นสะพายทีนี้ลำบากสุดๆ ตอนวางลงก็เจ็บแขนสุดจะพรรณนา
แล้วเคยไหม... ที่จะไปซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็คสักใบ กลับได้รับคำแนะนำ วิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค ที่ไม่เข้าใจ ทำให้งงขึ้นไปอีก
...........................................
-- แล้วกระเป๋าแบ็คแพ็คคืออะไร? มีลักษณะแบบไหน? เลือกอย่างไร? คำถามง่ายๆ แต่ทำไมหาคำตอบ เพื่อมาใช้งานจริง ยากจัง --
จริงๆ แล้ว หลายๆ ร้านก็แนะนำดี๊ดี คือจะถามความต้องการของเราก่อนว่าต้องการกระเป๋าไปใช้งานประเภทใด
“เอ่อออ..พี่ค่ะ คือมาซื้อกระเป๋าแค่ใบเดียว เพื่อใช้กับทุกการท่องเที่ยวค่ะ มีไหมคะ?”
ยังจะถามต่ออีกว่า “แล้วน้องจะไปเที่ยวที่ไหน ไปกี่วัน? อากาศเป็นอย่างไร? เน้นการใช้งานประเภทไหน?”
ก็ได้รับคำแนะนำต่างๆ นานา ซึ่งจากที่ไม่เข้าใจอะไรอยู่แล้ว ก็กลายเป็นว่าสับสน และงงมากกว่าเดิม
“ถ้าจะไปเทรคกิ้ง 10 วัน พี่แนะนำแบบนี้ ถ้าจะไปเมืองหนาว 14 วัน พี่แนะนำรุ่นนั้น แต่ถ้าจะไปต่างจังหวัด แค่ 4 - 5 วัน พี่แนะนำว่ารุ่นนี้จะเหมาะกว่า” แล้วพี่แกก็ร่ายยาว
คือถ้าภายใน 3 เดือนนี้ แพลนจะไปเที่ยว 4 ครั้งในสถานที่ที่แตกต่างกัน นี่คือต้องซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค 4 ใบเลยหรือไงคะพี่!
ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งที่พี่พนักงานเค้าตอบเราและแนะนำมานั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องมากๆ ค่ะ กระเป๋าแบ็คแพ็คแต่ละรุ่นนั้น เค้าออกแบบมาสำหรับการใช้งานเฉพาะในจุดประสงค์นั้นๆ เพียงแค่กระเป๋าแบ็คแพ็คแต่ละใบนั้น ราคาไม่ใช่น้อยๆ หากใครมีปัจจัยเพียงพอที่จะสามารถซื้อมาใช้สอยได้ โดยไม่ลำบาก หยกก็แนะนำค่ะ แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ขอมีกระเป๋าแบ็คแพ็คคู่ใจแค่ 1 ใบ ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกทริป ก็พอแล้ว จริงไหมคะ? แล้วเก็บเงินไปเที่ยวดีกว่า
แล้ววิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค ที่เหมาะกับแต่ละคน ควรจะมีความจุขนาดไหน, มีข้อหลักๆ อะไรบ้างที่ควรจะใช้พิจารณาในการเลือกซื้อ และอื่นๆ ที่จำเป็นต้องรู้
หมายเหตุ:
- ขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า ส่วนตัวหยกเอง “เน้นของน้อย ของใช้พอดี ไม่เน้นเอาของไปเผื่อ” (เพราะของที่เผื่อๆ ทั้งหลาย หยกแทบจะไม่เคยได้ใช้มันเลยค่ะ แบกหนักเปล่าๆ เลยเลิกแบกแล้วค่ะ)
- ของที่นำไปด้วยจะเน้นของที่มีน้ำหนักเบา แม้กระทั่งตัวกระเป๋าเอง (เพราะน้ำหนักแค่ 300 กรัม ก็สร้างความแตกต่างได้นะคะ)
- เน้นเสื้อผ้าบางเบา แห้งง่าย มักจะใส่ชุดซ้ำๆ หรือซักเอา ดังนั้นสำหรับหยกแล้ว จะเดินทาง 1 เดือน หยกก็สามารถจัดกระเป๋าให้เหมือนเดินทางแค่ 7-10 วันได้แบบสบายๆ เลยค่ะ
...........................................
-- มาดูวิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็คกันดีกว่าค่ะ --
1).
ขนาดหรือความจุของกระเป๋า และน้ำหนักของตัวกระเป๋า
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาใน วิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค ก็คือความจุของกระเป๋าแบ็คแพ็ค ซึ่งมีหน่วยเป็นลิตร หมายความว่า หากเราใส่น้ำลงไปให้เต็มกระเป๋า กระเป๋าใบนั้นๆ จะสามารถจุน้ำได้กี่ลิตร ซึ่งกระเป๋าเป้เหล่านี้จะมีความจุตั้งแต่ 20 กว่าลิตรไปจนถึง เกือบๆ 100 ลิตร อาจจะเป็นตัวเลขเดี่ยวๆ เช่น 40 ก็หมายถึงจุได้ 40 ลิตร หรือ เป็นเลขแบบมีบวก เช่น 40+10 ก็หมายถึงจุของได้มากถึง 40 + 10 = 50 ลิตรนั่นเองค่ะ ซึ่งตัวหลังนี้เมื่อเทียบกับลักษณะของกระเป๋า จะหมายถึง ตัวกระเป๋าบริเวณด้านบนที่เป็นหูรูด จะมีพื้นที่ที่สามารถขยายขนาดกระเป๋าให้สูงขึ้นได้ เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้อีก 10 ลิตรนั่นเองค่ะ
โดยที่น้ำหนักของตัวกระเป๋าก็สำคัญเหมือนกัน ปัจจุบันนี้ วัสดุที่นำมาทำกระเป๋าของหลายๆ ยี่ห้อนั้นก็เหนียว แน่น แข็งแรง ทนทาน แต่น้ำหนักเบา แบบไม่ถึงกิโลหรือกิโลนิดๆ ก็มีค่ะ ซึ่งหยกเคยมีกระเป๋าที่แค่ตัวกระเป๋าก็หนักมาก หนักถึง 2.32 kg คือแค่ขนาดน้ำหนักกระเป๋าเอง ยังหนักขนาดนี้ ดังนั้นน้ำหนักกระเป๋าจึงเป็นอีกสิ่งที่ต้องพิจารณา
1.1). ดูสิว่าเพื่อนๆ สูงแค่ไหน หนักแค่ไหน แล้วน้ำหนักเท่าไหร่ที่เพื่อนๆ คิดว่าจะสามารถแบกบนหลังได้จนจบทริป โดยที่ไม่ทรมาน และยังมีความสุข
ตัวอย่าง:
หยกสูง 163 cm หนัก 52-53 kg สามารถแบกของหนักได้ถึง 20 กิโลกรัมค่ะ (แบกขึ้นหลังได้ด้วยน้ำหนักเท่านี้ แต่จะมีความทรมานอย่างยิ่งยวด หากต้องแบกเดิน) หากจะกล่าวถึง น้ำหนักที่ต้องการแบกแบบสบายๆ หยกขอมากสุดไม่เกิน 12 kg คือจริงๆ สัก 10 kg นี่จะโอเคเลยค่ะ โดยหยกเลือกใช้กระเป๋าแบ็คแพ็คขนาด 38 ลิตร ตัวกระเป๋าเองมีน้ำหนักเบา ประมาณ 1.28 kg และสามารถจุของได้มากสุด 18 kg ซึ่งหยกก็ไม่มีความคิดที่อยากจะแบกของที่หนักถึง 18 kg เลย
คำแนะนำ:
หากผู้หญิงที่ตัวพอๆ กันกับหยก หรือจริงๆ คือผู้หญิงโดยส่วนใหญ่เลยแหละ ความจุของกระเป๋าที่แนะนำคือ ไม่ควรเกิน 40 ลิตรนะคะ (หลายคนมักจะคิดว่าจะใส่ของไม่พอ น้ำหนัก 40 ลิตร มันเยอะมากนะคะ ถ้าแพ็คของเป็น ถ้าไม่เอาของไปเผื่อ ใส่ของพอแน่นอนค่ะ แถมไม่ลำบากตัวเองด้วย) และควรจุของหนักสุดไม่เกิน 12 kg
แต่ถ้าผู้หญิงไซส์มินิ ความจุของกระเป๋าที่แนะนำคือ ไม่ควรเกิน 35 ลิตรค่ะ ส่วนน้องไข่มุก (น้องสาวหยก) ใช้ 28 ลิตรค่ะ ตัวกระเป๋าหนักแค่ 875 g เองค่ะ คือเริ่ดมาก จะเบาอะไรได้ขนาดนี้ แต่เหลือเชื่อ คือสามารถจุของได้มากถึง 15 kg เลยทีเดียว ซึ่งผู้หญิงไซส์นี้ ก็ไม่ควรแบกของหนักเกิน 7 - 8 kg นะคะ สุดๆ ก็พยายามอย่าให้เกิน 10 kg แล้วกันค่ะ จะได้ไม่ต้องทรมาน
ข้อสังเกต:
หยกมีกระเป๋าแบ็คแพ็คขนาด 38 ลิตร ที่สามารถจุได้มากถึง 18 kg หยกยังไม่อยากจะแบกหนักขนาดนั้นเลยค่ะ แล้วกระเป๋าขนาดที่ใหญ่กว่า 38 ลิตรล่ะ ใครจะต้องการแบกบ้างคะ? ถ้าไม่, แล้วนำ้หนักเท่าไหร่ที่อยากจะแบก?
1.2). การเลือกกระเป๋าแบ็คแพ็คใบใหญ่ๆ ไม่ใช่ วิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค ที่ถูกต้อง
ควรเลือกกระเป๋าใบที่พอดีกับตัวของเพื่อนๆ ต่างหาก เพราะหากระหว่างการแพ็คของ แล้วกระเป๋ายังมีพื้นที่เหลือ เราก็จะพยายามนึกถึงของที่น่าจะเอาไปเผื่อ แล้วใส่ของลงไปอีก จนเต็ม จนแน่น ใช่ไหมล่ะคะ
แต่ในทางกลับกัน หากเลือกกระเป๋าใบพอเหมาะ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป เราก็จะเลือกแพ็คของที่ต้องได้ใช้ ที่จำเป็นจริงๆ เพื่อใส่ลงไปตามพื้นที่ๆกระเป๋ามีใช่ไหมล่ะคะ
2).
ขนาดความยาวของแผ่นหลังของกระเป๋า
กระเป๋าแบ็คแพ็คบางยี่ห้อ จะมีขนาด XS, S, M และ L ซึ่งหมายถึง ความยาวของแผ่นหลังของกระเป๋า ไม่ใช่ขนาดความจุของกระเป๋านะคะ หรือ บางยี่ห้อ เราสามารถปรับเองได้ โดยเลือกความยาวที่เหมาะกับความยาวของหลังของแต่ละบุคคลได้เลย เพราะคนแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย จะมีความยาวของช่วงหลังที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เด็กจะมีช่วงหลังที่สั้นกว่าผู้ใหญ่ หรือ คนที่ตัวสูงๆ มักจะมีช่วงหลังที่ยาวกว่า คนที่สูงน้อยกว่า
แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าขนาดความยาวเท่าไหร่ที่เหมาะกับเรา
ร้านขายกระเป๋าแบ็คแพ็คส่วนใหญ่มักจะมีที่วัดความยาวช่วงหลัง ให้ได้วัดก่อนลองกระเป๋าค่ะ และจากนั้นก็ต้องทำการลองสะพายดูนะคะ
3). สายสะพายบ่า, สายรัดปรับระดับบริเวณช่วงอก และ สายรัดปรับระดับบริเวณช่วงสะโพก
สายพวกนี้ จะมีอยู่แล้ว ในกระเป๋าแบ็คแพ็คเกือบทุกประเภท ประโยชน์ของสายเหล่านี้ก็เพื่อปรับสมดุลกระเป๋า ที่วางอยู่บนหลังเรา ให้ถ่ายน้ำหนักลงไปที่สะโพก ไม่ใช่ไหล่และหลัง จึงทำให้รู้สึกว่าของที่แบกนั้น เบากว่าน้ำหนักจริง เป็นความมหัศจรรย์ของการประดิษฐ์กระเป๋าแบ็คแพ็คเลยแหละค่ะ
4). ระบบระบายอากาศด้านหลัง และระบบรองรับแผ่นหลัง
กระเป๋าแบ็คแพ็คส่วนใหญ่ มักจะออกแบบให้มีช่องว่างสำหรับการระบายอากาศ ระหว่างด้านหลังของกระเป๋าและช่วงหลังของผู้สะพายอยู่แล้ว เพื่อช่วยในการระบายเหงื่อ คลายความร้อนออกจากช่วงแผ่นหลัง ระบายความชื้นได้เร็วขึ้น จึงทำให้ลดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ และ อึดอัดตัว ขณะสะพายค่ะ
5). ผ้าคลุมกันฝน
ผ้าคลุมกันฝน นั้น ก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็น เพื่อป้องกันสิ่งของต่างๆ จากการเปียกชื้น ทั้งจากน้ำค้างและน้ำฝน หรือจากสิ่งสกปรก, คราบเลอะเทอะต่างๆ เช่น ฝุ่น หรือ โคลน ไม่ใช่ว่ากระเป๋าแบ็คแพ็คทุกใบจะมาพร้อมผ้าคลุมกันฝนนะคะ แต่เราสามารถหาซื้อผ้าคลุมกันฝนได้ ตามร้านขายอุปกรณ์เดินทางทั่วๆ ไปค่ะ
6). ต้องทดลองสะพายกระเป๋า ลองยืน และลองเดิน
การลองสะพายแบ็คแพ็ค ลองยืน และลองเดินดู ก่อนซื้อนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากๆ แต่ต้องไม่ใช่การลองสะพายกระเป๋าแบ๊คแพ๊คเปล่าๆ นะคะ ต้องลองสะพายกระเป๋าที่มีของอยู่ข้างใน โดยที่พี่ๆ คนขายจะเป็นคนที่เอาของใส่ให้เราลองค่ะ โดยเราควรจะแจ้งน้ำหนักที่เราคาดว่าเราจะต้องแบกของจริงๆ เช่น ตอนที่หยกลอง หยกแจ้งไปว่า เฉลี่ยแล้วหยกมักจะแบกของประมาณ 8-10 kg และต้องลองแบกเดิน แบกอยู่เฉยๆ สัก 5 นาที 10 นาที เพื่อเป็นการทดลองให้เสมือนการใช้กระเป๋าแบ็คแพ็คจริงๆ ซึ่งจะช่วยให้เราเลือกกระเป๋าใบที่เหมาะที่สุด และสะพายแล้วสบายที่สุดกับเราได้ค่ะ
ทริค:
ร้านค้าที่ดีจะต้องยินดีให้ลูกค้าทดลองสะพายได้อย่างใจเย็นด้วยความเข้าใจ โดยจะต้องเอาของใส่ลงในกระเป๋าแบบสมดุล ไม่หนักไปข้างใดข้างหนึ่ง และจะต้องแนะนำวิธีการสะพายกระเป๋าที่ถูกต้องให้กับลูกค้า
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ช่วยให้เลือกกระเป๋าแบ็คแพ็คคู่ใจกันได้ง่ายขึ้นนะคะ หากใครมีประสบการณ์ต่างๆ แชร์เข้ามาได้นะคะ
ปล. กระเป๋าซื้อเอง ใช้เองค่ะ ไม่ได้มีสปอนเซอร์ใดๆ
วิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็คคู่ใจ ใบเดียวเอาให้อยู่ทุกทริป
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาใน วิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค ก็คือความจุของกระเป๋าแบ็คแพ็ค ซึ่งมีหน่วยเป็นลิตร หมายความว่า หากเราใส่น้ำลงไปให้เต็มกระเป๋า กระเป๋าใบนั้นๆ จะสามารถจุน้ำได้กี่ลิตร ซึ่งกระเป๋าเป้เหล่านี้จะมีความจุตั้งแต่ 20 กว่าลิตรไปจนถึง เกือบๆ 100 ลิตร อาจจะเป็นตัวเลขเดี่ยวๆ เช่น 40 ก็หมายถึงจุได้ 40 ลิตร หรือ เป็นเลขแบบมีบวก เช่น 40+10 ก็หมายถึงจุของได้มากถึง 40 + 10 = 50 ลิตรนั่นเองค่ะ ซึ่งตัวหลังนี้เมื่อเทียบกับลักษณะของกระเป๋า จะหมายถึง ตัวกระเป๋าบริเวณด้านบนที่เป็นหูรูด จะมีพื้นที่ที่สามารถขยายขนาดกระเป๋าให้สูงขึ้นได้ เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้อีก 10 ลิตรนั่นเองค่ะ
โดยที่น้ำหนักของตัวกระเป๋าก็สำคัญเหมือนกัน ปัจจุบันนี้ วัสดุที่นำมาทำกระเป๋าของหลายๆ ยี่ห้อนั้นก็เหนียว แน่น แข็งแรง ทนทาน แต่น้ำหนักเบา แบบไม่ถึงกิโลหรือกิโลนิดๆ ก็มีค่ะ ซึ่งหยกเคยมีกระเป๋าที่แค่ตัวกระเป๋าก็หนักมาก หนักถึง 2.32 kg คือแค่ขนาดน้ำหนักกระเป๋าเอง ยังหนักขนาดนี้ ดังนั้นน้ำหนักกระเป๋าจึงเป็นอีกสิ่งที่ต้องพิจารณา
หยกสูง 163 cm หนัก 52-53 kg สามารถแบกของหนักได้ถึง 20 กิโลกรัมค่ะ (แบกขึ้นหลังได้ด้วยน้ำหนักเท่านี้ แต่จะมีความทรมานอย่างยิ่งยวด หากต้องแบกเดิน) หากจะกล่าวถึง น้ำหนักที่ต้องการแบกแบบสบายๆ หยกขอมากสุดไม่เกิน 12 kg คือจริงๆ สัก 10 kg นี่จะโอเคเลยค่ะ โดยหยกเลือกใช้กระเป๋าแบ็คแพ็คขนาด 38 ลิตร ตัวกระเป๋าเองมีน้ำหนักเบา ประมาณ 1.28 kg และสามารถจุของได้มากสุด 18 kg ซึ่งหยกก็ไม่มีความคิดที่อยากจะแบกของที่หนักถึง 18 kg เลย
คำแนะนำ:
หากผู้หญิงที่ตัวพอๆ กันกับหยก หรือจริงๆ คือผู้หญิงโดยส่วนใหญ่เลยแหละ ความจุของกระเป๋าที่แนะนำคือ ไม่ควรเกิน 40 ลิตรนะคะ (หลายคนมักจะคิดว่าจะใส่ของไม่พอ น้ำหนัก 40 ลิตร มันเยอะมากนะคะ ถ้าแพ็คของเป็น ถ้าไม่เอาของไปเผื่อ ใส่ของพอแน่นอนค่ะ แถมไม่ลำบากตัวเองด้วย) และควรจุของหนักสุดไม่เกิน 12 kg
แต่ถ้าผู้หญิงไซส์มินิ ความจุของกระเป๋าที่แนะนำคือ ไม่ควรเกิน 35 ลิตรค่ะ ส่วนน้องไข่มุก (น้องสาวหยก) ใช้ 28 ลิตรค่ะ ตัวกระเป๋าหนักแค่ 875 g เองค่ะ คือเริ่ดมาก จะเบาอะไรได้ขนาดนี้ แต่เหลือเชื่อ คือสามารถจุของได้มากถึง 15 kg เลยทีเดียว ซึ่งผู้หญิงไซส์นี้ ก็ไม่ควรแบกของหนักเกิน 7 - 8 kg นะคะ สุดๆ ก็พยายามอย่าให้เกิน 10 kg แล้วกันค่ะ จะได้ไม่ต้องทรมาน
ข้อสังเกต:
หยกมีกระเป๋าแบ็คแพ็คขนาด 38 ลิตร ที่สามารถจุได้มากถึง 18 kg หยกยังไม่อยากจะแบกหนักขนาดนั้นเลยค่ะ แล้วกระเป๋าขนาดที่ใหญ่กว่า 38 ลิตรล่ะ ใครจะต้องการแบกบ้างคะ? ถ้าไม่, แล้วนำ้หนักเท่าไหร่ที่อยากจะแบก?
1.2). การเลือกกระเป๋าแบ็คแพ็คใบใหญ่ๆ ไม่ใช่ วิธีเลือกซื้อกระเป๋าแบ็คแพ็ค ที่ถูกต้อง
ควรเลือกกระเป๋าใบที่พอดีกับตัวของเพื่อนๆ ต่างหาก เพราะหากระหว่างการแพ็คของ แล้วกระเป๋ายังมีพื้นที่เหลือ เราก็จะพยายามนึกถึงของที่น่าจะเอาไปเผื่อ แล้วใส่ของลงไปอีก จนเต็ม จนแน่น ใช่ไหมล่ะคะ
แต่ในทางกลับกัน หากเลือกกระเป๋าใบพอเหมาะ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป เราก็จะเลือกแพ็คของที่ต้องได้ใช้ ที่จำเป็นจริงๆ เพื่อใส่ลงไปตามพื้นที่ๆกระเป๋ามีใช่ไหมล่ะคะ
2). ขนาดความยาวของแผ่นหลังของกระเป๋า
กระเป๋าแบ็คแพ็คบางยี่ห้อ จะมีขนาด XS, S, M และ L ซึ่งหมายถึง ความยาวของแผ่นหลังของกระเป๋า ไม่ใช่ขนาดความจุของกระเป๋านะคะ หรือ บางยี่ห้อ เราสามารถปรับเองได้ โดยเลือกความยาวที่เหมาะกับความยาวของหลังของแต่ละบุคคลได้เลย เพราะคนแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย จะมีความยาวของช่วงหลังที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เด็กจะมีช่วงหลังที่สั้นกว่าผู้ใหญ่ หรือ คนที่ตัวสูงๆ มักจะมีช่วงหลังที่ยาวกว่า คนที่สูงน้อยกว่า
แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าขนาดความยาวเท่าไหร่ที่เหมาะกับเรา
ร้านขายกระเป๋าแบ็คแพ็คส่วนใหญ่มักจะมีที่วัดความยาวช่วงหลัง ให้ได้วัดก่อนลองกระเป๋าค่ะ และจากนั้นก็ต้องทำการลองสะพายดูนะคะ
3). สายสะพายบ่า, สายรัดปรับระดับบริเวณช่วงอก และ สายรัดปรับระดับบริเวณช่วงสะโพก
สายพวกนี้ จะมีอยู่แล้ว ในกระเป๋าแบ็คแพ็คเกือบทุกประเภท ประโยชน์ของสายเหล่านี้ก็เพื่อปรับสมดุลกระเป๋า ที่วางอยู่บนหลังเรา ให้ถ่ายน้ำหนักลงไปที่สะโพก ไม่ใช่ไหล่และหลัง จึงทำให้รู้สึกว่าของที่แบกนั้น เบากว่าน้ำหนักจริง เป็นความมหัศจรรย์ของการประดิษฐ์กระเป๋าแบ็คแพ็คเลยแหละค่ะ
4). ระบบระบายอากาศด้านหลัง และระบบรองรับแผ่นหลัง
กระเป๋าแบ็คแพ็คส่วนใหญ่ มักจะออกแบบให้มีช่องว่างสำหรับการระบายอากาศ ระหว่างด้านหลังของกระเป๋าและช่วงหลังของผู้สะพายอยู่แล้ว เพื่อช่วยในการระบายเหงื่อ คลายความร้อนออกจากช่วงแผ่นหลัง ระบายความชื้นได้เร็วขึ้น จึงทำให้ลดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ และ อึดอัดตัว ขณะสะพายค่ะ
5). ผ้าคลุมกันฝน
ผ้าคลุมกันฝน นั้น ก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็น เพื่อป้องกันสิ่งของต่างๆ จากการเปียกชื้น ทั้งจากน้ำค้างและน้ำฝน หรือจากสิ่งสกปรก, คราบเลอะเทอะต่างๆ เช่น ฝุ่น หรือ โคลน ไม่ใช่ว่ากระเป๋าแบ็คแพ็คทุกใบจะมาพร้อมผ้าคลุมกันฝนนะคะ แต่เราสามารถหาซื้อผ้าคลุมกันฝนได้ ตามร้านขายอุปกรณ์เดินทางทั่วๆ ไปค่ะ
6). ต้องทดลองสะพายกระเป๋า ลองยืน และลองเดิน
การลองสะพายแบ็คแพ็ค ลองยืน และลองเดินดู ก่อนซื้อนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากๆ แต่ต้องไม่ใช่การลองสะพายกระเป๋าแบ๊คแพ๊คเปล่าๆ นะคะ ต้องลองสะพายกระเป๋าที่มีของอยู่ข้างใน โดยที่พี่ๆ คนขายจะเป็นคนที่เอาของใส่ให้เราลองค่ะ โดยเราควรจะแจ้งน้ำหนักที่เราคาดว่าเราจะต้องแบกของจริงๆ เช่น ตอนที่หยกลอง หยกแจ้งไปว่า เฉลี่ยแล้วหยกมักจะแบกของประมาณ 8-10 kg และต้องลองแบกเดิน แบกอยู่เฉยๆ สัก 5 นาที 10 นาที เพื่อเป็นการทดลองให้เสมือนการใช้กระเป๋าแบ็คแพ็คจริงๆ ซึ่งจะช่วยให้เราเลือกกระเป๋าใบที่เหมาะที่สุด และสะพายแล้วสบายที่สุดกับเราได้ค่ะ
ทริค:
ร้านค้าที่ดีจะต้องยินดีให้ลูกค้าทดลองสะพายได้อย่างใจเย็นด้วยความเข้าใจ โดยจะต้องเอาของใส่ลงในกระเป๋าแบบสมดุล ไม่หนักไปข้างใดข้างหนึ่ง และจะต้องแนะนำวิธีการสะพายกระเป๋าที่ถูกต้องให้กับลูกค้า
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ช่วยให้เลือกกระเป๋าแบ็คแพ็คคู่ใจกันได้ง่ายขึ้นนะคะ หากใครมีประสบการณ์ต่างๆ แชร์เข้ามาได้นะคะ
ปล. กระเป๋าซื้อเอง ใช้เองค่ะ ไม่ได้มีสปอนเซอร์ใดๆ