สวัสดีชาวพันทิพกันอีกครั้ง
คราวที่แล้วดีใจมากๆที่กระทู้แชร์เรื่องราวการตั้งท้องของคนที่มีประจำเดือนแค่ปีละครั้ง ได้รับการตอบรับดีมากและทำให้ได้เจอเพื่อนๆร่วมชะตากรรมอีกหลายท่าน ใครสนใจไปตามอ่านได้ที่กระทู้นี้เลยค่า
https://ppantip.com/topic/38749262
หลังจากท้องเริ่มขยายเราก็เริ่มเจอปัญหาแบบเดียวกับแม่ๆท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนๆจนกลายร่างเป็นแม่วัว ไหนจะรอยด่างดำตามจุดนั้นจุดนี้ แถมคุณแม่บางท่านก็ถูกสิวถล่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฯลฯ การเป็นแม่คืองานเสียสละที่แท้ทรู แต่พอจินตนาการถึงวันที่จะเจอหน้าเจ้าตัวน้อยในพุง อะไรก็ยอมได้หมด
แต่เรื่องสวยงามเรายอมปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ
เป็นว่าที่คุณแม่ก็ต้องดูแลตัวเองเพิ่มหลายเท่าตัว
หลังจากอ่านและศึกษาข้อมูลเรื่องตั้งครรภ์แล้ว เราก็เจอเรื่องนึงที่คิดว่าน่าจะดูแล/ควบคุมได้ คือเรื่องของอาการแตกลายนั่นเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆที่ว่ามาก่อนหน้านี้ มักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ (และบางอย่างก็จะหายไปตามธรรมชาติหลังคลอดได้ด้วย) แต่เรื่องนี้ค่อนข้างควบคุมได้ และที่สำคัญ
รอยแตกลายถ้าเกิดแล้วหายยากกว่าอย่างอื่นที่ว่ามา จะอยู่ตราตรึงพุง หน้าอก หลังเอว ก้น และต้นขา ไปอีกนานแสนนาน ยิ่งเราเป็นคนผิวขาวด้วยแล้วรอยเห็นชัดแน่ๆแค่คิดก็กลัวแล้วค่ะ
ว่าที่คุณแม่ผิวแห้ง
เหตุผลหลักๆที่เราใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เพราะเราเป็นคนผิวแห้งมากกกกค่ะ แห้งขนาดที่ฤดูหนาวที่ไร ผิวมันจะแห้งลอกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า โซนไหนขยับมากๆก็จะรู้สึกถึงการแตกร้าวของผิวชั้นนอกเลยทีเดียว ที่โหดกว่านั้นบางปีที่แห้งมากๆก็พาลเป็นผิดผื่นแพ้อากาศ ทางออกเดียวคือต้องพึ่งยาแก้คันและประโคมโลชั่นเข้าไปทั่วร่างเท่านั้นเลยค่ะ ขนาดหน้าร้อนถึงจะหนึบๆตัวบ้างก็ยังทาเลยค่ะ ยิ่งหลังแต่งงานมาคุณสามีก็ชอบนอนแอร์ ทำให้บางคืนสภาพอากาศก็แห้งไม่ต่างจากช่วงหน้าหนาวเลย ครีม/โลชั่นที่เราใช้ก็หาได้ทั่วไปเพราะเราใช้หมดเร็วมากๆ เช่น Vaseline, Garnier, Boots, Nivea, Johnson & Johnson สลับๆกันไปตามรูปข้างล่างนี้เลย
เริ่มใช้ครีมทาท้องลายตอนไหนดี ?
ช่วงที่เหมาะจะเริ่มบำรุงหน้าท้องคือช่วงเดือนที่ 4 เนื่องจากพุงของเราจะเริ่มขยายจริงจังในช่วงนั้น บังเอิญเป็นช่วงเดียวกับงาน Baby Best Buy ตอนต้นปีด้วย เลยถือโอกาสไปตามหาครีมที่งาน ตอนแรกตั้งใจว่าจะรีวิวครีมจากหลายๆแบรนด์ที่สนใจทั้งหมด แต่พอมาคิดอีกทีก็อยากใช้เวลากับครีมแต่ละตัวแบบต่อเนื่องด้วย (อย่างน้อย 4 - 6 สัปดาห์) เพื่อจะเปรียบเทียบผลจริงๆ อีกอย่างครีมแต่ละตัวก็มีอายุหลังจากเปิดใช้งาน เลยเลือกซื้อเฉพาะตัวที่เราศึกษาข้อมูลมาแล้วน่าสนใจและซื้อแค่ในปริมาณที่คาดว่าจะใช้หมด ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีครีมตัวไหนบ้าง
NIVEA CREAM
เป็นตัวแรกที่เราใช้เพิ่มจากโลชั่นทาตัวปกติ ตั้งแต่ก่อน 4 เดือน เพราะช่วงนั้นเป็นปลายปี ที่ถึงจะหนาวอยู่ไม่กี่วันแต่ผิวเราก็เริ่มลอกจากช่วงหลังเอว ทำให้เรากังวลขึ้นมาทันที เลยเลือกครีมคลาสสิคอย่าง Nivea ตลับที่ขึ้นชื่อเรื่องความหนึบหนักของครีม เหมาะกับหน้าหนาวเป็นที่สุด อาจจะต้องมีเทคนิคในการทาสักหน่อย ตอนแรกๆเราใช้วิธีวอร์มครีมที่มือก่อนแต่ปรากฏว่า ปาดไปที่พุงเลยทาง่ายกว่าค่ะ โชคดีที่เราซื้อตอนช่วงปลายปีเลยได้ตลับลายน้องกระต่ายสุดคิวท์ด้วย : ) กลิ่นก็เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยกันของ Nivea อยู่แล้ว ข้อดีของครีมตัวนี้คือหาซื้อได้ทั่วไปและราคาสบายกระเป๋ามากก
เหมาะกับคุณแม่ที่อาจจะไม่อยากลงทุนมากกับครีมทาท้องลาย ถึงจะไม่ใช้ครีมที่เน้นเรื่อง Stretch Mark แต่ก็ชุ่มชื้นมากอยู่ (ถ้าไม่รำคาญความหนึบกันไปซะก่อน) เราได้ลองเอามาใช้ในช่วงหน้าร้อนบางวันดู ถ้าเป็นคืนที่ไม่นอนเปิดแอร์ก็มีอาการไม่สบายตัวบ้าง เล่นเอานอนไม่หลับเหมือนกันค่ะ
PUREEN STRETCH MARK CREAM
ขยับขึ้นมาเป็น Stretch Mark Cream จริงจัง ตัวนี้ไปได้มาจากงาน Baby Best Buy
เป็นครีมที่ไม่มีสารกันเสีย Paraben และแอลกอฮอลล์ Pureen ก็เป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อนมากมาย
ปลอดภัยกับการใช้ในช่วงตั้งท้องแน่นอน (เป็นจุดที่ทำให้เราเลือกซื้อ) ลองใช้เป็นตัวแรกตอนเข้าช่วงเดือนที่ 4 เนื้อครีมกลางๆออกไปทางเหลวหน่อยทาค่อนข้างง่าย มีกลิ่นเชียร์บัตเตอร์ซึ่งตอนใช้แรกๆเราไม่ค่อยชิน แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าก็หอมดี กลิ่นอ่อนกว่าตัว Nivea ลงมานิดนึง ให้ความชุ่มชื้นตรงจุดที่ทากำลังดี ใช้ได้ทั้งวันที่เปิดแอร์หรือวันอากาศร้อนก็ยังสบายตัวดี ชอบในความพอดีๆของครีมตัวนี้ อาจจะไม่ได้หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปแต่ออนไลน์หาไม่ยากค่ะ
BIO-OIL
เปลี่ยนจากครีมมาเป็นออยล์กันบ้าง Bio-Oil เค้าขึ้นชื่อในเรื่องของ
การลดรอยแผลเป็นและผิวแตกลาย ระดับที่เป็น
ผลิตภัณฑ์ที่แพทย์แนะนำ ปกติเราไม่ค่อยได้ใช้ออยล์เท่าไหร่ ที่เคยใช้ก็เป็นเบบี้ออยล์ทั่วไปซึ่งจำได้ว่าทิ้งความมันหลังทาไว้เยอะ เลยกลัวที่จะใช้ออยล์ในตอนแรก แต่พอได้ลองก็เป็นไปตามที่เค้าให้ข้อมูลไว้เลยว่า
ซึมเข้าผิวเร็วจนไม่ทิ้งความมันไว้ ตอนทาเสร็จใหม่ๆก็ยังชุ่มๆอยู่นะคะแต่พอตื่นเช้ามาพุงจะดูแห้งลื่นไปเลย คราวนี้ความซึมเร็วก็ทำให้สาวผิวแห้งแบบเราดันไม่เคยชิน เลยต้องแอบทาครีมตัวอื่นตามหลังจากลงออยล์ไปซักพัก แต่ถ้าเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวนี่ทาเดี่ยวๆได้เลยค่ะสบายตัว ที่ชอบสุดคือกลิ่นหอมละมุนๆออกไปทางคาโมมายล์ กลิ่นหอมแบบเด็กอ่อนเลย ราคาอาจจะสูงขึ้นมาหน่อยเมื่อเทียบกับปริมาณ และจะให้ได้ผล
ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ส่วนตัวเราคิดว่าน่าจะเหมาะกับคนที่ชอบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความบางเบา หรือใช้เสริมในคุณแม่ที่เน้นความสบายตัวและ/หรือมีรอยแตกลายที่เกิดขึ้นแล้วมากกว่า ถ้าใครเน้นความใช้ได้นาน Bio-Oil อาจจะไม่เหมาะ ยิ่งถ้าทาครบส่วนทั้งหน้าอกไปจนถีงต้นขาจะหมดเร็วมากแน่นอน ออยล์ตัวนี้หาซื้อได้ตามร้าน Boots, Watsons และร้านขายยาเลยค่ะ
CLARINS STRETCH MARK CONTROL
เป็นครีมตัวที่เริ่มมาจากผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองที่ได้มาจากงาน Baby Best Buy ซึ่งครั้งแรกได้ลองเอาไปใช้ตอนเที่ยวต่างจังหวัด เป็นช่วงเดียวกับที่มีผดขึ้นพุงพอดี แล้วความคันก็ลดลงผดก็หายไป บวกกับมีรุ่นพี่ที่เป็นคุณแม่ลูกสองไปแล้วแนะนำด้วย แถมรีวิวที่อ่านๆเจอก็บอกว่าใช้ดีจริงๆ
ตอนแรกก็ลังเลเพราะราคาที่สูงอยู่ แต่คุณภาพก็ย่อมต้องตามราคาแล้วก็จริงตามนั้นค่ะ Clarins ก็มีชื่อเสียงแนว Skincare อยู่แล้วด้วย ตัวนี้เป็นครีมที่
เน้นการควบคุม/ลดเรื่องรอยแตกลายและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เนื้อครีมหนึบกว่า Pureen ให้ความชุ่มชื้นกว่าอีกระดับนึง (แต่ไม่หนักและลงครีมไม่ยากแบบNivea) บางวันที่ทำงานลากยาวกว่าปกติ(เราทำงานในห้องแอร์ตลอด) กลับบ้านเราก็ยังรู้สึกได้ว่าจุดที่ทาชุ่มชื้นอยู่แต่ก็ยังสบายตัว เป็นครีมอีกตัวที่เหมาะกับหน้าหนาวของสาวผิวแห้งเลย และที่สำคัญเป็นครีมที่ไม่มีกลิ่น
น่าจะเหมาะกับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องยาวนานหรือคนที่แพ้กลิ่นน้ำหอมด้วย เราลองใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวในระยะเวลาที่พอๆกัน โดยเฉพาะถ้าเทียบกับครีมด้วยกันเอง ส่วนตัวรู้สึกว่า Clarins เหมือนจะใช้ได้นานกว่าหน่อย น่าจะเป็นเพราะความเข้มข้นของครีมทำให้ใช้ในปริมาณน้อยกว่าในแต่ละครั้ง และช่วงที่เราใช้ Clarins ต่อเนื่องเป็นเดือนรู้สึกว่ารอยด่างดำตรงด้านข้างของหน้าอกจางลง (ไม่กล้าถ่ายรูปมาลงนะคะ เขิน) แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าบังเอิญรึเปล่า ใครสนใจ Stretch Mark Control ตัวนี้หาซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ตามห้างได้เลยค่ะ BA ก็ดูแลดีให้ข้อมูลในการใช้ผลิตภัณฑ์แบบละเอียดเลย
CLARINS TONIC BODY TREATMENT OIL
ออยล์อีกตัวที่ได้ขนาดทดลองมาจากงาน BBB ต้องบอกก่อนว่า
ตัวนี้ไม่ได้เน้นเรื่องรอยแตกลายโดยตรง แต่ BA เชียร์ให้ซื้อและแนะนำให้
ใช้ควบคู่กับ Strech Mark Control เพื่อการดูแลที่ดียิ่งขึ้นของคนผิวแห้ง ตอนก่อนจะลอง Sample ก็ยังคงมีภาพจำในเรื่องของเบบี้ออยล์ติดอยู่ในใจเหมือนเดิม แต่พอเทลงมือคือรู้สึกได้ว่าความเข้มข้นที่ต่างจากเบบี้ออย์ และ Bio-Oil เนื้อออยล์ของ Clarins จะหนืดหน่อยๆ พอชะโลมลงผิวคือมีความชุ่มแต่ไม่มันเยิ้มและซึมลงผิวทิ้งความมันไว้ประมาณเดียวกับ Nivea แบบตลับ ไม่เหมือนที่คิดไว้ตอนแรก อีกอย่างที่ชอบคือเรื่องกลิ่นซึ่งออกแนว Organic
ทุกครั้งที่ใช้จะรู้สึกเหมือนทำสปา Aroma Therapy คนชอบแนวๆนี้เหมือนกันจะเข้าใจว่ามันทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ ช่วงเดือนที่แล้วร้อนพีคสุด แฟนเราก็เลยนอนเปิดแอร์แทบทุกวัน เราก็ถือโอกาสใช้ออยล์ควบคู่กับครีมของ Clarins เฉพาะในตอนกลางคืน ส่วนกลางวันก็ใช้แค่ Stretch Mark Control อย่างเดียว ซึ่งเราว่า
ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวก็เหมาะจะใช้สองตัวนี้ไปด้วยกันได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย กลิ่นก็ไม่ตีกันอยู่แล้วเพราะอย่างที่บอกว่าตัวครีมค่อนข้างไม่มีกลิ่น ออยล์ตัวนี้อาจจะมีขั้นตอนในการใช้ที่ซับซ้อนนิดหน่อย ตรงที่ต้องชะโลมตอนตัวยังหมาดอยู่และล้างออกด้วยน้ำเย็นอีกรอบ ปกติเราทำไม่ตรงวิธีไปนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้ล้างด้วยน้ำเย็นแต่จะรอเวลาให้ออยล์ซึมลงผิวแล้วสักพักค่อยตามด้วยตัวครีมทับเลย เพราะเราเป็นสายผิวแห้งด้วยเลยไม่ได้รู้สึกว่าหนึบไป เอาเป็นว่าสำหรับคุณแม่ท่านไหนผิวแห้งมากและใส่ใจเรื่องผิวเป็นพิเศษแบบเรา ก็แนะนำให้ใช้ทั้งสองตัวคู่กันเลย รับรองชุ่มชื้นยาวนาน
อวดพุงขาวๆให้ชมกันหน่อย
ปัจจุบันเราตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนกว่าๆแล้ว เราอายุ 31 และนี่เป็นท้องแรก : ) รูปภาพไม่รีทัชนะคะ ยังแอบมีรอยยุงกัดอยู่เลย ส่วนลายเขียวๆนี่เส้นเลือดด้านข้างตัวน้า มาถึงจุดนี้ได้แบบไม่มีรอยแตกลายเราดีใจมากๆ และขอบคุณความขยันของตัวเองด้วย มันก็มีหละวันที่เราอยากจะรีบๆอาบน้ำเร็วๆเพราะเหนื่อยมากแล้วแต่ก็อดทน นึกหลังคลอดเข้าไว้ว่าจะเหนื่อยกว่านี้แน่แค่นี้ยังชิลๆ วันนี้ก็เลยได้พุงขาวๆเป็นการตอบแทนคุ้มค่าที่ลงทุนและลงแรง ขยันๆหน่อยนะคะว่าที่คุณแม่ทุกท่าน
TIPS ในการใช้ครีมทาท้องลายในแบบของเรา
*** ลองสอบถามคุณแม่ คุณยายดูว่าตอนท้องท่านท้องแตกลายหรือไม่
ถ้าท่านท้องแตกลายคุณก็มีแนวโน้มว่าจะแตกลายเช่นกัน
*** น้ำหนักขึ้นยิ่งมากในช่วงที่ตั้งครรภ์ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการแตกลายที่มากขึ้น
*** ใช้ครีมทาท้องลายแต่เนิ่นๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์
*** อย่าทาครีมเฉพาะท้องเท่านั้น ให้ทาตั้งแต่หน้าอก ท้อง หลังเอว ก้น ลงไปถึงต้นขา
*** ส่วนท้องควรทาให้ถึงด้านใต้ท้องและข้างท้องด้วย อย่าเน้นเฉพาะตรงกลางหน้าท้อง
*** ถ้าใช้ครีมหรือออยล์ที่ค่อนข้างเข้มข้น ก็ควรขัดผิวส่วนที่ทาเป็นครั้งคราวด้วย
*** อย่าหยุดทาครีมทันทีหลังคลอด ทาไปเรื่อยๆจนกว่าผิวท้องจะกลับเข้าสู่สภาพเดิม
*** ที่สำคัญที่สุดคันแค่ไหน ก็ห้ามเกาเด็ดขาด และระวังเผลอเกาในช่วงกลางคืน
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรีวิวของเราจนจบ เรารีวิวจากข้อมูลที่เราใช้ผลิตภัณฑ์มาตลอดหลายเดือนนี้ อาจจะมีข้อมูลไหนผิดหรือคลาดเคลื่อนก็แจ้งเราให้แก้ไขได้ หรือใครมีประสบการณ์ในการใช้ครีมตัวไหนก็มาแชร์ข้อมูลกันดูค่ะ
[CR] รีวิวครีมทาท้องลายฉบับว่าที่คุณแม่ผิวแห้ง พร้อมTIPSในการดูแลท้องให้ขาวจั๊วะ
คราวที่แล้วดีใจมากๆที่กระทู้แชร์เรื่องราวการตั้งท้องของคนที่มีประจำเดือนแค่ปีละครั้ง ได้รับการตอบรับดีมากและทำให้ได้เจอเพื่อนๆร่วมชะตากรรมอีกหลายท่าน ใครสนใจไปตามอ่านได้ที่กระทู้นี้เลยค่า https://ppantip.com/topic/38749262
หลังจากท้องเริ่มขยายเราก็เริ่มเจอปัญหาแบบเดียวกับแม่ๆท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนๆจนกลายร่างเป็นแม่วัว ไหนจะรอยด่างดำตามจุดนั้นจุดนี้ แถมคุณแม่บางท่านก็ถูกสิวถล่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฯลฯ การเป็นแม่คืองานเสียสละที่แท้ทรู แต่พอจินตนาการถึงวันที่จะเจอหน้าเจ้าตัวน้อยในพุง อะไรก็ยอมได้หมด แต่เรื่องสวยงามเรายอมปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ
เป็นว่าที่คุณแม่ก็ต้องดูแลตัวเองเพิ่มหลายเท่าตัว
หลังจากอ่านและศึกษาข้อมูลเรื่องตั้งครรภ์แล้ว เราก็เจอเรื่องนึงที่คิดว่าน่าจะดูแล/ควบคุมได้ คือเรื่องของอาการแตกลายนั่นเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆที่ว่ามาก่อนหน้านี้ มักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ (และบางอย่างก็จะหายไปตามธรรมชาติหลังคลอดได้ด้วย) แต่เรื่องนี้ค่อนข้างควบคุมได้ และที่สำคัญรอยแตกลายถ้าเกิดแล้วหายยากกว่าอย่างอื่นที่ว่ามา จะอยู่ตราตรึงพุง หน้าอก หลังเอว ก้น และต้นขา ไปอีกนานแสนนาน ยิ่งเราเป็นคนผิวขาวด้วยแล้วรอยเห็นชัดแน่ๆแค่คิดก็กลัวแล้วค่ะ
ว่าที่คุณแม่ผิวแห้ง
เหตุผลหลักๆที่เราใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเราเป็นคนผิวแห้งมากกกกค่ะ แห้งขนาดที่ฤดูหนาวที่ไร ผิวมันจะแห้งลอกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า โซนไหนขยับมากๆก็จะรู้สึกถึงการแตกร้าวของผิวชั้นนอกเลยทีเดียว ที่โหดกว่านั้นบางปีที่แห้งมากๆก็พาลเป็นผิดผื่นแพ้อากาศ ทางออกเดียวคือต้องพึ่งยาแก้คันและประโคมโลชั่นเข้าไปทั่วร่างเท่านั้นเลยค่ะ ขนาดหน้าร้อนถึงจะหนึบๆตัวบ้างก็ยังทาเลยค่ะ ยิ่งหลังแต่งงานมาคุณสามีก็ชอบนอนแอร์ ทำให้บางคืนสภาพอากาศก็แห้งไม่ต่างจากช่วงหน้าหนาวเลย ครีม/โลชั่นที่เราใช้ก็หาได้ทั่วไปเพราะเราใช้หมดเร็วมากๆ เช่น Vaseline, Garnier, Boots, Nivea, Johnson & Johnson สลับๆกันไปตามรูปข้างล่างนี้เลย
เริ่มใช้ครีมทาท้องลายตอนไหนดี ?
ช่วงที่เหมาะจะเริ่มบำรุงหน้าท้องคือช่วงเดือนที่ 4 เนื่องจากพุงของเราจะเริ่มขยายจริงจังในช่วงนั้น บังเอิญเป็นช่วงเดียวกับงาน Baby Best Buy ตอนต้นปีด้วย เลยถือโอกาสไปตามหาครีมที่งาน ตอนแรกตั้งใจว่าจะรีวิวครีมจากหลายๆแบรนด์ที่สนใจทั้งหมด แต่พอมาคิดอีกทีก็อยากใช้เวลากับครีมแต่ละตัวแบบต่อเนื่องด้วย (อย่างน้อย 4 - 6 สัปดาห์) เพื่อจะเปรียบเทียบผลจริงๆ อีกอย่างครีมแต่ละตัวก็มีอายุหลังจากเปิดใช้งาน เลยเลือกซื้อเฉพาะตัวที่เราศึกษาข้อมูลมาแล้วน่าสนใจและซื้อแค่ในปริมาณที่คาดว่าจะใช้หมด ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีครีมตัวไหนบ้าง
NIVEA CREAM
เป็นตัวแรกที่เราใช้เพิ่มจากโลชั่นทาตัวปกติ ตั้งแต่ก่อน 4 เดือน เพราะช่วงนั้นเป็นปลายปี ที่ถึงจะหนาวอยู่ไม่กี่วันแต่ผิวเราก็เริ่มลอกจากช่วงหลังเอว ทำให้เรากังวลขึ้นมาทันที เลยเลือกครีมคลาสสิคอย่าง Nivea ตลับที่ขึ้นชื่อเรื่องความหนึบหนักของครีม เหมาะกับหน้าหนาวเป็นที่สุด อาจจะต้องมีเทคนิคในการทาสักหน่อย ตอนแรกๆเราใช้วิธีวอร์มครีมที่มือก่อนแต่ปรากฏว่า ปาดไปที่พุงเลยทาง่ายกว่าค่ะ โชคดีที่เราซื้อตอนช่วงปลายปีเลยได้ตลับลายน้องกระต่ายสุดคิวท์ด้วย : ) กลิ่นก็เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยกันของ Nivea อยู่แล้ว ข้อดีของครีมตัวนี้คือหาซื้อได้ทั่วไปและราคาสบายกระเป๋ามากก เหมาะกับคุณแม่ที่อาจจะไม่อยากลงทุนมากกับครีมทาท้องลาย ถึงจะไม่ใช้ครีมที่เน้นเรื่อง Stretch Mark แต่ก็ชุ่มชื้นมากอยู่ (ถ้าไม่รำคาญความหนึบกันไปซะก่อน) เราได้ลองเอามาใช้ในช่วงหน้าร้อนบางวันดู ถ้าเป็นคืนที่ไม่นอนเปิดแอร์ก็มีอาการไม่สบายตัวบ้าง เล่นเอานอนไม่หลับเหมือนกันค่ะ
PUREEN STRETCH MARK CREAM
ขยับขึ้นมาเป็น Stretch Mark Cream จริงจัง ตัวนี้ไปได้มาจากงาน Baby Best Buy เป็นครีมที่ไม่มีสารกันเสีย Paraben และแอลกอฮอลล์ Pureen ก็เป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อนมากมาย ปลอดภัยกับการใช้ในช่วงตั้งท้องแน่นอน (เป็นจุดที่ทำให้เราเลือกซื้อ) ลองใช้เป็นตัวแรกตอนเข้าช่วงเดือนที่ 4 เนื้อครีมกลางๆออกไปทางเหลวหน่อยทาค่อนข้างง่าย มีกลิ่นเชียร์บัตเตอร์ซึ่งตอนใช้แรกๆเราไม่ค่อยชิน แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าก็หอมดี กลิ่นอ่อนกว่าตัว Nivea ลงมานิดนึง ให้ความชุ่มชื้นตรงจุดที่ทากำลังดี ใช้ได้ทั้งวันที่เปิดแอร์หรือวันอากาศร้อนก็ยังสบายตัวดี ชอบในความพอดีๆของครีมตัวนี้ อาจจะไม่ได้หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปแต่ออนไลน์หาไม่ยากค่ะ
BIO-OIL
เปลี่ยนจากครีมมาเป็นออยล์กันบ้าง Bio-Oil เค้าขึ้นชื่อในเรื่องของการลดรอยแผลเป็นและผิวแตกลาย ระดับที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่แพทย์แนะนำ ปกติเราไม่ค่อยได้ใช้ออยล์เท่าไหร่ ที่เคยใช้ก็เป็นเบบี้ออยล์ทั่วไปซึ่งจำได้ว่าทิ้งความมันหลังทาไว้เยอะ เลยกลัวที่จะใช้ออยล์ในตอนแรก แต่พอได้ลองก็เป็นไปตามที่เค้าให้ข้อมูลไว้เลยว่าซึมเข้าผิวเร็วจนไม่ทิ้งความมันไว้ ตอนทาเสร็จใหม่ๆก็ยังชุ่มๆอยู่นะคะแต่พอตื่นเช้ามาพุงจะดูแห้งลื่นไปเลย คราวนี้ความซึมเร็วก็ทำให้สาวผิวแห้งแบบเราดันไม่เคยชิน เลยต้องแอบทาครีมตัวอื่นตามหลังจากลงออยล์ไปซักพัก แต่ถ้าเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวนี่ทาเดี่ยวๆได้เลยค่ะสบายตัว ที่ชอบสุดคือกลิ่นหอมละมุนๆออกไปทางคาโมมายล์ กลิ่นหอมแบบเด็กอ่อนเลย ราคาอาจจะสูงขึ้นมาหน่อยเมื่อเทียบกับปริมาณ และจะให้ได้ผลต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ส่วนตัวเราคิดว่าน่าจะเหมาะกับคนที่ชอบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความบางเบา หรือใช้เสริมในคุณแม่ที่เน้นความสบายตัวและ/หรือมีรอยแตกลายที่เกิดขึ้นแล้วมากกว่า ถ้าใครเน้นความใช้ได้นาน Bio-Oil อาจจะไม่เหมาะ ยิ่งถ้าทาครบส่วนทั้งหน้าอกไปจนถีงต้นขาจะหมดเร็วมากแน่นอน ออยล์ตัวนี้หาซื้อได้ตามร้าน Boots, Watsons และร้านขายยาเลยค่ะ
CLARINS STRETCH MARK CONTROL
เป็นครีมตัวที่เริ่มมาจากผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองที่ได้มาจากงาน Baby Best Buy ซึ่งครั้งแรกได้ลองเอาไปใช้ตอนเที่ยวต่างจังหวัด เป็นช่วงเดียวกับที่มีผดขึ้นพุงพอดี แล้วความคันก็ลดลงผดก็หายไป บวกกับมีรุ่นพี่ที่เป็นคุณแม่ลูกสองไปแล้วแนะนำด้วย แถมรีวิวที่อ่านๆเจอก็บอกว่าใช้ดีจริงๆ
ตอนแรกก็ลังเลเพราะราคาที่สูงอยู่ แต่คุณภาพก็ย่อมต้องตามราคาแล้วก็จริงตามนั้นค่ะ Clarins ก็มีชื่อเสียงแนว Skincare อยู่แล้วด้วย ตัวนี้เป็นครีมที่เน้นการควบคุม/ลดเรื่องรอยแตกลายและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เนื้อครีมหนึบกว่า Pureen ให้ความชุ่มชื้นกว่าอีกระดับนึง (แต่ไม่หนักและลงครีมไม่ยากแบบNivea) บางวันที่ทำงานลากยาวกว่าปกติ(เราทำงานในห้องแอร์ตลอด) กลับบ้านเราก็ยังรู้สึกได้ว่าจุดที่ทาชุ่มชื้นอยู่แต่ก็ยังสบายตัว เป็นครีมอีกตัวที่เหมาะกับหน้าหนาวของสาวผิวแห้งเลย และที่สำคัญเป็นครีมที่ไม่มีกลิ่น น่าจะเหมาะกับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องยาวนานหรือคนที่แพ้กลิ่นน้ำหอมด้วย เราลองใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวในระยะเวลาที่พอๆกัน โดยเฉพาะถ้าเทียบกับครีมด้วยกันเอง ส่วนตัวรู้สึกว่า Clarins เหมือนจะใช้ได้นานกว่าหน่อย น่าจะเป็นเพราะความเข้มข้นของครีมทำให้ใช้ในปริมาณน้อยกว่าในแต่ละครั้ง และช่วงที่เราใช้ Clarins ต่อเนื่องเป็นเดือนรู้สึกว่ารอยด่างดำตรงด้านข้างของหน้าอกจางลง (ไม่กล้าถ่ายรูปมาลงนะคะ เขิน) แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าบังเอิญรึเปล่า ใครสนใจ Stretch Mark Control ตัวนี้หาซื้อได้ที่เคาท์เตอร์ตามห้างได้เลยค่ะ BA ก็ดูแลดีให้ข้อมูลในการใช้ผลิตภัณฑ์แบบละเอียดเลย
CLARINS TONIC BODY TREATMENT OIL
ออยล์อีกตัวที่ได้ขนาดทดลองมาจากงาน BBB ต้องบอกก่อนว่าตัวนี้ไม่ได้เน้นเรื่องรอยแตกลายโดยตรง แต่ BA เชียร์ให้ซื้อและแนะนำให้ใช้ควบคู่กับ Strech Mark Control เพื่อการดูแลที่ดียิ่งขึ้นของคนผิวแห้ง ตอนก่อนจะลอง Sample ก็ยังคงมีภาพจำในเรื่องของเบบี้ออยล์ติดอยู่ในใจเหมือนเดิม แต่พอเทลงมือคือรู้สึกได้ว่าความเข้มข้นที่ต่างจากเบบี้ออย์ และ Bio-Oil เนื้อออยล์ของ Clarins จะหนืดหน่อยๆ พอชะโลมลงผิวคือมีความชุ่มแต่ไม่มันเยิ้มและซึมลงผิวทิ้งความมันไว้ประมาณเดียวกับ Nivea แบบตลับ ไม่เหมือนที่คิดไว้ตอนแรก อีกอย่างที่ชอบคือเรื่องกลิ่นซึ่งออกแนว Organic ทุกครั้งที่ใช้จะรู้สึกเหมือนทำสปา Aroma Therapy คนชอบแนวๆนี้เหมือนกันจะเข้าใจว่ามันทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ ช่วงเดือนที่แล้วร้อนพีคสุด แฟนเราก็เลยนอนเปิดแอร์แทบทุกวัน เราก็ถือโอกาสใช้ออยล์ควบคู่กับครีมของ Clarins เฉพาะในตอนกลางคืน ส่วนกลางวันก็ใช้แค่ Stretch Mark Control อย่างเดียว ซึ่งเราว่าถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวก็เหมาะจะใช้สองตัวนี้ไปด้วยกันได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย กลิ่นก็ไม่ตีกันอยู่แล้วเพราะอย่างที่บอกว่าตัวครีมค่อนข้างไม่มีกลิ่น ออยล์ตัวนี้อาจจะมีขั้นตอนในการใช้ที่ซับซ้อนนิดหน่อย ตรงที่ต้องชะโลมตอนตัวยังหมาดอยู่และล้างออกด้วยน้ำเย็นอีกรอบ ปกติเราทำไม่ตรงวิธีไปนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้ล้างด้วยน้ำเย็นแต่จะรอเวลาให้ออยล์ซึมลงผิวแล้วสักพักค่อยตามด้วยตัวครีมทับเลย เพราะเราเป็นสายผิวแห้งด้วยเลยไม่ได้รู้สึกว่าหนึบไป เอาเป็นว่าสำหรับคุณแม่ท่านไหนผิวแห้งมากและใส่ใจเรื่องผิวเป็นพิเศษแบบเรา ก็แนะนำให้ใช้ทั้งสองตัวคู่กันเลย รับรองชุ่มชื้นยาวนาน
อวดพุงขาวๆให้ชมกันหน่อย
ปัจจุบันเราตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนกว่าๆแล้ว เราอายุ 31 และนี่เป็นท้องแรก : ) รูปภาพไม่รีทัชนะคะ ยังแอบมีรอยยุงกัดอยู่เลย ส่วนลายเขียวๆนี่เส้นเลือดด้านข้างตัวน้า มาถึงจุดนี้ได้แบบไม่มีรอยแตกลายเราดีใจมากๆ และขอบคุณความขยันของตัวเองด้วย มันก็มีหละวันที่เราอยากจะรีบๆอาบน้ำเร็วๆเพราะเหนื่อยมากแล้วแต่ก็อดทน นึกหลังคลอดเข้าไว้ว่าจะเหนื่อยกว่านี้แน่แค่นี้ยังชิลๆ วันนี้ก็เลยได้พุงขาวๆเป็นการตอบแทนคุ้มค่าที่ลงทุนและลงแรง ขยันๆหน่อยนะคะว่าที่คุณแม่ทุกท่าน
TIPS ในการใช้ครีมทาท้องลายในแบบของเรา
*** ลองสอบถามคุณแม่ คุณยายดูว่าตอนท้องท่านท้องแตกลายหรือไม่
ถ้าท่านท้องแตกลายคุณก็มีแนวโน้มว่าจะแตกลายเช่นกัน
*** น้ำหนักขึ้นยิ่งมากในช่วงที่ตั้งครรภ์ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการแตกลายที่มากขึ้น
*** ใช้ครีมทาท้องลายแต่เนิ่นๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์
*** อย่าทาครีมเฉพาะท้องเท่านั้น ให้ทาตั้งแต่หน้าอก ท้อง หลังเอว ก้น ลงไปถึงต้นขา
*** ส่วนท้องควรทาให้ถึงด้านใต้ท้องและข้างท้องด้วย อย่าเน้นเฉพาะตรงกลางหน้าท้อง
*** ถ้าใช้ครีมหรือออยล์ที่ค่อนข้างเข้มข้น ก็ควรขัดผิวส่วนที่ทาเป็นครั้งคราวด้วย
*** อย่าหยุดทาครีมทันทีหลังคลอด ทาไปเรื่อยๆจนกว่าผิวท้องจะกลับเข้าสู่สภาพเดิม
*** ที่สำคัญที่สุดคันแค่ไหน ก็ห้ามเกาเด็ดขาด และระวังเผลอเกาในช่วงกลางคืน
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรีวิวของเราจนจบ เรารีวิวจากข้อมูลที่เราใช้ผลิตภัณฑ์มาตลอดหลายเดือนนี้ อาจจะมีข้อมูลไหนผิดหรือคลาดเคลื่อนก็แจ้งเราให้แก้ไขได้ หรือใครมีประสบการณ์ในการใช้ครีมตัวไหนก็มาแชร์ข้อมูลกันดูค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้