ตอนนี้กำลังหางานใหม่อยู่ครับ ก็เลยได้ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทแห่งหนึ่ง
รอบแรก คือ สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ผู้หญิง ก็ถามประวัติข้อมูลธรรมดาๆครับ สัมภาษณ์เสร็จพี่เขาก็บอกว่าจะมีสัมภาษณ์รอบต่อไปเป็น English Proficiency กับคนญี่ปุ่น ซึ่งเราก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะก็เคยเจอคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษเก่งอยู่หลายคนครับ
ขอบอกไว้ก่อนเลยครับว่าภาษาอังกฤษของเราพอสื่อสายได้ ไม่ถึงขนาดกับโปร (TOEIC ที่สอบรอบแรกและรอบเดียว คือ 860/990 คะแนน / ส่วน IELTS กำลังอ่านเตรียมสอบพร้อมๆกับเก็บเงินค่าสอบอยู่...ให้ตายเถอะ ทำไมค่าสอบมันแสนแพงขนาดนี้ T-T) ส่วนใหญ่นอกจากเรียนในชั้นแล้ว เราก็อาศัยดูหนัง ดูยูทูป ฟังวิทยุ และก็ไปทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัททัวร์ครับ ก็เลยได้ฝึกพูดกับฟัง ส่วนอ่านกับเขียนก็อาศัยการเขียนเปเปอร์ส่วนใหญ่ที่ต้องอ้างอิงเอกสารภาษาอังกฤษต่างๆ เวลาพูดกับฝรั่งหรือรายงานอะไรก็เข้าใจนะครับ ไม่ได้โปรมากแต่ก็ไม่ถึงกับมีปัญหา
กลับมาตอนสัมภาษณ์ครับผม ตอนเราเดินเข้าไปในห้องก็เจอกับผู้ชายญี่ปุ่นที่หน้าบอกบุญไม่รับเลยครับ 555 เรานั่งลง ยกมือไว้และก็ยิ้มให้เขา เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมา (สงสัยจะเหนื่อยมาทั้งวัน แล้วก็ทำงานวันเสาร์ด้วย) เราเอากระดาษประเมินผลสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษที่พี่ผู้หญิงให้มายื่นให้เขา (เป็นตารางคะแนนวัดผลต่างๆให้เขาติ๊กกับเขียนประเมิน) จากนั้นก็เริ่มสัมภาษณ์ครับ
สำหรับเราแล้ว สำเนียงภาษาอังกฤษของเขาฟังค้อนข้างยากมาก เลยต้องตั้งใจฟังดีๆ (คนญี่ปุ่นที่รู้จักพูดอังกฤษไม่ติดสำเนียงญี่ปุ่นเท่านี้นะ) คำถามก็เป็นแพทเทิร์นคล้ายๆกับสัมภาษณ์รอบแรก เวลาเราพูดภาษาอังกฤษ เราก็จะมองไปยังหน้าผู้ฟังตลอดว่าฟังเรารู้เรื่องไหม ดูว่าเขามีสีหน้ายังไง ซึ่งมีติดขัดช่วงแรกๆก็คือ
A: What’s your name ?
B: My name is……………….., sir.
A: Where you live now….alone or with family ? (ไม่ได้ถาม Where do you live now นะครับ)
B: Now I live alone in Bangna, My mom lives in………., my hometown and my dad passed away when I was young. (เขาก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจนะ) แต่ปัญหาคือประโยคต่อมา
A: Where your parents live ? ประโยคนี้คือเขาออกเสียง parents ฟังยากมาก จนเราฟังไม่ออก แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะถามคำถามนี้ด้วย เพราะก็เพิ่งบอกไปเมื่อตะกี้นี้ไง ก็เห็นพยักหน้าอยู่ ไม่คิดว่าจะถามซ้ำแบบนี้
B: Sorry, sir. Again, please.
A: (สีหน้าไม่พอใจ ส่ายหัวแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เขาก็พยายามพูดช้าๆเน้นๆว่า) Your father…..your mother…Where…they…live…now ?
B: (เราก็ตอบเหมือนเดิม) My mom lives in…., my hometown and my dad passed away when I was young. (เขาก็ยังส่ายหัวแล้วก็เขียนๆลงไปในกระดาษ ดูจากการติ๊กของเขาแล้วน่าจะเป็นช่องคะแนนน้อยๆ)
จากนั้นก็เป็นคำถามประเภทที่ว่า เรียนอะไรมา ทำไมถึงเลือกเรียนด้านนี้ ทำงานไรอยู่ หน้าที่งานเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ฟังๆเราพูด ไม่ได้ถามต่อยอดเพิ่มเติมจากคำถามเดิม แล้วก็สัมภาษณ์เสร็จ
ผลออกมาคือ ภาษาพอผ่าน แต่โดนติงเรื่องที่ต้องให้เขาพูดซ้ำ แล้วก็บอกว่าเราพูดรัวและก็ใช้ศัพท์ยากบางคำที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง (แต่เราว่าเราก็พูดความเร็วปกตินะ แล้วก็คิดว่าไม่ได้ใช้ศัพท์เกินความเข้าใจขนาดนั้นนะ ที่จำได้ว่าตั้งใจเลือกคำให้สวยๆตอนบรรยายประเทศหนึ่งที่ประทับใจ ก็ประมาณว่า fascinating culture, picturesque landscape, serenity, sophisticated cuisine นอกนั้นก็เป็นศัพท์ธรรมดา) พี่ผู้หญิงบอกว่าคนญี่ปุ่นบอกว่าเราควรพูดช้าและปรับคำศัพท์ให้เข้ากับบุคคลที่กำลังพูดด้วย ซึ่งเราก็เข้าใจนะหากมันเป็นการสนทนาปกติ แต่มันติดที่ว่ามันเป็นสอบ English Proficiency ไม่ใช่เหรอ เราก็ควรจะพยายามแสดงความสามารถที่เรามีให้ถึงที่สุดหรือเปล่า
ถ้าเป็นคุณ คุณจะพูดช้าปรับคำศัพท์ลงมาหรือจะพูดอย่างที่ตัวเองสามารถทำได้ดีที่สุดครับ
แชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษกับคนญี่ปุ่นครับ
รอบแรก คือ สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ผู้หญิง ก็ถามประวัติข้อมูลธรรมดาๆครับ สัมภาษณ์เสร็จพี่เขาก็บอกว่าจะมีสัมภาษณ์รอบต่อไปเป็น English Proficiency กับคนญี่ปุ่น ซึ่งเราก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะก็เคยเจอคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษเก่งอยู่หลายคนครับ
ขอบอกไว้ก่อนเลยครับว่าภาษาอังกฤษของเราพอสื่อสายได้ ไม่ถึงขนาดกับโปร (TOEIC ที่สอบรอบแรกและรอบเดียว คือ 860/990 คะแนน / ส่วน IELTS กำลังอ่านเตรียมสอบพร้อมๆกับเก็บเงินค่าสอบอยู่...ให้ตายเถอะ ทำไมค่าสอบมันแสนแพงขนาดนี้ T-T) ส่วนใหญ่นอกจากเรียนในชั้นแล้ว เราก็อาศัยดูหนัง ดูยูทูป ฟังวิทยุ และก็ไปทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัททัวร์ครับ ก็เลยได้ฝึกพูดกับฟัง ส่วนอ่านกับเขียนก็อาศัยการเขียนเปเปอร์ส่วนใหญ่ที่ต้องอ้างอิงเอกสารภาษาอังกฤษต่างๆ เวลาพูดกับฝรั่งหรือรายงานอะไรก็เข้าใจนะครับ ไม่ได้โปรมากแต่ก็ไม่ถึงกับมีปัญหา
กลับมาตอนสัมภาษณ์ครับผม ตอนเราเดินเข้าไปในห้องก็เจอกับผู้ชายญี่ปุ่นที่หน้าบอกบุญไม่รับเลยครับ 555 เรานั่งลง ยกมือไว้และก็ยิ้มให้เขา เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมา (สงสัยจะเหนื่อยมาทั้งวัน แล้วก็ทำงานวันเสาร์ด้วย) เราเอากระดาษประเมินผลสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษที่พี่ผู้หญิงให้มายื่นให้เขา (เป็นตารางคะแนนวัดผลต่างๆให้เขาติ๊กกับเขียนประเมิน) จากนั้นก็เริ่มสัมภาษณ์ครับ
สำหรับเราแล้ว สำเนียงภาษาอังกฤษของเขาฟังค้อนข้างยากมาก เลยต้องตั้งใจฟังดีๆ (คนญี่ปุ่นที่รู้จักพูดอังกฤษไม่ติดสำเนียงญี่ปุ่นเท่านี้นะ) คำถามก็เป็นแพทเทิร์นคล้ายๆกับสัมภาษณ์รอบแรก เวลาเราพูดภาษาอังกฤษ เราก็จะมองไปยังหน้าผู้ฟังตลอดว่าฟังเรารู้เรื่องไหม ดูว่าเขามีสีหน้ายังไง ซึ่งมีติดขัดช่วงแรกๆก็คือ
A: What’s your name ?
B: My name is……………….., sir.
A: Where you live now….alone or with family ? (ไม่ได้ถาม Where do you live now นะครับ)
B: Now I live alone in Bangna, My mom lives in………., my hometown and my dad passed away when I was young. (เขาก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจนะ) แต่ปัญหาคือประโยคต่อมา
A: Where your parents live ? ประโยคนี้คือเขาออกเสียง parents ฟังยากมาก จนเราฟังไม่ออก แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะถามคำถามนี้ด้วย เพราะก็เพิ่งบอกไปเมื่อตะกี้นี้ไง ก็เห็นพยักหน้าอยู่ ไม่คิดว่าจะถามซ้ำแบบนี้
B: Sorry, sir. Again, please.
A: (สีหน้าไม่พอใจ ส่ายหัวแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เขาก็พยายามพูดช้าๆเน้นๆว่า) Your father…..your mother…Where…they…live…now ?
B: (เราก็ตอบเหมือนเดิม) My mom lives in…., my hometown and my dad passed away when I was young. (เขาก็ยังส่ายหัวแล้วก็เขียนๆลงไปในกระดาษ ดูจากการติ๊กของเขาแล้วน่าจะเป็นช่องคะแนนน้อยๆ)
จากนั้นก็เป็นคำถามประเภทที่ว่า เรียนอะไรมา ทำไมถึงเลือกเรียนด้านนี้ ทำงานไรอยู่ หน้าที่งานเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ฟังๆเราพูด ไม่ได้ถามต่อยอดเพิ่มเติมจากคำถามเดิม แล้วก็สัมภาษณ์เสร็จ
ผลออกมาคือ ภาษาพอผ่าน แต่โดนติงเรื่องที่ต้องให้เขาพูดซ้ำ แล้วก็บอกว่าเราพูดรัวและก็ใช้ศัพท์ยากบางคำที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง (แต่เราว่าเราก็พูดความเร็วปกตินะ แล้วก็คิดว่าไม่ได้ใช้ศัพท์เกินความเข้าใจขนาดนั้นนะ ที่จำได้ว่าตั้งใจเลือกคำให้สวยๆตอนบรรยายประเทศหนึ่งที่ประทับใจ ก็ประมาณว่า fascinating culture, picturesque landscape, serenity, sophisticated cuisine นอกนั้นก็เป็นศัพท์ธรรมดา) พี่ผู้หญิงบอกว่าคนญี่ปุ่นบอกว่าเราควรพูดช้าและปรับคำศัพท์ให้เข้ากับบุคคลที่กำลังพูดด้วย ซึ่งเราก็เข้าใจนะหากมันเป็นการสนทนาปกติ แต่มันติดที่ว่ามันเป็นสอบ English Proficiency ไม่ใช่เหรอ เราก็ควรจะพยายามแสดงความสามารถที่เรามีให้ถึงที่สุดหรือเปล่า
ถ้าเป็นคุณ คุณจะพูดช้าปรับคำศัพท์ลงมาหรือจะพูดอย่างที่ตัวเองสามารถทำได้ดีที่สุดครับ