#เขานมสาว #น้ำตกสามหลั่น #สระบุรี
#คลิปvdo
-จุดชมวิว เขานมนาง
https://youtu.be/lSasjlrCdg0
-เดินป่า เขานมนาง-เขาเรดาร์
https://youtu.be/eBYSWqgYs9U
ทริปนี้...เนื่องจาก พวกเราไปไหว้บรรพบุรุษ ในช่วงเช้งเม้งกัน แถวสระบุรี เลยหาที่เดินชิลๆง่ายๆ แล้วนอนในป่าชิลๆแถวนั้นสักคืนแบบส่วนตัว
พอดีเห็นว่า ยอดเขานมสาวเป็นยอดเขาที่ไม่สูงมาก สูงราว300ม.ได้ แถมไม่ค่อยมีคนมาเดิน น่าจะเงียบสงบ เมื่อลองเช็คแผนที่ดูแล้ว ห่างจากสุสานที่เรามาไหว้บรรพบุรุษ ไม่ไกลกันมาก
:
หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจช่วงเช้า ที่ไหว้เช้งเม้ง แล้วอาบแดดเป็นที่เรียบร้อย พอให้ได้ชุ่มช่ำเหงื่อกันพอสมควร พวกเราสามคน ฮ้อ,ดิ๋ม,รัตน์ ก็เดินทางมายัง #อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น โดยก่อนหน้านี้เราโทรติดต่อ พี่พงษ์ เจ้าหน้าที่ อช.น้ำตกสามหลั่น ช่วยประสานคนนำทางไว้ให้
เราถึงอช. ซึ่งวันนี้พี่พงษ์หยุด แต่ก็ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้ เพื่อนำทางให้เรา คือ พี่อานันท์ (พี่อึ้ง) พวกเราก็จัดแจงสัมภาระ โดยครั้งนี้เราจะใช้เป้2ใบพอ โดยให้ดิ๋มเดินตัวเปล่า เนื่องจากดิ๋มไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการปวดหลังสะสม ส่วนเป้รัต ใส่พวกของจุกจิก จำพวก ถุงนอน,แผ่นรองนอน ที่ชิ้นใหญ่แต่ไม่หนัก เสบียงบางส่วน แต่น้ำหนักเป้รัต ก็ยังหนักราว13kg. ซึ่งก็ถือว่า หนักพอประมาณสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ
ส่วนเป้ผม ก็ใส่เต๊นท์,ฟลายชีท,ลังโฟม พร้อมบรรจุน้ำแข็ง,น้ำอัดลม,น้ำหวาน,น้ำเปล่า เอาไปหลายขวดหน่อย เผื่อเหลือเผื่อขาด รวมถึงเพาเวอร์แบงค์ และอื่นๆ น้ำหนักเป้ผม ราว20kg.
**หมายเหตุ เนื่องจาก ที่นี้ด้านบนไม่มีน้ำใช้ และ ไม่มีแหล่งน้ำ
การเดินครั้งนี้ เราได้เจ้าหน้าที่ถึง3นาย มาคอยดูแลพวกเรา ได้แก่ พี่อานัน (อึ้ง) เจ้าหน้าที่นำทาง , พี่เป็ด เจ้าหน้าที่ค่อยปิดท้าย , พี่มนตรี เจ้าหน้าที่ (ฝึกใหม่ได้4เดือน)
ที่แรกพี่เจ้าหน้าที่ถามว่า จะเดินขึ้นทางไหน-ลงทางไหน ระหว่างเริ่มเดินที่ น้ำตกสามหลั่น กับ อีกจุด คือที่ตีนเขานมนางเลย แต่ต้องนั่งรถไปที่จุดเดิน อีกราว10นาที แต่ตรงนี้จะใช้เวลาเดินขึ้น ราวชั่วโมงเอง แต่ถ้าเริ่มเดินที่ น้ำตกสามหลั่น ระยะทางจะไกลกว่า และ จะใช้เวลาเดินราว3ชั่วโมง
เราจึงตัดสินเลือก ที่จะเดินขึ้นทางน้ำตก แล้วลงทางตีนเขา ดีกว่า เพราะ ตอนนี้แค่บ่ายโมง ยังพอมีเวลา
พวกเราเริ่มเดิน ตอน13:30 ที่ความสูงจุดเริ่มเดิน ราว70ม. โดยเริ่มเดินจากทางเข้า #น้ำตกสามหลั่น เราเดินตามทางเข้ามาได้ ราว3-400ม. ก็ถึง น้ำตกสามหลั่น ซึ่งช่วงนี้น้ำตกที่นี้ไม่มีน้ำ แต่พี่เจ้าหน้าที่ บอกว่าที่นี้ ช่วงสงกรานต์ จะเปิดน้ำให้ไหลจากอ่างเก็บน้ำ ที่อยู่เหนือตัวน้ำตก ก็จะทำให้มีน้ำไหล อีกครั้ง เพื่อรองรับการมาเที่ยวพักผ่อนของประชาชน ในช่วงสงกรานต์
เราเดินต่อมาอีกนิดหน่อย ก็จะเจอทางแยก แล้วก็เลี้ยวซ้าย เดินต่อมาทางไป อ่างเก็บน้ำ พอถึงอ่างเก็บน้ำ ก็เจอทางให้เลี้ยวขวาอีกครั้ง แล้วเดินตรงมาสักพัก ราว1กิโลเมตรได้ ก็จะเจอทางสามแยก พี่เจ้าหน้าที่ เลือกพาไปทางซ้าย เพราะ ถ้าเดินตรงไปจะเห็นวิวสุสาน (ฮวงสุ้ย) ซึ่งอาจทำให้การเดินป่าดูวิวไม่สวยนัก
หลังจากเลี้ยวซ้ายมาได้สักพัก ทางก็เริ่มจะรกมากขึ้น มีต้นไม้ล้มอยู่ตามทางเป็นระยะๆ เนื่องจากที่นี้รากต้นไม้ ไม่ได้ฝั่งลงดินมากนัก สาเหตุอาจจะเป็นเพราะพื้นดินที่นี้ด้วย
ช่วงที่เรามาเดินเป็นช่วงต้นเดือนเมษา อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ตอนที่เดินอยู่ เหมือนฝนทำท่าจะตก อากาศขมุกขมัว ระหว่างเดินฟ้าก็ร้องขู่ตลอดทาง ทำท่าเหมือนฝนจะตก แต่ก็ไม่ตก
ช่วงนี้ทางเดิน จะค่อยๆเดินขึ้นแบบซึมๆเรื่อยๆ จนเดินมาได้ ราว2km. พี่เจ้าที่บอกว่า บริเวณนี้จะเป็นจุดชมทุ่งดอกกระเจียว แต่จะเห็นได้เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม ช่วงหน้าฝน เท่านั้น
จากจุดนี้...เราเดินเลี้ยวออกทางขวา ระหว่างทางก็จะเห็นดงต้นไผ่ทางด้านขวามือ
ตอนนี้เราเริ่มเดินไต่ขึ้นเรื่อยๆอีกครั้ง บริเวณนี้มีดอกหมามุ้ยพอสมควร จึงต้องคอยระวัง ไม่งั่นมีคันแน่ๆ แต่ทางเดินต่อจากนี้ จะเป็นพื้นหินกรวด ที่ลอยหน้า เวลาเหยียบเดินแล้ว จะลื่นไถลได้
บางช่วงก็มีปีนป่ายก้อนหินเป็นระยะๆ อากาศค่อนข้างร้อน ต้องหยุดพักดื่มน้ำเป็นระยะๆ ส่วนท้องฟ้าก็ยัง ดังขู่ว่าฝนจะตกตลอดเวลา (ในใจก็คิด ฝนตกลงมาเถอะ จะได้เย็นๆ)
:
ตอนนี้เราเห็น #เขาเรดาร์ อยู่ข้างหน้านี้เอง พวกเราเดินลัดเลาะขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็ถึงจุดชมวิว #เขาเรดาร์ ตรงนี้ลมโชยบรรยากาศดี เรานั่งพักถ่ายรูปกันตรงนี้สักพักใหญ่ แล้วเดินขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง ก็ถึง #เขาเรดาห์ ที่นี้ผมวัดความสูงได้ราว302ม. ตอนนี้เราเดินมาได้ราว4km.
ซึ่งเสาเรดาร์ที่นี้ พี่เจ้าหน้าที่ บอกว่า เดิมเป็นที่ส่งสัญญานของช่อง7 แต่ปัจจุบันน่าจะไม่ได้ใช้แล้ว ส่วนด้านบนมีบ้านพักร้างหลังหนึ่ง จุดนี้หากฝนฟ้าคะนอง จะมีความเสี่ยงเรื่องฟ้าผ่าได้ จึงไม่แนะนำให้พักแคมป์ที่นี้
หลังจากนั่งพักกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินกันต่อไป #เขานมนาง เดินต่อมาอีก ราว500ม. ก็ถึง #ยอดเขานมนาง ซึ่งที่ก็สูงใกล้เคียงกับ เขาเรดาร์ แต่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ซึ่งผมวัดความสูงได้ราว280ม. ระยะทางเดินวันนี้ราว4.5km. ตอนราว4โมงเย็น ใช้เวลาเดิน ราว2.5ชั่วโมง
พื้นที่ด้านบน #เขานมนาง จะมีพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่ ได้เล่าประวัติให้ฟังว่า องค์พระที่นี้ เคยถูกคนขโมยไป2รอบแล้ว แต่คนที่เอาไป ก็ต้องนำกลับมาคืนไว้ที่เดิมด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ
ที่สำคัญ...บริเวณพื้นที่ของภูเขาละแวกนี้ อดีตเคยเป็นที่ตั้งของ กองทัพทหารญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่2 เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียง จากตรงนี้ไปเมืองกาญจนบุรี
ด้านบนที่พักบริเวณนี้ จะมีพื้นราบน้อยมาก ส่วนใหญ่ตามพื้นที่นี้ มีแต่ก้อนหินใหญ่ จึงเหมาะสำหรับที่จะมาพักแรมแบบผูกเปลนอน มากกว่าการใช้เต๊นท์มากางนอน
เนื่องจากเราแบกเต๊นท์มา ผมจึงเดินสำรวจหาพื้นที่ราบ เพื่อกางเต๊นท์ แถบไม่มีพื้นเรียบเลยจริงๆ
แต่โชคดีที่ด้านบนพอมีพื้นที่ราบนิดหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นจุดที่ พระภิกษุที่ขึ้นมาธุดง แล้วใช้พื้นบริเวณนี้เกลี้ยให้เรียบ เพื่อใช้สำหรับฝึกเดินจงกลม
หลังจากทำแคมป์เสร็จ เราก็พักกินมื้อเย็นกันแบบง่ายๆ คืองานนี้เราไม่ได้พกหม้อ และ เตามาเลย สาเหตุหลัก เพราะ ข้างบนไม่มีน้ำ
พวกเราจึงพกแค่อาหารที่กินได้เลย ไม่ต้องปรุงสุก และ ไม่เสียง่าย โดยเราเอาอาหารจำพวก ขนมปังไส้กรอก ขนาด50กรัม จำนวน30ชิ้น มากิน กับ ขนมปังไส้หมูหยอง ขนาด400กรัม 1ชิ้น และ ขนมปังไส้สังขยา ขนาด50กรัม อีก6ชิ้น เพื่อใช้กินทั้งมื้อเย็น และ มื้อเช้าเลย
ครั้งนี้ผมแบกน้ำแข็งใส่ลังโฟมมาเลย เพื่อจะได้มีอะไรเย็นดื่มๆกินคลายร้อนกัน เรียกว่าฟินมาก ที่มีน้ำแข็งเย็นๆกับน้ำอัดลม มานั่งกินบนนี้
:
จนราว6โมงเย็น เราเดินไปเก็บภาพบรรยากาศที่จุดชมวิว แถวแคมป์นี้เอง ซึ่งที่นี้สามารถเห็นวิวได้180องศา ทั้งด้านทิศตะวันตก และ ตะวันออก
::::::::::::::::::::
เขานมนาง จ.สระบุรี อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น
#เขานมสาว #น้ำตกสามหลั่น #สระบุรี
#คลิปvdo
-จุดชมวิว เขานมนาง
https://youtu.be/lSasjlrCdg0
-เดินป่า เขานมนาง-เขาเรดาร์
https://youtu.be/eBYSWqgYs9U
ทริปนี้...เนื่องจาก พวกเราไปไหว้บรรพบุรุษ ในช่วงเช้งเม้งกัน แถวสระบุรี เลยหาที่เดินชิลๆง่ายๆ แล้วนอนในป่าชิลๆแถวนั้นสักคืนแบบส่วนตัว
พอดีเห็นว่า ยอดเขานมสาวเป็นยอดเขาที่ไม่สูงมาก สูงราว300ม.ได้ แถมไม่ค่อยมีคนมาเดิน น่าจะเงียบสงบ เมื่อลองเช็คแผนที่ดูแล้ว ห่างจากสุสานที่เรามาไหว้บรรพบุรุษ ไม่ไกลกันมาก
:
หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจช่วงเช้า ที่ไหว้เช้งเม้ง แล้วอาบแดดเป็นที่เรียบร้อย พอให้ได้ชุ่มช่ำเหงื่อกันพอสมควร พวกเราสามคน ฮ้อ,ดิ๋ม,รัตน์ ก็เดินทางมายัง #อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น โดยก่อนหน้านี้เราโทรติดต่อ พี่พงษ์ เจ้าหน้าที่ อช.น้ำตกสามหลั่น ช่วยประสานคนนำทางไว้ให้
เราถึงอช. ซึ่งวันนี้พี่พงษ์หยุด แต่ก็ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้ เพื่อนำทางให้เรา คือ พี่อานันท์ (พี่อึ้ง) พวกเราก็จัดแจงสัมภาระ โดยครั้งนี้เราจะใช้เป้2ใบพอ โดยให้ดิ๋มเดินตัวเปล่า เนื่องจากดิ๋มไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการปวดหลังสะสม ส่วนเป้รัต ใส่พวกของจุกจิก จำพวก ถุงนอน,แผ่นรองนอน ที่ชิ้นใหญ่แต่ไม่หนัก เสบียงบางส่วน แต่น้ำหนักเป้รัต ก็ยังหนักราว13kg. ซึ่งก็ถือว่า หนักพอประมาณสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ
ส่วนเป้ผม ก็ใส่เต๊นท์,ฟลายชีท,ลังโฟม พร้อมบรรจุน้ำแข็ง,น้ำอัดลม,น้ำหวาน,น้ำเปล่า เอาไปหลายขวดหน่อย เผื่อเหลือเผื่อขาด รวมถึงเพาเวอร์แบงค์ และอื่นๆ น้ำหนักเป้ผม ราว20kg.
**หมายเหตุ เนื่องจาก ที่นี้ด้านบนไม่มีน้ำใช้ และ ไม่มีแหล่งน้ำ
การเดินครั้งนี้ เราได้เจ้าหน้าที่ถึง3นาย มาคอยดูแลพวกเรา ได้แก่ พี่อานัน (อึ้ง) เจ้าหน้าที่นำทาง , พี่เป็ด เจ้าหน้าที่ค่อยปิดท้าย , พี่มนตรี เจ้าหน้าที่ (ฝึกใหม่ได้4เดือน)
ที่แรกพี่เจ้าหน้าที่ถามว่า จะเดินขึ้นทางไหน-ลงทางไหน ระหว่างเริ่มเดินที่ น้ำตกสามหลั่น กับ อีกจุด คือที่ตีนเขานมนางเลย แต่ต้องนั่งรถไปที่จุดเดิน อีกราว10นาที แต่ตรงนี้จะใช้เวลาเดินขึ้น ราวชั่วโมงเอง แต่ถ้าเริ่มเดินที่ น้ำตกสามหลั่น ระยะทางจะไกลกว่า และ จะใช้เวลาเดินราว3ชั่วโมง
เราจึงตัดสินเลือก ที่จะเดินขึ้นทางน้ำตก แล้วลงทางตีนเขา ดีกว่า เพราะ ตอนนี้แค่บ่ายโมง ยังพอมีเวลา
พวกเราเริ่มเดิน ตอน13:30 ที่ความสูงจุดเริ่มเดิน ราว70ม. โดยเริ่มเดินจากทางเข้า #น้ำตกสามหลั่น เราเดินตามทางเข้ามาได้ ราว3-400ม. ก็ถึง น้ำตกสามหลั่น ซึ่งช่วงนี้น้ำตกที่นี้ไม่มีน้ำ แต่พี่เจ้าหน้าที่ บอกว่าที่นี้ ช่วงสงกรานต์ จะเปิดน้ำให้ไหลจากอ่างเก็บน้ำ ที่อยู่เหนือตัวน้ำตก ก็จะทำให้มีน้ำไหล อีกครั้ง เพื่อรองรับการมาเที่ยวพักผ่อนของประชาชน ในช่วงสงกรานต์
เราเดินต่อมาอีกนิดหน่อย ก็จะเจอทางแยก แล้วก็เลี้ยวซ้าย เดินต่อมาทางไป อ่างเก็บน้ำ พอถึงอ่างเก็บน้ำ ก็เจอทางให้เลี้ยวขวาอีกครั้ง แล้วเดินตรงมาสักพัก ราว1กิโลเมตรได้ ก็จะเจอทางสามแยก พี่เจ้าหน้าที่ เลือกพาไปทางซ้าย เพราะ ถ้าเดินตรงไปจะเห็นวิวสุสาน (ฮวงสุ้ย) ซึ่งอาจทำให้การเดินป่าดูวิวไม่สวยนัก
หลังจากเลี้ยวซ้ายมาได้สักพัก ทางก็เริ่มจะรกมากขึ้น มีต้นไม้ล้มอยู่ตามทางเป็นระยะๆ เนื่องจากที่นี้รากต้นไม้ ไม่ได้ฝั่งลงดินมากนัก สาเหตุอาจจะเป็นเพราะพื้นดินที่นี้ด้วย
ช่วงที่เรามาเดินเป็นช่วงต้นเดือนเมษา อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ตอนที่เดินอยู่ เหมือนฝนทำท่าจะตก อากาศขมุกขมัว ระหว่างเดินฟ้าก็ร้องขู่ตลอดทาง ทำท่าเหมือนฝนจะตก แต่ก็ไม่ตก
ช่วงนี้ทางเดิน จะค่อยๆเดินขึ้นแบบซึมๆเรื่อยๆ จนเดินมาได้ ราว2km. พี่เจ้าที่บอกว่า บริเวณนี้จะเป็นจุดชมทุ่งดอกกระเจียว แต่จะเห็นได้เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม ช่วงหน้าฝน เท่านั้น
จากจุดนี้...เราเดินเลี้ยวออกทางขวา ระหว่างทางก็จะเห็นดงต้นไผ่ทางด้านขวามือ
ตอนนี้เราเริ่มเดินไต่ขึ้นเรื่อยๆอีกครั้ง บริเวณนี้มีดอกหมามุ้ยพอสมควร จึงต้องคอยระวัง ไม่งั่นมีคันแน่ๆ แต่ทางเดินต่อจากนี้ จะเป็นพื้นหินกรวด ที่ลอยหน้า เวลาเหยียบเดินแล้ว จะลื่นไถลได้
บางช่วงก็มีปีนป่ายก้อนหินเป็นระยะๆ อากาศค่อนข้างร้อน ต้องหยุดพักดื่มน้ำเป็นระยะๆ ส่วนท้องฟ้าก็ยัง ดังขู่ว่าฝนจะตกตลอดเวลา (ในใจก็คิด ฝนตกลงมาเถอะ จะได้เย็นๆ)
:
ตอนนี้เราเห็น #เขาเรดาร์ อยู่ข้างหน้านี้เอง พวกเราเดินลัดเลาะขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็ถึงจุดชมวิว #เขาเรดาร์ ตรงนี้ลมโชยบรรยากาศดี เรานั่งพักถ่ายรูปกันตรงนี้สักพักใหญ่ แล้วเดินขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง ก็ถึง #เขาเรดาห์ ที่นี้ผมวัดความสูงได้ราว302ม. ตอนนี้เราเดินมาได้ราว4km.
ซึ่งเสาเรดาร์ที่นี้ พี่เจ้าหน้าที่ บอกว่า เดิมเป็นที่ส่งสัญญานของช่อง7 แต่ปัจจุบันน่าจะไม่ได้ใช้แล้ว ส่วนด้านบนมีบ้านพักร้างหลังหนึ่ง จุดนี้หากฝนฟ้าคะนอง จะมีความเสี่ยงเรื่องฟ้าผ่าได้ จึงไม่แนะนำให้พักแคมป์ที่นี้
หลังจากนั่งพักกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินกันต่อไป #เขานมนาง เดินต่อมาอีก ราว500ม. ก็ถึง #ยอดเขานมนาง ซึ่งที่ก็สูงใกล้เคียงกับ เขาเรดาร์ แต่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ซึ่งผมวัดความสูงได้ราว280ม. ระยะทางเดินวันนี้ราว4.5km. ตอนราว4โมงเย็น ใช้เวลาเดิน ราว2.5ชั่วโมง
พื้นที่ด้านบน #เขานมนาง จะมีพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่ ได้เล่าประวัติให้ฟังว่า องค์พระที่นี้ เคยถูกคนขโมยไป2รอบแล้ว แต่คนที่เอาไป ก็ต้องนำกลับมาคืนไว้ที่เดิมด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ
ที่สำคัญ...บริเวณพื้นที่ของภูเขาละแวกนี้ อดีตเคยเป็นที่ตั้งของ กองทัพทหารญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่2 เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียง จากตรงนี้ไปเมืองกาญจนบุรี
ด้านบนที่พักบริเวณนี้ จะมีพื้นราบน้อยมาก ส่วนใหญ่ตามพื้นที่นี้ มีแต่ก้อนหินใหญ่ จึงเหมาะสำหรับที่จะมาพักแรมแบบผูกเปลนอน มากกว่าการใช้เต๊นท์มากางนอน
เนื่องจากเราแบกเต๊นท์มา ผมจึงเดินสำรวจหาพื้นที่ราบ เพื่อกางเต๊นท์ แถบไม่มีพื้นเรียบเลยจริงๆ
แต่โชคดีที่ด้านบนพอมีพื้นที่ราบนิดหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นจุดที่ พระภิกษุที่ขึ้นมาธุดง แล้วใช้พื้นบริเวณนี้เกลี้ยให้เรียบ เพื่อใช้สำหรับฝึกเดินจงกลม
หลังจากทำแคมป์เสร็จ เราก็พักกินมื้อเย็นกันแบบง่ายๆ คืองานนี้เราไม่ได้พกหม้อ และ เตามาเลย สาเหตุหลัก เพราะ ข้างบนไม่มีน้ำ
พวกเราจึงพกแค่อาหารที่กินได้เลย ไม่ต้องปรุงสุก และ ไม่เสียง่าย โดยเราเอาอาหารจำพวก ขนมปังไส้กรอก ขนาด50กรัม จำนวน30ชิ้น มากิน กับ ขนมปังไส้หมูหยอง ขนาด400กรัม 1ชิ้น และ ขนมปังไส้สังขยา ขนาด50กรัม อีก6ชิ้น เพื่อใช้กินทั้งมื้อเย็น และ มื้อเช้าเลย
ครั้งนี้ผมแบกน้ำแข็งใส่ลังโฟมมาเลย เพื่อจะได้มีอะไรเย็นดื่มๆกินคลายร้อนกัน เรียกว่าฟินมาก ที่มีน้ำแข็งเย็นๆกับน้ำอัดลม มานั่งกินบนนี้
:
จนราว6โมงเย็น เราเดินไปเก็บภาพบรรยากาศที่จุดชมวิว แถวแคมป์นี้เอง ซึ่งที่นี้สามารถเห็นวิวได้180องศา ทั้งด้านทิศตะวันตก และ ตะวันออก
::::::::::::::::::::