ทริปนี้เป็นทริปง่าย ๆ เลยค่ะ เพราะเรากับแฟนคุยกันไว้นานแล้วว่าอยากไปเที่ยวแบบขี้เกียจ ๆ หาที่พักสบาย ๆ แล้วซึมซับเอาบรรยากาศดี ๆ ไม่ต้องแพลนและไม่เหนื่อยจากการเที่ยวตามตารางทัวร์
ทริปนี้เราก็เลยแค่ไปเล่นน้ำที่ชายหาด ปั่นจักรยาน เดินตะลอนไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก เราไม่ได้ join tour อะไร เราไม่ได้นั่ง seaplane ไม่ได้พักรีสอร์ตกลางน้ำ
และนั่นเป็นคำตอบว่าทำไมเราถึงจ่ายไปไม่ถึงสามหมื่นค่ะ (หมดน้อยกว่าตอนไปญี่ปุ่นอีกว้อย)
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เลือกโรงแรมที่เราคัดมาแล้วว่าห้องพักและวิวดีที่สุด โรงแรมที่เราพักตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ พื้นที่โรงแรมจะตั้งเรียงรายอยู่ชายหาด ส่วนใจกลางเกาะจะเป็นหมู่บ้านและชาวบ้านที่นี่เป็นชาวมุสลิมค่ะ ดังนั้น จึงมีป้ายแปะที่ชายหาดว่า “No Bikini” และช่วงค่ำ ๆ นอกจากเสียงคลื่นทะเลแล้ว ยังได้ยินเสียงบทสวดจากชาวบ้านที่กำลังละหมาดด้วย
เกาะนี้มีท่องเที่ยวไม่เยอะเลย ทั้งเกาะเห็นแค่เรากับแฟนที่เป็นตัวแทนจากเอเชีย นอกนั้นเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งหมด และที่เกาะนี้ เหมือนจะมีหาดอยู่ 2 ที่ หนึ่งคือใกล้ ๆ โรงแรม เป็นหาดหลัก คนจะมาเล่นน้ำและเซิร์ฟกันที่นี่ ส่วนอีกหาด จะค่อนข้างไกล เรากับแฟนขอยืมจักรยานของโรงแรมและปั่นไปตามหาหาดที่ว่านี้ตามคำแนะนำของพนักงานต้อนรับที่โรงแรม ซึ่งมันดีมากเหมือนที่เคยเห็นแค่จากในรูปภาพ แต่ตอนนั้นคือมันอยู่ตรงหน้าแล้ว
แนบรูป
(ชื่อเกาะ Thulusdhoo ลองค้นกูเกิ้ลได้ค่ะ)
วันแรกของทริป เราไปมัลดีฟส์โดยเที่ยวบินที่ FD177 ออกจากดอนเมืองตอน 17.05 เนื่องจากเราเห็นว่า กว่าเครื่องเราจะไปถึงมาเล่ก็ค่ำแล้ว เราก็เลยจองโรงแรมที่อยู่มาเล่เอาไว้หนึ่งคืน ขอนอนพักสบายก่อนจะไปเกาะในวันต่อไป
มาเล่(Malè) เป็นที่ตั้งของสนามบิน (Velana Int’l Airport) แล้วก็เป็นเมืองหลวงของมัลดีฟส์ด้วย ซึ่งก็มีโรงแรมมากมายให้เลือก
และเรากับแฟนเนี่ย จะมีสเปกในการเลือกโรงแรมไม่เหมือนกันค่ะ กว่าจะเจอโรงแรมที่ตอบโจทย์เราทั้งคู่ได้ก็หาจนเบื่อกันไปข้างเลย แฟนเราชอบโรงแรมที่ดูใหม่ ๆ ส่วนเราจะสนใจแค่เรื่อง airport transfer ถ้าที่ไหนมีบริการรับส่งสนามบินด้วย เราก็โอเคง่ายๆอย่างนั้นเลย และสุดท้ายแล้ว โรงแรมที่เราไปพักในคืนแรกคือ “Island Beach House”
โดยรวมห้องพักโอเคนะคะ ห้องที่เราเลือกเป็นห้อง Standard Room ในราคาประมาณสองพันบาท (ณ ตอนนั้น) ถึงจะไม่กว้างและไม่เห็นวิวอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ตั้งอยู่หน้าชายหาดก็เถอะ5555 แต่เราไม่ซีเรียสเพราะว่าพักแค่คืนเดียว ที่พักที่นี่รวมอาหารเช้าค่ะ และชำระเงินแบบไปจ่ายตอนเช็คอิน (อันนี้ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่รรเค้าไม่รับชำระล่วงหน้า)
แนบรูป เป็นห้องประมาณนี้
อ้อ แล้วก็ โรงแรมที่มัลดีฟส์เค้าจะคิดค่า Green Tax (บางที่เรียก Environment Fee)ด้วย นอกเหนือจากค่าห้องพัก
**คนละ 3 USD / คน / 1 คืน**
สมมุติ เรา 2 คน ไปพัก 1 คืน ก็ต้องบวกเพิ่มจากค่าโรงแรมไปอีก 6$ อันนี้ จ่ายที่ตอนเช็คอินเลยนะคะ
ก่อนวันเดินทาง เราก็อีเมล์คุยกับทางโรงแรมเพื่อสอบถามข้อมูลแล้วก็นัดแนะให้เขาเตรียมรถมารับเราที่สนามบินไปยังโรงแรม
เนื่องจากที่สนามบินมาเล่ไม่อนุญาตให้จอดรถรอ โรงแรมจึงให้เบอร์โทรไว้ และเมื่อเราไปถึง ให้ไปขอให้โทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อโทรเรียกให้โรงแรมมารับได้เลย ส่วนค่ารถไปกลับ โรงแรม-สนามบินนี้ คนละ 12.32$
และวันแรกของเราก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพาตัวเองมาถึงมัลดีฟส์ ซึ่งทางเราก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรเลยเพราะไม่ได้คาดหวังมาตั้งแต่แรก5555 เพราะไฟลท์เรากว่าจะออกจากไทยก็ห้าโมงเย็นแน้ว
เช้าวันที่สอง วันนี้เราจะเดินทางโดย speedboat ไปยังเกาะ Thulusdhoo ที่เราจะไปพักสามวันที่นั่น เราจอง speedboat รอบ 09.00 น. ซึ่งเป็นรอบเช้าสุดไว้ โดยจองผ่านการคุยอีเมล์กับทางโรงแรมเช่นเคย
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ รถของโรงแรมก็ส่งเรากลับมาที่สนามบินที่เดิม
ความพิเศษของสนามบินนี้ คือด้านหน้าจะเป็นทะเลและท่าเรือ มันคือจุดนัดพบของเรากับ speedboat
ทางโรงแรม Reef Edge ส่งคนมาต้อนรับและพาเราขึ้นเรือไปเกาะ เรือลำที่เราขึ้นเป็นเรือรับส่งระหว่างเกาะ Thulusdhoo กับสนามบินนี้ ค่าโดยสารคนละ 30$ ต่อเที่ยว จ่ายเป็นเงินสดตอนขึ้นเรือเลย และประมาณ 30 นาทีต่อมา เราก็ถึงเกาะ ซึ่งทันทีที่ขึ้นฝั่ง เราก็เห็นรถกอล์ฟของโรงแรมจอดรอรับอยู่แล้ว
ณ เวลานั้นตอนที่เราไปถึงโรงแรม มันยังไม่ถึงสิบโมงเช้าและยังเร็วเกินไปสำหรับการเช็คอิน เราเลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วพากันไปเดินสำรวจรอบๆ เราเดินแค่นิดเดียวก็ถึงชายหาด วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส แดดจ้ามาก ๆ แต่ไม่ยักกะร้อน ต่างกับแดดเมืองไทยที่ร้อนจนแสบหน้า เราคิดเอาเองว่าคงเพราะมีลมทะเลเย็น ๆ พัดตลอดมั้ง
หาดทรายที่นี่ดูเป็นสีขาวไปหมด สะอาดตามาก และพอมองดูใกล้ ๆ เราก็เห็นว่าเม็ดทรายมันไม่ใช่ทรายที่เราเคยเห็น เราพอจะรู้มาว่าทรายเกิดจากหินที่กร่อนเป็นก้อนเป็นเศษเล็ก ๆ แต่ทรายที่หาดตรงนี้คือเป็นเศษเปลือกหอยเศษปะการังชิ้นเล็ก ๆ ที่น้ำทะเลพัดมารวมกันที่ชายหาด มันเห็นได้ค่อนข้างชัดเลย ถึงจะเป็นทรายที่ดูหยาบ ๆ ไม่ละเอียด แต่เราชอบที่มันดูสวยแปลกตาดี เราเดินเล่นอยู่เกือบชั่วโมงก็กลับไปโรงแรม ไม่นานห้องพักเราก็พร้อมเข้าเช็คอิน
เราจองห้องแบบ Deluxe Oceanfront Queen ราคา ณ ขณะที่จองประมาณคืนละห้าพัน ห้องของเราเป็นห้องที่อยู่ชั้นสี่ ซึ่งเป็นชั้นบนสุดหันหน้าออกทะเล ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำก็ใหญ่ แต่น้ำไหลไม่ค่อยแรงและเครื่องทำน้ำอุ่นทำงานแปลก ๆ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น (หักคะแนน) แต่ข้อเสียเหล่านั้นจะหมดไป เพราะเราชอบระเบียงหน้าห้องและโซฟาของเขา มันเหมาะมากกก สำหรับการนอนเอนตรงนี้และไม่ทำอะไรเลยนอกจากนอนโง่ ๆ มองทะเลสวย ๆ และฟังเสียงคลื่น
หลังจากเก็บของเสร็จ เราสองคนก็พากันนอนยืดตัวบนเตียงนุ่มและแกะขนมกินเล่นอยู่จนบ่ายโมง
เดชะบุญที่เราเคยอ่านรีวิวเที่ยวมัลดีฟส์มาบ้าง และได้รู้ว่าเราอาจไม่เจอร้านค้า/มินิมาร์ทที่นี่ ครึ่งหนึ่งของกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเราเลยเต็มไปด้วยขนมและเครื่องดื่มที่เราอยากกิน แล้วก็เป็นดังว่า เกาะนี้ไม่มีร้านค้าเลย (หรืออย่างน้อย ก็ไม่มีอยู่แถวโรงแรมเรา)
พอช่วงเที่ยง ๆ เราก็เลยลงมาหาข้าวเที่ยงกินที่ห้องอาหารของโรงแรม เมนูก็มีตั้งแต่ข้าวแกงกะหรี่แบบศรีลังกา ข้าวผัดแบบมาเลเซีย ไปจนถึงสเต็ก หรือพาสต้า ราคา ประมาณ 8-15$ และเครื่องดื่มพวกน้ำอัดลมที่โรงแรมนี้ 6$ (กรี้ด) เราเลยสั่งอาหารมาคนละจาน แล้วก็สั่งน้ำดื่มขวดใหญ่แค่ขวดเดียว
อุตส่าห์หอบน้ำอัดลมจากเมืองไทยไปด้วยตั้งเยอะ เดี๋ยวค่อยกลับไปกินบนห้องก็ได้ม้าง
แต่พ่อครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยนะ ชอบเลยแหละ พนักงานก็บริการดี
มีพี่คนนึง เจอหน้ากันตลอด ใจดีมาก ๆ ได้คุยกันนิดหน่อยเลยรู้ว่าเขาเป็นคนศรีลังกา เดี๋ยวช่วงไหนโรงแรมไม่ค่อยมีแขก เขาว่าจะกลับบ้าน เขามีลูกเล็ก ๆ ด้วย ฟังแล้วอิน เห็นใจที่ต้องมาทำงานไกลบ้านเนอะ แฟนเรามันแอบกู้เกิ้ลดูเลยรู้ว่าที่ศรีลังการายได้ขั้นต่ำน้อยมาก ตกเดือนละ 10,000 LKR (~1,790 บาท) คืนสุดท้าย แฟนเราเลยแอบให้ทิปพี่เขา ตอบแทนที่ช่วยดูแลมาตลอดตั้งแต่มาถึงโรงแรม
ต่อ
หลังอาหารเที่ยง เราก็ยืมจักรยานของโรงแรม ตั้งใจจะไปชายหาดที่พนักงานต้อนรับแนะนำว่ายังมีชายหาดอีกที่นึงนอกจากที่ใกล้ ๆ โรงแรมนี้ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ไหนแล้วก็เป็นยังไง เลยแค่ปั่นจักรยานไปตรงเรื่อย ๆ ตามทิศที่เขาชี้บอก
และมันก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยค่ะ เริ่มตื่นเต้นตั้งแต่มองเห็นจากไกล ๆ แล้ว นาทีที่เราไปถึงหาด คำที่เราคิดอยู่ในหัวคือ “โห นี่เรามาถึงมัลดีฟส์จริงๆแล้วนะ” เพราะภาพที่เห็นตรงหน้ามันสวยมาก น้ำทะเลใสจนมองเห็นปลาได้เลย หาดทรายที่นี้เป็นทรายละเอียดสีขาวสะอาด
เหนือสิ่งอื่นใดคือเราชอบมาก ๆ ที่ไม่ว่าจะเดินไปนั่งตรงไหนก็จะเห็นปูเสฉวนตัวเล็ก ๆ ในกระดองน่ารัก ๆ เราไม่รู้ว่าหาดนี้มีชื่อว่าอะไร แต่เหมือนจะไม่ค่อยมีคนรู้จักเลยนอกจากชาวบ้านที่นี่ เพราะวันที่เราไป ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคน (มีแค่ชาวบ้านสองคนมาทำอะไรสักอย่างแล้วก็จากไปภายในห้านาที) เกือบสองชั่วโมงที่นี่ เรากับแฟนเลยเหมือนกับได้มีหาดส่วนตัว ได้เล่นน้ำ แล้วก็สามารถถ่ายรูปได้เต็มที่แบบไม่ต้องเขินคนอื่น
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
เล่าเรื่องทริปมัลดีฟส์ในงบไม่ถึงสามหมื่นบาทของเรา (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน)
ทริปนี้เราก็เลยแค่ไปเล่นน้ำที่ชายหาด ปั่นจักรยาน เดินตะลอนไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก เราไม่ได้ join tour อะไร เราไม่ได้นั่ง seaplane ไม่ได้พักรีสอร์ตกลางน้ำ
และนั่นเป็นคำตอบว่าทำไมเราถึงจ่ายไปไม่ถึงสามหมื่นค่ะ (หมดน้อยกว่าตอนไปญี่ปุ่นอีกว้อย)
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เลือกโรงแรมที่เราคัดมาแล้วว่าห้องพักและวิวดีที่สุด โรงแรมที่เราพักตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ พื้นที่โรงแรมจะตั้งเรียงรายอยู่ชายหาด ส่วนใจกลางเกาะจะเป็นหมู่บ้านและชาวบ้านที่นี่เป็นชาวมุสลิมค่ะ ดังนั้น จึงมีป้ายแปะที่ชายหาดว่า “No Bikini” และช่วงค่ำ ๆ นอกจากเสียงคลื่นทะเลแล้ว ยังได้ยินเสียงบทสวดจากชาวบ้านที่กำลังละหมาดด้วย
เกาะนี้มีท่องเที่ยวไม่เยอะเลย ทั้งเกาะเห็นแค่เรากับแฟนที่เป็นตัวแทนจากเอเชีย นอกนั้นเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งหมด และที่เกาะนี้ เหมือนจะมีหาดอยู่ 2 ที่ หนึ่งคือใกล้ ๆ โรงแรม เป็นหาดหลัก คนจะมาเล่นน้ำและเซิร์ฟกันที่นี่ ส่วนอีกหาด จะค่อนข้างไกล เรากับแฟนขอยืมจักรยานของโรงแรมและปั่นไปตามหาหาดที่ว่านี้ตามคำแนะนำของพนักงานต้อนรับที่โรงแรม ซึ่งมันดีมากเหมือนที่เคยเห็นแค่จากในรูปภาพ แต่ตอนนั้นคือมันอยู่ตรงหน้าแล้ว
แนบรูป
(ชื่อเกาะ Thulusdhoo ลองค้นกูเกิ้ลได้ค่ะ)
วันแรกของทริป เราไปมัลดีฟส์โดยเที่ยวบินที่ FD177 ออกจากดอนเมืองตอน 17.05 เนื่องจากเราเห็นว่า กว่าเครื่องเราจะไปถึงมาเล่ก็ค่ำแล้ว เราก็เลยจองโรงแรมที่อยู่มาเล่เอาไว้หนึ่งคืน ขอนอนพักสบายก่อนจะไปเกาะในวันต่อไป
มาเล่(Malè) เป็นที่ตั้งของสนามบิน (Velana Int’l Airport) แล้วก็เป็นเมืองหลวงของมัลดีฟส์ด้วย ซึ่งก็มีโรงแรมมากมายให้เลือก
และเรากับแฟนเนี่ย จะมีสเปกในการเลือกโรงแรมไม่เหมือนกันค่ะ กว่าจะเจอโรงแรมที่ตอบโจทย์เราทั้งคู่ได้ก็หาจนเบื่อกันไปข้างเลย แฟนเราชอบโรงแรมที่ดูใหม่ ๆ ส่วนเราจะสนใจแค่เรื่อง airport transfer ถ้าที่ไหนมีบริการรับส่งสนามบินด้วย เราก็โอเคง่ายๆอย่างนั้นเลย และสุดท้ายแล้ว โรงแรมที่เราไปพักในคืนแรกคือ “Island Beach House”
โดยรวมห้องพักโอเคนะคะ ห้องที่เราเลือกเป็นห้อง Standard Room ในราคาประมาณสองพันบาท (ณ ตอนนั้น) ถึงจะไม่กว้างและไม่เห็นวิวอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ตั้งอยู่หน้าชายหาดก็เถอะ5555 แต่เราไม่ซีเรียสเพราะว่าพักแค่คืนเดียว ที่พักที่นี่รวมอาหารเช้าค่ะ และชำระเงินแบบไปจ่ายตอนเช็คอิน (อันนี้ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่รรเค้าไม่รับชำระล่วงหน้า)
แนบรูป เป็นห้องประมาณนี้
อ้อ แล้วก็ โรงแรมที่มัลดีฟส์เค้าจะคิดค่า Green Tax (บางที่เรียก Environment Fee)ด้วย นอกเหนือจากค่าห้องพัก
**คนละ 3 USD / คน / 1 คืน**
สมมุติ เรา 2 คน ไปพัก 1 คืน ก็ต้องบวกเพิ่มจากค่าโรงแรมไปอีก 6$ อันนี้ จ่ายที่ตอนเช็คอินเลยนะคะ
ก่อนวันเดินทาง เราก็อีเมล์คุยกับทางโรงแรมเพื่อสอบถามข้อมูลแล้วก็นัดแนะให้เขาเตรียมรถมารับเราที่สนามบินไปยังโรงแรม
เนื่องจากที่สนามบินมาเล่ไม่อนุญาตให้จอดรถรอ โรงแรมจึงให้เบอร์โทรไว้ และเมื่อเราไปถึง ให้ไปขอให้โทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อโทรเรียกให้โรงแรมมารับได้เลย ส่วนค่ารถไปกลับ โรงแรม-สนามบินนี้ คนละ 12.32$
และวันแรกของเราก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพาตัวเองมาถึงมัลดีฟส์ ซึ่งทางเราก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรเลยเพราะไม่ได้คาดหวังมาตั้งแต่แรก5555 เพราะไฟลท์เรากว่าจะออกจากไทยก็ห้าโมงเย็นแน้ว
เช้าวันที่สอง วันนี้เราจะเดินทางโดย speedboat ไปยังเกาะ Thulusdhoo ที่เราจะไปพักสามวันที่นั่น เราจอง speedboat รอบ 09.00 น. ซึ่งเป็นรอบเช้าสุดไว้ โดยจองผ่านการคุยอีเมล์กับทางโรงแรมเช่นเคย
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ รถของโรงแรมก็ส่งเรากลับมาที่สนามบินที่เดิม
ความพิเศษของสนามบินนี้ คือด้านหน้าจะเป็นทะเลและท่าเรือ มันคือจุดนัดพบของเรากับ speedboat
ทางโรงแรม Reef Edge ส่งคนมาต้อนรับและพาเราขึ้นเรือไปเกาะ เรือลำที่เราขึ้นเป็นเรือรับส่งระหว่างเกาะ Thulusdhoo กับสนามบินนี้ ค่าโดยสารคนละ 30$ ต่อเที่ยว จ่ายเป็นเงินสดตอนขึ้นเรือเลย และประมาณ 30 นาทีต่อมา เราก็ถึงเกาะ ซึ่งทันทีที่ขึ้นฝั่ง เราก็เห็นรถกอล์ฟของโรงแรมจอดรอรับอยู่แล้ว
ณ เวลานั้นตอนที่เราไปถึงโรงแรม มันยังไม่ถึงสิบโมงเช้าและยังเร็วเกินไปสำหรับการเช็คอิน เราเลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วพากันไปเดินสำรวจรอบๆ เราเดินแค่นิดเดียวก็ถึงชายหาด วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส แดดจ้ามาก ๆ แต่ไม่ยักกะร้อน ต่างกับแดดเมืองไทยที่ร้อนจนแสบหน้า เราคิดเอาเองว่าคงเพราะมีลมทะเลเย็น ๆ พัดตลอดมั้ง
หาดทรายที่นี่ดูเป็นสีขาวไปหมด สะอาดตามาก และพอมองดูใกล้ ๆ เราก็เห็นว่าเม็ดทรายมันไม่ใช่ทรายที่เราเคยเห็น เราพอจะรู้มาว่าทรายเกิดจากหินที่กร่อนเป็นก้อนเป็นเศษเล็ก ๆ แต่ทรายที่หาดตรงนี้คือเป็นเศษเปลือกหอยเศษปะการังชิ้นเล็ก ๆ ที่น้ำทะเลพัดมารวมกันที่ชายหาด มันเห็นได้ค่อนข้างชัดเลย ถึงจะเป็นทรายที่ดูหยาบ ๆ ไม่ละเอียด แต่เราชอบที่มันดูสวยแปลกตาดี เราเดินเล่นอยู่เกือบชั่วโมงก็กลับไปโรงแรม ไม่นานห้องพักเราก็พร้อมเข้าเช็คอิน
เราจองห้องแบบ Deluxe Oceanfront Queen ราคา ณ ขณะที่จองประมาณคืนละห้าพัน ห้องของเราเป็นห้องที่อยู่ชั้นสี่ ซึ่งเป็นชั้นบนสุดหันหน้าออกทะเล ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำก็ใหญ่ แต่น้ำไหลไม่ค่อยแรงและเครื่องทำน้ำอุ่นทำงานแปลก ๆ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น (หักคะแนน) แต่ข้อเสียเหล่านั้นจะหมดไป เพราะเราชอบระเบียงหน้าห้องและโซฟาของเขา มันเหมาะมากกก สำหรับการนอนเอนตรงนี้และไม่ทำอะไรเลยนอกจากนอนโง่ ๆ มองทะเลสวย ๆ และฟังเสียงคลื่น
หลังจากเก็บของเสร็จ เราสองคนก็พากันนอนยืดตัวบนเตียงนุ่มและแกะขนมกินเล่นอยู่จนบ่ายโมง
เดชะบุญที่เราเคยอ่านรีวิวเที่ยวมัลดีฟส์มาบ้าง และได้รู้ว่าเราอาจไม่เจอร้านค้า/มินิมาร์ทที่นี่ ครึ่งหนึ่งของกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเราเลยเต็มไปด้วยขนมและเครื่องดื่มที่เราอยากกิน แล้วก็เป็นดังว่า เกาะนี้ไม่มีร้านค้าเลย (หรืออย่างน้อย ก็ไม่มีอยู่แถวโรงแรมเรา)
พอช่วงเที่ยง ๆ เราก็เลยลงมาหาข้าวเที่ยงกินที่ห้องอาหารของโรงแรม เมนูก็มีตั้งแต่ข้าวแกงกะหรี่แบบศรีลังกา ข้าวผัดแบบมาเลเซีย ไปจนถึงสเต็ก หรือพาสต้า ราคา ประมาณ 8-15$ และเครื่องดื่มพวกน้ำอัดลมที่โรงแรมนี้ 6$ (กรี้ด) เราเลยสั่งอาหารมาคนละจาน แล้วก็สั่งน้ำดื่มขวดใหญ่แค่ขวดเดียว
อุตส่าห์หอบน้ำอัดลมจากเมืองไทยไปด้วยตั้งเยอะ เดี๋ยวค่อยกลับไปกินบนห้องก็ได้ม้าง
แต่พ่อครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยนะ ชอบเลยแหละ พนักงานก็บริการดี
มีพี่คนนึง เจอหน้ากันตลอด ใจดีมาก ๆ ได้คุยกันนิดหน่อยเลยรู้ว่าเขาเป็นคนศรีลังกา เดี๋ยวช่วงไหนโรงแรมไม่ค่อยมีแขก เขาว่าจะกลับบ้าน เขามีลูกเล็ก ๆ ด้วย ฟังแล้วอิน เห็นใจที่ต้องมาทำงานไกลบ้านเนอะ แฟนเรามันแอบกู้เกิ้ลดูเลยรู้ว่าที่ศรีลังการายได้ขั้นต่ำน้อยมาก ตกเดือนละ 10,000 LKR (~1,790 บาท) คืนสุดท้าย แฟนเราเลยแอบให้ทิปพี่เขา ตอบแทนที่ช่วยดูแลมาตลอดตั้งแต่มาถึงโรงแรม
ต่อ
หลังอาหารเที่ยง เราก็ยืมจักรยานของโรงแรม ตั้งใจจะไปชายหาดที่พนักงานต้อนรับแนะนำว่ายังมีชายหาดอีกที่นึงนอกจากที่ใกล้ ๆ โรงแรมนี้ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ไหนแล้วก็เป็นยังไง เลยแค่ปั่นจักรยานไปตรงเรื่อย ๆ ตามทิศที่เขาชี้บอก
และมันก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยค่ะ เริ่มตื่นเต้นตั้งแต่มองเห็นจากไกล ๆ แล้ว นาทีที่เราไปถึงหาด คำที่เราคิดอยู่ในหัวคือ “โห นี่เรามาถึงมัลดีฟส์จริงๆแล้วนะ” เพราะภาพที่เห็นตรงหน้ามันสวยมาก น้ำทะเลใสจนมองเห็นปลาได้เลย หาดทรายที่นี้เป็นทรายละเอียดสีขาวสะอาด
เหนือสิ่งอื่นใดคือเราชอบมาก ๆ ที่ไม่ว่าจะเดินไปนั่งตรงไหนก็จะเห็นปูเสฉวนตัวเล็ก ๆ ในกระดองน่ารัก ๆ เราไม่รู้ว่าหาดนี้มีชื่อว่าอะไร แต่เหมือนจะไม่ค่อยมีคนรู้จักเลยนอกจากชาวบ้านที่นี่ เพราะวันที่เราไป ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคน (มีแค่ชาวบ้านสองคนมาทำอะไรสักอย่างแล้วก็จากไปภายในห้านาที) เกือบสองชั่วโมงที่นี่ เรากับแฟนเลยเหมือนกับได้มีหาดส่วนตัว ได้เล่นน้ำ แล้วก็สามารถถ่ายรูปได้เต็มที่แบบไม่ต้องเขินคนอื่น
เดี๋ยวมาต่อนะคะ