แชร์ประสบการณ์ตกเครื่องจากนาริตะมากรุงเทพฯเพราะNarita Express(N’ex)เสียวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา และตามหาผู้ร่วมชะตากรรม

ย่อ : ตกเครื่องบินAirsia ไฟลท์ 20.40 วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาเพราะ Narita Expess(N’EX)ขัดข้องไป 1 ชั่วโมง ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่และไม่ได้รับการเยียวยาใดๆจากบริษัทประกันการเดินทางที่ทำไป หรือจาก JR เอง(ผู้ให้บริการ N’ex) เลยอยากแชร์ประสบการณ์แล้วก็สอบถามผู้ที่ตกเครื่องในวันนั้นเหมือนกัน(ถ้าได้อ่าน) ว่าได้รับการเยียวยาใดๆจากทางไหนหรือไม่ค่ะ

เรื่องที่เกิดขึ้นคือเราเดินทางไปโตเกียวเพื่อเที่ยวพักผ่อนและกำลังจะเดินทางกลับวันที่ 24 เมษายน เราเดินทางกับญาติ เป็นผู้หญิง 1 คน ซึ่งอายุ 60 กว่าแล้ว และประสบการณ์การเดินทางค่อนข้างน้อย แต่เราพอมีอยูบ้าง เราเลยต้องเป็นคนจัดการและตัดสินใจทุกย่างในทริป วันกลับเราเดินทางไปที่สถานี JR Shinjuku N’EX ของเราเป็นรอบเวลา 17.09(ตามกำหนดจะไปถึง Narita terminal 2 เวลา 18.26 (เราได้ทำ online check-in ไว้แล้ว)  เราไปถึงที่ชานชาลาก่อนเวลาซัก 15 นาที พอใกล้ๆเวลาพบว่า N’EX เสีย มีเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงวิ่งไปมาเกือบ 20 คนได้ รถขึ้นว่า Out of service และมีประกาศแต่เป็นภาษาญี่ปุ่น ซักพักเราเลยถามคนจีนแถวนั้น เค้าบอกว่ามีคนตกลงไปที่ราง ไม่แน่ใจว่าเป็นอุบัติเหตุหรือตั้งใจและไม่แน่ใจว่าสุดท้ายคนนั้นเป็นอะไรหรือไม่(ขอให้ไม่เป็นอะไร) หลังจากนั้นมีประกาศเป็นภาษาอังกฤษแค่ว่ารถเสียเหตุเกิดจากคนแค่นี้ แต่ไม่มีการบอกว่าใช้ได้เมื่อไหร่หรือแนะนำให้ทำยังไง ซึ่งเราว่านี้ก็เป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้ที่ JR ควรปรับปรุง สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย เราเองวิ่งไปถามเจ้าหน้าที่ในเคาท์เตอร์แถวนั้น เค้าพูดแต่ว่าให้ buy new ticket แล้วก็ให้ไปติดต่อที่เคาท์เตอร์ข้างบนซึ่งค่อนข้างไกล เราเข้าใจว่าภาษาอังกฤษเค้าคงไม่ดีด้วยเลยสื่อสารไม่ค่อยได้ เราไม่กล้าไปกลับขึ้นไป เพราะกลัวว่าถ้าเกิดรถใช้ได้ เราจะกลับมาไม่ทัน ระหว่างนั้นทางเลือกอื่นที่คิดออกคือ รถของ Keisei เคยอ่านผ่านๆ ว่าต้องไปขึ้นที่ Ueno ณ เวลานั้นก็คิดว่ากว่าจะหอบของไปถึงtrack ที่ขึ้นรถ กว่าจะไปถึง Ueno รอรถออกอีก เทียบกันแล้ว รอที่นี่อาจจะไม่ต่างกันมาก อีกทางคือแท็กซี่ซึ่งราคาไปนาริตะาคือ 27,000 เยน(เกือบ 8,000 บาท) เราค่อนข้างเสียดายเงิน เลยตัดสินใจรออีกแป๊ปนึง ซักพักมีเจ้าหน้าที่สถานีเดินผ่านมา เราเข้าไปถามเค้าบอกว่าให้รอ เดี๋ยวรถใช้ได้ สรุปว่ารถใช้ได้เวลา ประมาณ 18.10 ตามเวลาจะถึงนาริตะ เทอร์มินัล 2 เวลา 19.32 แต่เราไม่ได้ดูเวลาจริงตอนรถออกเป๊ะๆว่าเลทมั้ย แต่เวลาไปถึงน่าจะ เกิน 19.40 แล้ว พอถึงก็วิ่งหน้าตั้งไปที่เคาท์เตอร์เช็คอินแต่ผลคือ ไม่ทันค่ะ เคาท์เตอร์ปิดแล้ว แต่เจอพนักงานนั่งอยู่ 1 คน เลยเข้าไปคุยกับเค้า เค้ายืนยันว่าเลยเวลาแล้วโหลดกระเป๋าให้ไปทันจริงๆ จำเป็นต้องซื้อตั๋วใหม่เท่านั้น

ตอนนั้นก็ช็อคพอสมควร แต่ก็ต้องรับสภาพ ตั้งสติหาทางแก้ต่อ เดินกลับมาหาที่ที่นั่งในเทอร์มินัล เจอน้องคนไทยกลุ่มนึงมา N’EX คันเดียวกัน ชะตากรรมเดียวกันจ้ะ ถามไถ่กันเร็วๆเพราะน้องรีบไปต่อปรากฏว่าน้องมีตั๋วShinkansen เลยจะไปซื้อตั๋วใหม่กลับจาก Nagoya แทนเพราะถูกกว่า แต่เราไม่มีตั๋วชินคันเซ็นและไม่เคยขึ้น แล้วยังเดินทางกับคนอายุมากหอบข้าวของรีบๆ เยอะๆ เดินทางไกลๆ เลยไม่กล้าเสี่ยง ระหว่างนั้นก็เจอคนไทยที่เจอคนไทยเคสเดียวกันอีกกลุ่มนึงก่อนหน้านี้ เค้าเล่าว่ากลุ่มนั้นไปขอพบผู้จัดการสนามบิน จนสุดท้ายได้ขึ้นเครื่อง คงมีธุระจำเป็นต้องกลับไฟลท์นั้นจริงๆ แต่เหมือนต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม สองสามหมื่น แต่เรื่องนี้ไม่ยืนยันเพราะฟังมาอีกทีค่ะ แต่ยังไงก็ตาม คิดว่าน่าจะมีคนไทยและคนต่างชาติที่เสียหายจากเรื่องนี้อีกจำนวนหนึ่ง

ตอนนั้นนึกถึงประกันการเดินทางของ Cignaที่ทำอาไว้ก่อนมา เลยให้คนที่บ้านโทรถามให้ว่าจะคุ้มครองอะไรได้มั้ย ผลคือไม่เข้าเลยซักเขื่อนไข เซ็ง แต่ยังไงก็ต้องกลับเลยดูตั๋วสายการบินต่างๆปรากฏว่าแอร์เอเชียกับนกแอร์เต็มไปอีกหลายวันเหลือแต่ Lion Air ไฟลท์วันที่ 25 เมษายน เวลา 8.40 น.
ราคา 22,815 บาท(รวมโหลดกระเป๋า) และเหลือที่นั่งไม่เยอะมาก ต้องแข่งกับเวลา และจำเป็นต้องกลับวันรุ่งขึ้น เลยตัดสินใจซื้อไป 2 ใบ ของตัวเองและญาติ รวมเป็นเงินเกือบ 46,000 บาท ก่อนขึ้นเครื่องได้ไปที่เคาท์เตอร์ JR ที่นาริตะ เพื่อสอบถามว่าจะชดเชยอะไรให้ได้หรือไม่ คุยอยู่นานพอสมควร คำตอบสรุปได้ว่า เค้าเสียใจ แต่ไม่สามารถการันตีเวลาต่างๆ และชดใช้ค่าเสียหายใดๆให้ได้

กลับมาไทยเราติดต่อประกันไปอีกครั้งเพื่อถามยืนยันเรื่องการเอาเงินประกัน ข้อที่เราสงสัยว่าอาจเข้าข่าย เช่น เรื่อง Travel Missed Connecting Flight
ประกันแจ้งว่าต้องเป็นการพลาดในเที่ยวที่เป็นการต่อเครื่องบินเท่านั้น ส่วน Travel Delay ที่จ่ายทุก 6 ชม. เค้าแจ้งว่าต้องเป็นการดีเลย์ที่มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศ การขัดข้องของเครื่องยนต์ หรือพนักงานนัดหยุดงานเท่านั้น( อันนี้ในหน้ากรมธรรม์ที่ส่งอีเมล์ให้ไม่ได้ระบุเงื่อนไขละเอียด) ซึ่งทั้ง 2 ข้อตามลายลักษณ์อักษรก็น่าจะเป็นไปตามนั้น ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ก็ได้ถามประกันไปเพิ่มเติมว่าถ้าจ่ายราคาแพงกว่านี้ มีแพ็คเกจไหนที่คุ้มครองมั้ย คำตอบคือไม่มี ซึ่งตรงนี้ ความคิดเห็นส่วนตัวคือ ประกันการเดินทางน่าจะครอบคลุมการเดินทางที่นอกเหนือจากเรื่องสายการบินด้วย โดยเฉพาะ N’EX เองเป็นบริการที่เกี่ยวกับการเดินทางระหว่างเมืองกับสนามบินโดยตรงไม่อย่างงั้นทำมาเฉพาะประกันของสายการบินก็ได้ แล้วโอกาสเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลที่ได้จะรับการคุ้มครองมันก็มีน้อยกว่าเรื่องพวกนี้ซึ่งก็ได้เสนอแนะทางซิกน่าไป
แล้วก็ได้ไปอ่านใน tripadvisor มีคนต่างชาติเคยเจอเหตุการณ์ N’ex เสียเหมือนกันและต้องการเรียกร้องค่าเสียหายคอมเมนต์ส่วนใหญ่คือ JR East ไม่รับผิดชอบใดๆต่อกรณีแบบนี้

สรุปว่าก็เสียเงินไปฟรีๆ เซ็งแต่ก็ต้องทำใจ จดจำแต่ความสนุกและความสุขที่ได้จากทริปส่วนความโชคร้ายที่เกิดขึ้นแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้ก็คงต้องเก็บไว้เป็นบทเรียน ซึ่งสิ่งที่เราได้รับคือ
1. คงต้องเผื่อเวลาเยอะกว่านี้ ไม่ประมาทเพราะ Shit happens!
2. ศึกษาการเดินทางวิธีอื่นไว้ให้ละเอียดเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
3.ตอนนั้นถ้าเรายอมเสีย 8,000 บาท ค่าแท็กซี่คงไม่ต้องมาเสีย 46,000 บาท แต่ก็อย่างว่า ไม่งั้นเค้าคงไม่มีคำพูดที่ว่ารู้อะไรไม่สู้รู้งี้!

อีกเรื่องคือถ้าคุณเป็นผู้โชคร้ายวันนั้นเหมือนกัน หรือเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆกัน อยากถามว่าได้รับการเยียวยาจากทางไหนมั้ยคะ เช่น ประกัน เผื่อมีเจ้าอื่นที่รับผิดชอบในกรณีนี้ เราจะพิจารณาสำหรับการทำประกันคราวหน้า ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
อ่านดูแล้ว เหมือนกะเวลาผิดพลาดเอง ประมาทในการบริหารเวลาในการไปสนามบินน้อยไปหน่อย
จริงอยู่ ว่ารถไฟญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของความเร็ว และตรงต่อเวลา แต่เรื่องอุบัติเหตุ และรถไม่วิ่ง ถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เช่นกัน
เครื่องออก สองทุ่มยี่สิบ อย่างน้อยห้าโมงเย็น ควรจะมาถึงสนามบิน หรือตรงจุดเข้าแถวเช็คอินได้แล้ว ไม่ใช่เวลาต้องไปขึ้นรถไฟ

ไฟลท์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก ควรจะคำนึงเอาไว้เสมอ ว่าอย่างน้อยควรจะเผื่อเวลาสักสาม ชม.
ออนไลน์เช็คอิน ก็ไม่ได้ช่วยอะไรแต่กลับกลายเป็นว่า ทำให้เราเกิดชะล่าใจ ว่าเช็คอินไปแล้วคงไม่ตกเครื่อง ???
สามชม.นี่คือ ต้องอยู่ในสนามแล้วนะ ไม่ใช่นับตั้งแต่ออกจากโรงแรม ยิ่งอยู่ต่างประเทศ และเป็นประเทศที่สนามบินก็อยู่ไกลจากตัวเมืองมากๆ
ยิ่งต้องเผื่อเวลา ในการเดินทางเข้าสนามบินให้เยอะขึ้น อย่าไปนึกแค่ว่า มีตั๋วรถไฟด่วนแล้ว ก็แล้วกัน ฝากชีวิตไว้กับรถไฟด่วน คงไม่มีไรเกิดขึ้น !
สุดท้าย ก็ต้องมานั่งเสียใจแบบนี้   คราวหน้า (หากมีอีก)  ควรจะรู้จักบริหารเวลาให้มากกว่านี้ หรือไม่ก็ควรจะรู้จักสำรองแผนหนึ่ง แผนสองไว้บ้าง
ความคิดเห็นที่ 6
สองปีที่แล้วผมก็กลับเที่ยวบินเดียวกับ จขกท เลยครับ

ผมให้เวลาสมาชิกไปเดินตึกม่วงจนถึงบ่ายสองแค่นั้น มาถึงสนามบินตอนสี่โมงเย็นนิดๆ

อ่านตอนแรกก็คิดเลยว่า จขกท ต้องโดนด่าแน่ๆเรื่องแพลนการมาถึงสนามบิน ผมยังไม่ได้อ่านเม้นด้านบนนะ

แต่รับรองได้ว่าโดนแน่ๆ   แต่!!!! อยากจะอ่านให้จบ จขกท เขารู้ตัวเองแล้วนะครับว่าเขาประมาทแพลนมากระชั้นชิดจนเกินไปจริงๆ

ซึ่งตรงนี้มันคือเหตุการณ์ไม่คาดคิด  สำหรับญี่ปุ่นการที่คุณจะกลับสนามบินนั้นมีหลายวิธีครับ

ถ้าเป็นผม แพลนมันกระชั้นชิดมากขนาดนี้(ตรงนี้ จขกท รู้ตัวอยู่แล้ว) แล้วมันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ ผมไป Taxi แน่ๆครับ

ยังไงก็ต้องยอมเพราะไม่งั้นไม่ทันแน่ๆ แล้วเครื่องบินถ้าเราไปไม่ทันนี่เรื่องใหญ่เลย


ขอบคุณ จขกท. ที่เอามาแชร์ให้หลายๆคนได้อ่านครับ เป็นประโยชน์มากๆ เงินยังไงก็เสียไปแล้ว การที่เอามาให้หลายๆคนได้อ่านแบบนี้

คือสิ่งที่ดีมากๆครับ   สำหรับคนที่อ่านๆอยู่ การทำแพลนเที่ยวญี่ปุ่น อย่าได้ทำให้มันแน่นหรือ rush มากๆนะครับ ควรจะทำแพลนหลวมๆ

ยิ่งวันที่พลาดไม่ได้อย่างวันกลับสนามบินนี่ต้องเผื่อให้เยอะๆ  สำหรับสนามบินนาริตะ ถ้าเอาชัวร์ๆสามารถไปถึงสนามบินแล้วนั่งบัส

ออกมาเที่ยวที่ช๊อปปิ้งใกล้ๆได้ด้วยนะครับ มีบัสบริการ

ขอบคุณ จขกท อีกครั้งครับ






***** tex *****
ความคิดเห็นที่ 25
อ่านมาทั้งหมด ชอบตรงที่เจ้าของกระทู้สรุปนี่ล่ะครับ  

โดยเฉพาะตรงที่ขีดเส้นใต้  ฮากันเลยทีเดียว
-----------------------------------------------------------
ซึ่งสิ่งที่เราได้รับคือ
1. คงต้องเผื่อเวลาเยอะกว่านี้ ไม่ประมาทเพราะ Shit happens!
2. ศึกษาการเดินทางวิธีอื่นไว้ให้ละเอียดเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
3.ตอนนั้นถ้าเรายอมเสีย 8,000 บาท ค่าแท็กซี่คงไม่ต้องมาเสีย 46,000 บาท แต่ก็อย่างว่า ไม่งั้นเค้าคงไม่มีคำว่าที่ว่ารู้อะไรไม่สู้รู้งี้!

------------------------------------------------------------------------

พอมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น อย่าเสียดายกับเงินเล็กๆน้อยๆครับ เพราะมันอาจมีเรื่องใหญ่กว่านั้นอีกตามมา  แล้วจะกลายเป็นเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย แบบข้อ 3 ของเจ้าของกระทู้ครับ และทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็แบบที่เจ้าของกระทู้กล่าวไว้ใน ข้อ 1 ครับ Shit happens นี่ล่ะ  เมื่อมัน happen เรื่องนึงแล้ว วันนั้นมันอาจไม่จบและเจอไปอีกหลายๆเรื่องครับ

ปล. เรื่องการเผื่อเวลาไว้นี่ต้องระวังนะครับ  การเผื่อเวลาโดยนับเวลาถอยหลังจากเครื่องออก 3 ชั่วโมง นี่ให้นับ 3 ชั่วโมงที่เราถึงสนามบินนะครับ  ไม่ใช่นับรวมเวลาเดินทางไปสนามบิน  เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าการเดินทางไปสนามบินนั้นมันจะเหตุสุดวิสัยอะไรได้บ้าง  ปกติถ้าผมบินไฟล์ทกลับกรุงเทพฯจากลอนดอน  เครื่องออก 12.30 (เที่ยง) ผมจะต้องออกจากที่พักตั้งแต่ 8.30 แล้วครับ แล้วที่พักนี่ก็ต้องอยู่ในโซนใกล้ๆกับสนามบิน หรือมาในทิศทางเดียวกันกับสนามบินแล้ว  เพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้นี่ล่ะครับ  ถ้าครั้งไหนต้องพักแบบคนละฝั่งเมือง (East หรือ North zone) จะเผื่อเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่