นอกจากที่ทั้งคู่จะพลิกนรก จากการที่แพ้ในนัดแรก กลับมาชนะนัดที่ 2 แบบดราม่าซ้อนดราม่า รถผ่าป่าคว่ำกันแหลกลาญแล้ว
ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม รอบแบ่งกลุ่มในนัดสุดท้าย ถ้าแฟนบอลยังจำกันได้ ทั้งคู่อยู่ในสถานการณ์ที่ตกรอบแบ่งกลุ่มมากๆ
ลิเวอร์พูลต้องตามหลังนาโปลีอยู่ 3 แต้ม และนัดสุดท้ายต้องเอาชนะนาโปลีให้ได้อย่างเดียว
ผลปรากฎว่า ลิเวอร์พูลเอาชนะนาโปลีไป 1-0 ประตูได้เสียเท่ากับนาโปลี แต่ยิงได้มากกว่าแค่ 2 ลูก เลยเข้ารอบเป็นอันดับ 2
มาดูที่สเปอร์ส โจทย์เหมือนกับลิเวอร์พูลเหมือนกันคือต้องชนะในนัดสุดท้ายให้ได้
แต่เงื่อนไขยากกว่าเพราะต้องไปเยือนบาร์เซโลน่าถึงคัมป์นู แถมยังต้องลุ้นอีกคู่ระหว่างอินเตอร์ กับ พีเอสวี อีก
ปรากฏว่าสเปอร์บุกไปเสมอได้สำเร็จ และอินเตอร์ดันหมูหกเสมอพีเอสวีในบ้าน
สเปอร์เลยเข้ารอบเป็นอันดับ 2 เพราะเฮดทูเฮด ลูกได้เสียดีกว่าอินเตอร์แค่ลูกเดียว
ปกติแล้วทีมที่เข้าชิงแชมป์เปี้ยนลีก มักจะต้องโชว์ฟอร์มในรอบแบ่งกลุ่มให้ดี สวยหรู แก็บแต้มเป็นกอบเป็นกลำ อย่างน้อยก็น่าจะ 12-13 แต้มขึ้นไป
และต้องมีทีมใดทีมนึงเป็นแชมป์กลุ่ม หรือไม่ก็ต้องเป็นแชมป์กลุ่มทั้งคู่
แค่ลิเวอร์พูลกับสเปอร์ส ทั้งคู่เก็บแต้มในรอบแบ่งกลุ่มไม่ถึง 10 แต้มด้วยซ้ำ แถมยังเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ทั้งคู่
แต่พอรอบน็อกเอาส์ก็เขี่ยทีมโหดๆตกรอบไปได้แบบอึ้งตาค้างเลยทีเดียว
ถ้ามีใครบอกว่าตอนกลางปีที่แล้วว่าลิเวอร์พูลกับสเปอร์สจะได้เข้าชิง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกได้ในปี 2018/19
ที่สนามเป็นกลางของทีมแอตเลติโก มาดริดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ชาติที่มีทีมฟุตบอลได้แชมป์ยุโรปได้มากที่สุด คงมีคนหาว่าบ้าหรือเพี้ยนแน่ๆ
แต่มันเกิดขึ้นแล้ว แถมยังเป็นคู่ชิงที่มาจากชาติเดียวกัน จากลีกฟุตบอลที่มีคนติดตามมากที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีกอีก
จะเรียกว่า England Final เวอร์ชั่นวัวกระทิงก็คงไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน
ส่วนตัวผมถึงแม้จะชอบบุนเดสลีก้า และยังเชียร์ให้ทีมจากเยอรมันเข้าชิงตลอดทุกฤดูกาลในแชมป์เปี้ยนลีค
แต่ก็อดชื่นชมเส้นทางที่ลิเวอร์พูลกับสเปอร์สที่ผ่านมาเข้าชิงได้ในฤดูกาลในปีนี้ไม่ได้จริงๆครับ
มันทั้งเหลือเชื่อ ดราม่าครบรส มีทุกอารมณ์จริงๆ
ไม่ว่าทีมไหนจะได้ชูถ้วยแชมป์หูกางพร้อมเพลงยูฟ่า ทีมนั้นก็เหมาะสมทุกประการครับ
และต้องจารึกไว้เลยว่า
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีค ฤดูกาล 2018/19 เป็นฤดูกาลที่สุดยอดอีกหนึ่งฤดูกาลเลยทีเดียว
ความในใจต่อ ลิเวอร์พูลกับสเปอร์ส เวอร์ชั่น 2019 เป็นคู่ชิงที่เหลือมากๆในรอบหลายปีเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม รอบแบ่งกลุ่มในนัดสุดท้าย ถ้าแฟนบอลยังจำกันได้ ทั้งคู่อยู่ในสถานการณ์ที่ตกรอบแบ่งกลุ่มมากๆ
ลิเวอร์พูลต้องตามหลังนาโปลีอยู่ 3 แต้ม และนัดสุดท้ายต้องเอาชนะนาโปลีให้ได้อย่างเดียว
ผลปรากฎว่า ลิเวอร์พูลเอาชนะนาโปลีไป 1-0 ประตูได้เสียเท่ากับนาโปลี แต่ยิงได้มากกว่าแค่ 2 ลูก เลยเข้ารอบเป็นอันดับ 2
มาดูที่สเปอร์ส โจทย์เหมือนกับลิเวอร์พูลเหมือนกันคือต้องชนะในนัดสุดท้ายให้ได้
แต่เงื่อนไขยากกว่าเพราะต้องไปเยือนบาร์เซโลน่าถึงคัมป์นู แถมยังต้องลุ้นอีกคู่ระหว่างอินเตอร์ กับ พีเอสวี อีก
ปรากฏว่าสเปอร์บุกไปเสมอได้สำเร็จ และอินเตอร์ดันหมูหกเสมอพีเอสวีในบ้าน
สเปอร์เลยเข้ารอบเป็นอันดับ 2 เพราะเฮดทูเฮด ลูกได้เสียดีกว่าอินเตอร์แค่ลูกเดียว
ปกติแล้วทีมที่เข้าชิงแชมป์เปี้ยนลีก มักจะต้องโชว์ฟอร์มในรอบแบ่งกลุ่มให้ดี สวยหรู แก็บแต้มเป็นกอบเป็นกลำ อย่างน้อยก็น่าจะ 12-13 แต้มขึ้นไป
และต้องมีทีมใดทีมนึงเป็นแชมป์กลุ่ม หรือไม่ก็ต้องเป็นแชมป์กลุ่มทั้งคู่
แค่ลิเวอร์พูลกับสเปอร์ส ทั้งคู่เก็บแต้มในรอบแบ่งกลุ่มไม่ถึง 10 แต้มด้วยซ้ำ แถมยังเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ทั้งคู่
แต่พอรอบน็อกเอาส์ก็เขี่ยทีมโหดๆตกรอบไปได้แบบอึ้งตาค้างเลยทีเดียว
ถ้ามีใครบอกว่าตอนกลางปีที่แล้วว่าลิเวอร์พูลกับสเปอร์สจะได้เข้าชิง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกได้ในปี 2018/19
ที่สนามเป็นกลางของทีมแอตเลติโก มาดริดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ชาติที่มีทีมฟุตบอลได้แชมป์ยุโรปได้มากที่สุด คงมีคนหาว่าบ้าหรือเพี้ยนแน่ๆ
แต่มันเกิดขึ้นแล้ว แถมยังเป็นคู่ชิงที่มาจากชาติเดียวกัน จากลีกฟุตบอลที่มีคนติดตามมากที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีกอีก
จะเรียกว่า England Final เวอร์ชั่นวัวกระทิงก็คงไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน
ส่วนตัวผมถึงแม้จะชอบบุนเดสลีก้า และยังเชียร์ให้ทีมจากเยอรมันเข้าชิงตลอดทุกฤดูกาลในแชมป์เปี้ยนลีค
แต่ก็อดชื่นชมเส้นทางที่ลิเวอร์พูลกับสเปอร์สที่ผ่านมาเข้าชิงได้ในฤดูกาลในปีนี้ไม่ได้จริงๆครับ
มันทั้งเหลือเชื่อ ดราม่าครบรส มีทุกอารมณ์จริงๆ
ไม่ว่าทีมไหนจะได้ชูถ้วยแชมป์หูกางพร้อมเพลงยูฟ่า ทีมนั้นก็เหมาะสมทุกประการครับ
และต้องจารึกไว้เลยว่า
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีค ฤดูกาล 2018/19 เป็นฤดูกาลที่สุดยอดอีกหนึ่งฤดูกาลเลยทีเดียว