คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เข้ามารับฟัง จขกท ค่ะ
ไปหาหมอเถอะ เพราะเริ่มมีการทำร้ายตัวเองแล้ว อย่ากลัวพ่อแม่จะรู้ หากคุณหมอวินิจฉัยว่าป่วยและต้องรักษา เพราะที่แย่กว่าพ่อแม่รู้ นั้นคือ จขกท ป่วยไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รักษา หลายคนมาตั้งกระทู้ และบอกทำนองเดียวกับ จขกท ว่ากลัวพ่อแม่รู้ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร เดาว่า อาจพอจะรู้เลา ๆ ว่าพ่อแม่อาจไม่เชื่อ และหรือไม่ก็กลัวพ่อแม่เสียใจ ฯลฯ ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด ล้วนไม่เข้าเรื่องทั้งนั้น อย่าคิดว่าตนเองต้องบอกแต่ข่าวดีให้พ่อแม่รู้เท่านั้น ข่าวไม่ดี แต่เป็นเรื่องจริงและสำคัญ ก็ต้องให้รู้ ส่วนท่านจะเสียใจหรือไม่ อย่างไร นั้นอยู่นอกความสามารถที่จะจัดการ แต่ก็พอจะเข้าใจนะคะ ว่าพ่อแม่หลายบ้าน ก็มีท่าทีไม่ยอมรับข่าวร้ายจากลูกเสียบ้างเลย ผลคือ ลูกต้องแบกปัญหาไว้กับตัวเอง ในนามของการเป็นลูกที่ดี และประสบความสำเร็จ ความจริงคือความจริง และไม่ควรมีใครต้องตายเพราะความจริง -- แม้ว่าในความจริง ในบางครอบครัว เจ็บจริง -- ไม่รู้ว่าในกรณีของ จขกท กลัวในแง่ไหน และมั่นใจหรือที่ว่ากลัวนั้น เป็นตามนั้นจริง
ขนาดจะเข้าเรียนมัธยมปลาย และกำลังเรียนอยู่ ยังเครียดเช่นนี้ เมื่อถึงคราวต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย จขกท อาจรับแรงกดดันไม่ไหว หากสุขภาพจิตยังอ่อนแอเช่นนี้อยู่
จากที่เล่า คิดว่าความผิดหวังที่ไม่ได้เรียนโรงเรียนที่อยากเข้า ทั้งที่เตรียมสอบอย่างหนัก ส่งผลสะเทือนรุนแรงต่อจิตใจ โชคดีที่ยังได้เข้าเรียนที่ได้เรียนในปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่า -- อาจผิด -- ความผิดหวังนั้น มันยังเป็นประสบการณ์ร้าย และมันยังอยู่ นอกจากนั้น สาเหตุอีกอย่างที่อาจทำให้ จขกท ตกอยู่ในสภาพไม่สบายสักเท่าไรนี้ อาจอยู่ที่วิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ ถึงเวลาแล้วนะคะ ที่เด็กและวัยรุ่นทุกคน รวมถึงผู้ใหญ่ไม่น้อย ที่อยู่กับโทรศัพท์ หรือแท็บเล็ทยาวนานต่อวัน โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโลกของความจริงที่ปรากฎตรงหน้า และจับต้องได้ ต้องยอมรับและเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินชีวิตประจำวันของตน ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ทำให้คนเราอ่อนแอลง ทั้งทางด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต และยังรวมถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมอีกด้วย สุขภาพจิตที่อ่อนแอลงที่สำคัญ เกิดจากสภาวะโดดเดี่ยว หลายคนคิดว่าตนเองชอบ และทำต่อไป โดยไม่ทันรู้เลยว่า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาหรือเธอไม่สามารถสื่อสารตัวเป็น ๆ กับผู้อื่น และกับสิ่งหรือเรื่องราวที่ปรากฎตรงหน้าได้อย่างง่าย ๆ แต่ละคนดูเหมือนจะมีโลกส่วนตัวและความลึกลับต่อกันอย่างชนิดที่ว่าค่อนข้างย้อนแย้ง นั้นคือโลกส่วนตัวสูง ทั้งที่ในความเป็นจริง ลึก ๆ ภายในต้องการความรัก การได้รับความสนใจและเอาใจใส่อย่างมาก ทั้งนี้ อาจไม่ทันฉุกคิดเลยว่า คนเรานั้น ไม่มีทางเลย -- หรืออย่างน้อยก็ยาก -- ที่จะได้ตามใจตนเองไปหมดทุกอย่าง และยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ตัวเป็น ๆ ในโลกความจริง เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการมีสุขภาพจิตดี เป็นไปตามที่ จขกท เล่านะคะ ที่ว่าเมื่อทำงานชุมนุม จขกท มีความสุขดี เพราะฉะนั้น ขอแนะนำให้ จขกท ไปหาหมอ เมื่อเปิดเทอม พยายามเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การเรียนและสังคม เล่นและทำงานกับเพื่อน ๆ ให้มาก อาจรวมถึงเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย และที่สำคัญมากอีกอย่างนั้นคือ ขอให้ จขกท เลือกกิจกรรมที่ทำด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ในขณะที่คนเรามีความเสี่ยงจะหลุดโลก อันตรายเกิดขึ้นแน่ หากเลือกทำกิจกรรมที่รักที่ชอบ ทั้งที่กิจกรรมเหล่านั้น จะทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ลงกว่าเดิมอีก อย่างในกรณีของ จขกท ที่บอกว่าชอบเขียนนิยายแฟนตาซี โลกความจริงไม่ได้น่ากลัว เรียน เล่น เป็นอยู่และทำงานในโลกความจริงให้มากขึ้นต่างหาก ที่จะช่วยให้สุขภาพจิตแข็งแรง ไม่อ่อนแอ ไม่เจ็บป่วย
เอาใจช่วย จขกท ให้มีสุขภาพจิตแข็งแรงขึ้น
เป็นทัศนะหนึ่งเท่านั้นค่ะ
ไปหาหมอเถอะ เพราะเริ่มมีการทำร้ายตัวเองแล้ว อย่ากลัวพ่อแม่จะรู้ หากคุณหมอวินิจฉัยว่าป่วยและต้องรักษา เพราะที่แย่กว่าพ่อแม่รู้ นั้นคือ จขกท ป่วยไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รักษา หลายคนมาตั้งกระทู้ และบอกทำนองเดียวกับ จขกท ว่ากลัวพ่อแม่รู้ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร เดาว่า อาจพอจะรู้เลา ๆ ว่าพ่อแม่อาจไม่เชื่อ และหรือไม่ก็กลัวพ่อแม่เสียใจ ฯลฯ ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด ล้วนไม่เข้าเรื่องทั้งนั้น อย่าคิดว่าตนเองต้องบอกแต่ข่าวดีให้พ่อแม่รู้เท่านั้น ข่าวไม่ดี แต่เป็นเรื่องจริงและสำคัญ ก็ต้องให้รู้ ส่วนท่านจะเสียใจหรือไม่ อย่างไร นั้นอยู่นอกความสามารถที่จะจัดการ แต่ก็พอจะเข้าใจนะคะ ว่าพ่อแม่หลายบ้าน ก็มีท่าทีไม่ยอมรับข่าวร้ายจากลูกเสียบ้างเลย ผลคือ ลูกต้องแบกปัญหาไว้กับตัวเอง ในนามของการเป็นลูกที่ดี และประสบความสำเร็จ ความจริงคือความจริง และไม่ควรมีใครต้องตายเพราะความจริง -- แม้ว่าในความจริง ในบางครอบครัว เจ็บจริง -- ไม่รู้ว่าในกรณีของ จขกท กลัวในแง่ไหน และมั่นใจหรือที่ว่ากลัวนั้น เป็นตามนั้นจริง
ขนาดจะเข้าเรียนมัธยมปลาย และกำลังเรียนอยู่ ยังเครียดเช่นนี้ เมื่อถึงคราวต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย จขกท อาจรับแรงกดดันไม่ไหว หากสุขภาพจิตยังอ่อนแอเช่นนี้อยู่
จากที่เล่า คิดว่าความผิดหวังที่ไม่ได้เรียนโรงเรียนที่อยากเข้า ทั้งที่เตรียมสอบอย่างหนัก ส่งผลสะเทือนรุนแรงต่อจิตใจ โชคดีที่ยังได้เข้าเรียนที่ได้เรียนในปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่า -- อาจผิด -- ความผิดหวังนั้น มันยังเป็นประสบการณ์ร้าย และมันยังอยู่ นอกจากนั้น สาเหตุอีกอย่างที่อาจทำให้ จขกท ตกอยู่ในสภาพไม่สบายสักเท่าไรนี้ อาจอยู่ที่วิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ ถึงเวลาแล้วนะคะ ที่เด็กและวัยรุ่นทุกคน รวมถึงผู้ใหญ่ไม่น้อย ที่อยู่กับโทรศัพท์ หรือแท็บเล็ทยาวนานต่อวัน โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโลกของความจริงที่ปรากฎตรงหน้า และจับต้องได้ ต้องยอมรับและเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินชีวิตประจำวันของตน ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ทำให้คนเราอ่อนแอลง ทั้งทางด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต และยังรวมถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมอีกด้วย สุขภาพจิตที่อ่อนแอลงที่สำคัญ เกิดจากสภาวะโดดเดี่ยว หลายคนคิดว่าตนเองชอบ และทำต่อไป โดยไม่ทันรู้เลยว่า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาหรือเธอไม่สามารถสื่อสารตัวเป็น ๆ กับผู้อื่น และกับสิ่งหรือเรื่องราวที่ปรากฎตรงหน้าได้อย่างง่าย ๆ แต่ละคนดูเหมือนจะมีโลกส่วนตัวและความลึกลับต่อกันอย่างชนิดที่ว่าค่อนข้างย้อนแย้ง นั้นคือโลกส่วนตัวสูง ทั้งที่ในความเป็นจริง ลึก ๆ ภายในต้องการความรัก การได้รับความสนใจและเอาใจใส่อย่างมาก ทั้งนี้ อาจไม่ทันฉุกคิดเลยว่า คนเรานั้น ไม่มีทางเลย -- หรืออย่างน้อยก็ยาก -- ที่จะได้ตามใจตนเองไปหมดทุกอย่าง และยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ตัวเป็น ๆ ในโลกความจริง เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการมีสุขภาพจิตดี เป็นไปตามที่ จขกท เล่านะคะ ที่ว่าเมื่อทำงานชุมนุม จขกท มีความสุขดี เพราะฉะนั้น ขอแนะนำให้ จขกท ไปหาหมอ เมื่อเปิดเทอม พยายามเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การเรียนและสังคม เล่นและทำงานกับเพื่อน ๆ ให้มาก อาจรวมถึงเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย และที่สำคัญมากอีกอย่างนั้นคือ ขอให้ จขกท เลือกกิจกรรมที่ทำด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ในขณะที่คนเรามีความเสี่ยงจะหลุดโลก อันตรายเกิดขึ้นแน่ หากเลือกทำกิจกรรมที่รักที่ชอบ ทั้งที่กิจกรรมเหล่านั้น จะทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ลงกว่าเดิมอีก อย่างในกรณีของ จขกท ที่บอกว่าชอบเขียนนิยายแฟนตาซี โลกความจริงไม่ได้น่ากลัว เรียน เล่น เป็นอยู่และทำงานในโลกความจริงให้มากขึ้นต่างหาก ที่จะช่วยให้สุขภาพจิตแข็งแรง ไม่อ่อนแอ ไม่เจ็บป่วย
เอาใจช่วย จขกท ให้มีสุขภาพจิตแข็งแรงขึ้น
เป็นทัศนะหนึ่งเท่านั้นค่ะ
แสดงความคิดเห็น
รู้สึกตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า
ตอนเด็ก ผมก็เป็นเด็กที่ร่าเริงมากคนนึงครับ ไม่ได้เป็นเหมือนทุกวัน จนตอนผมเริ่มเข้า ม.2 ถึง ม.4 ผมเรียนพิเศษหนักมากครับ หนักแบบที่ว่าบางวันก็ไม่กินข้าวเพื่อเรียน ตอนกลางคืนก็ต้องอ่านหนังสือ นอนแบบคืนเว้นคืนเลยทีเดียว อดนอน3คืนอ่านหนังสือก็ทำมาแล้ว และช่วงนั้นแหละครับที่ผมรู้สึกว่าผมเปลี่ยนไปมาก จากเด็กที่ร่าเริงเข้าหาเพื่อนกลายมาเป็นคนเงียบๆหยิ่งๆชอบปลีกตัวออกจากเพื่อน ไม่ชอบเข้าสังคม ซึ่งเป้าหมายที่ผมต้องยอมเรียนหนักแบบนี้ก็เพราะว่าผมต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนอันดับหนึ่งของประเทศ และสุดท้าย ผมก็ ผิดหวัง แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังเรียนในโรงเรียนชั้นนำของประเทศอยู่ และเข้าเรียนในโปรแกรมที่ดีด้วย แต่ก็มาด้วยอาการที่ผมคิดว่า ผมเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจนะครับว่าผมเป็นรึป่าว แต่ผมขอเรียกว่าผมเป็นไปก่อน
เมื่อเข้า ม.4 ผมเรียนพิเศษน้อยลง ผมคิดว่าไอความเป็นโรคซึมเศร้าของผมมันต้องลดน้อยลง ซึ่งมันก็เป็นแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น ตอนแรกผมร่าเริง มีเพื่อน เข้าหาเพื่อนได้ แต่ไปๆมาๆโรคซึมเศร้ามันเริ่มย้อนกลับมาหาผมอีก ผมเริ่มเรียนหนักขึ้น และก็มีงานชุมนุมอีกด้วย ซึ่งโรงเรียนผมก็ไม่ได้จำกัดว่าจะอยู่กี่ขุมนุม ผมก็เลยอยู่ไปเลย 2 ชุมนุม ซึ่งหนึ่งในสองชุมนุมนั้นมีกิจกรรมตลอดทั้งปี เวลาผมทำงานชุมนุมผมก็รู้สึกมีความสุขนะ ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆอะไรประมาณนี้
ต่อมาตอนผมปลายของ ม.4 ความรู้สึกว่าเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้ามันหนักขึ้น ผมเริ่มปลีกวิเวกจากกลุ่มเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง ผมชอบไปกินข้าวคนเดียว เล่มคนเดียว ทำอะไรก็แทบจะทำคนเดียวหมด ดูหนังผมก็ดูคนเดียวได้ และทำมาบ่อยครั้งแล้วด้วย และนอกจากนี้ผมมักมีปัญหากับครอบครัวบ่อยๆ แต่ละครั้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรรุนแรงครับ แต่มันก็มีครั้งนึงที่เหมือนจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง และนั่นเหมือนจะเป็นการอัพเลเวลความโรคจิตซึมเศร้าของผมไปอีกขั้น วันนั้นผมต่อยหน้าตัวเองไปหลายที รวมถึงส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย และการที่ผมได้ทำแบบนี้ ผมรู้สึกว่า มันสะใจดี หลังจากนั้นเวลาที่ผมรู้สึกฟุ้งซ่านผมก็มักจะทำร้ายตัวเองตลอดเวลา
ช่วงหลังๆ เวลาที่ผมไม่ได้อยู่คนเดียวผมก็ดูจะเป็นคนปกติครับ เงียบๆหน่อย คุยเล่นกับเพื่อนบ้าง แต่บางทีก็เงียบเกินไปจนเพื่อนและครูสงสัย แต่เวลาผมอยู่คนเดียวผมก็ปกติบ้าง แต่หลายๆทีผมรู้สึกฟุ้งซ่านและชอบทำร้ายตัวเอง หลายๆครั้งก็คิดจะฆ่าตัวตาย แต่ผมยังพอมีสติแล้วก็ยับยั้งตัวเองได้บ้าง หรือว่าผมกลัวเจ็บก็ไม่รู้
และก็เวลาผมมีปัญหาผมมักจะเก็บเอาไว้คนเดียว สำหรับผมผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนกับปัญหาของผม และผมก็จะเก็บเอามาแก้ไขที่บ้าน และหลายครั้งผมก็มักจะต่อยตัวเองเพราะปัญหาเหล่านี้แหละ
ผมเคยเห็นชีวิตของคนหลายๆคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเขาก็ดูจะมีชีวิตที่แย่กันมากๆ ไม่เหมือนผม พ่อแม่ผมก็ดีแม้จะทะเลาะกันนิดหน่อย เพื่อนผมก็ดี ก็เพราะแบบนี้แหละ ผมเลยสงสัยว่าผมเป็นโรคซึมเศร้ารึป่าว ชีวิตผมไม่ได้มีอะไรแย่ขนาดนั้น ถ้าจะมีอะไรแย่ ก็คงจะเป็นตัวผมเอง
ผมชอบไปทำแบบทดสอบความเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งแบบทดสอบเหล่านี้ ถ้าตรงกับตัวผู้ทำ 50% ขึ้นไป นั่นแสดงว่าผู้ทำ มีโอกาสที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งผมก็มักจะทำได้ประมาณ 70-90% บางครั้งก็ได้คะแนนเต็มไปเลย
ผมชอบเขียนนิยายแฟนตาซี เพราะบางทีผมก็รู้สึกว่ามันได้สร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ที่เป็นคนละโลกกับที่ผมอยู่ในตอนนี้
ณ ตอนที่ผมเขียน ผมมีสติครบร้อยเปอร์เซนต์ ผมไม่ได้มีความรู้สึกของโรคซึมเศร้าแต่อย่างใด แต่ที่ผมมาเขียน เพราะผมคิดว่าอีกไม่นานผมจะกลับไปทำร้ายตัวเองอีกรอบ เวลาผมมีสติ ผมคิดมาตลอดว่าทำร้ายตัวเองมันไม่ดี แต่เมื่อถึงเวลา ผมก็มักจะทำมันอยู่ดี เพราะมันสะใจมากกว่า
อีกอย่างนึงครับ ผมเป็นคนเครียดง่าย ซึ่งเมื่อก่อน ผมก็เครียดเพราะว่าผมเรียนเยอะมากๆ ผมรู้ดี แต่เดี๋ยวนี้ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเครียดบ่อยๆ ชอบคิดมากจนนอนไม่หลับ แต่ปัญหาของผมก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเครียดกำลังคิดมากกับเรื่องอะไร
ผมเคยคิดจะไปหาหมอจิตแพทย์ แต่ผมก็กลัวพ่อแม่จะรู้เรื่อง ผมก็เลยไม่คิดจะไปซักที ผมก็เลยลองมาถามใน pantip นี่แหละครับ ว่าผมควรจะทำอย่างไร