แฟนเราขอแต่งงานข่วงปีที่แล้ว ตกลงไปซื้อบ้าน โดยกู้ร่วมกันและช่วยกันผ่อน เวลาผ่านมาจนตอนนี้ ซึ่งต้องเตรียมงานแต่ง และซื้อของเข้าบ้าน
แต่กลายเป็นช่วงเวลานี้ เรากลับรู้สึกตึงกับเรื่องเงิน
คือรายจ่ายในการจัดงานแต่ง ทุกอย่าง รวมไปถึงการ์ด ของชำร่วย กระทั่งแหวนแต่งงาน ถูกหารทั้งหมด (ด้วยงบคาดการณ์ ที่minimum ที่สุด... รวมทั้งค่าสินสอดที่ ชนิด ใครได้ยินก็บอกมันไม่ใช่แล้วนะ) เรายังต้องซื้อของเข้าบ้าน (ช่วยกัน) พร้อมกับภาระหนี้สินที่ตัวเองมีอยู่เดิม เรากำลังอยู่ในสถานะติดลบ
เราถามแฟนเราถึงสถานะการเงินเขา ด้วยความที่เรารู้สึกว่า การใช้จ่าย ที่เราไปซื้อของ กินข้าวด้วยกันแต่ละวัน มันค่อนข้างละเอียดมาก จนกระทั่งหน่วยบาท ...
เขาตอบเราว่า เขาแค่มีเงินเก็บน้อยลงๆ เราก็เลยเงียบ
มันอะไรหลายเรื่อง รวมถึงเรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนเดียวที่เตรียมงาน ส่วนเขาคือ หารค่าใช้จ่ายกับเรา และเลือกจากสิ่งที่เราเตรียมมาให้ (เราลองหยุดทำ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรคืบหน้า) ส่งแบบแหวนให้ดู ส่งเป็นสิบ เขาก็บอกแค่ เดี๋ยวค่อยไปดู แต่ไม่มีการนัดหมายวัน หรือเราจะไปกันเมื่อไร ทั้งที่เจอกันทุกวัน
เรารู้สึก failed ไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนเราอยากแต่งงาน คล้ายๆ เราเป็นคนขอแต่งงานงั้น
จนเราพูดกับเขาตรงๆ คิดว่าคงต้องพูด ... เขาก็เลยยอมรับออกมาว่า เขาตั้งใจจะกันเงินไว้ใช้ในอนาคต ตอนนี้เขาไม่ได้มีเงินมากขนาดที่ให้สินสอดเราเยอะๆ อยากจะรีบปิดวงเงินที่กู้ซื้อบ้านก่อน
คือเราไม่ได้อะไรเรื่องเงิน หรือวัตถุ(เขาเหมือนจะเข้าใจแบบนั้น) ... แต่มันคือความรู้สึกที่แบบ ผู้ชายอยากทำอะไรดีๆ ให้ผู้หญิงสักคน (เราคุยกับคนรู้จัก ที่แต่งงานแล้ว เขาพูดแบบนั้น) เงินสินสอด คิดซะว่า ไม่ได้คืน ... แต่ครอบครัวแฟนเราอยากให้เราไปเอ่ยปากขอคืนจากที่บ้าน ซึ่งที่บ้านคงโกรธ ทางบ้านแฟนก็เลยคิดกัน ตีจำนวนออกมา เป็นจำนวนเงินที่น้อย จนทำให้ทางบ้านเรารู้สึกไม่ดี ยิ่งรู้ว่ามีการให้เราขอคืนตอนแรก ก็ยิ่งแบบ รู้สึกไม่ดีมากไปอีกอ่ะคะ
เรารู้สึกว่าหลังจากเราคุยกับแฟนเราตรงๆ เหมือนเขาพยายามปรับตัว คือไปกินข้าวด้วยกัน ช่วยจ่ายเยอะขึ้น ไม่แบบ ชนิดบาทสองบาท พอดีเหมือนก่อน
บอกเราว่า ค่าใช้จ่ายงานแต่งให้ฝั่งเขาเป็นคนจ่ายทั้งหมดก็ได้
คือ เข้าใจว่าพยายามแก้ปัญหานะ แต่ว่า มันไม่ใช่... จริงๆ เราไม่อยากพูด เพราะมันกลายเป็นการเรียกร้องให้เขาทำ และเขาทำให้ ความรู้สึกมัน เหมือนไม่ใช่ยังไงไม่รู้ ... แล้วยังบอกอีกว่า สมัยนี้ใครเขาก็คืนค่าสินสอดกันทั้งนั้น แต่โอเคแหละ มันเป็นสิทธิทางกฎหมายของแม่เจ้าสาว
เราไม่อยากทำให้เขาเสียใจ แต่เรารู้สึกเหนื่อย เรารู้สึกไม่ค่อยเหมือนเดิม รู้สึกตอนนี้ไม่อยากแต่งงานแล้ว (ทางบ้านเขาก็ถาม เมื่อไรจะแต่ง จะกำหนดวันไหน) เรารู้สึกสงสารตัวเองบางที เราควรทำยังไงดีคะ
แฟนขอแต่งงาน แต่ยังไม่พร้อมเรื่องการเงิน
แต่กลายเป็นช่วงเวลานี้ เรากลับรู้สึกตึงกับเรื่องเงิน
คือรายจ่ายในการจัดงานแต่ง ทุกอย่าง รวมไปถึงการ์ด ของชำร่วย กระทั่งแหวนแต่งงาน ถูกหารทั้งหมด (ด้วยงบคาดการณ์ ที่minimum ที่สุด... รวมทั้งค่าสินสอดที่ ชนิด ใครได้ยินก็บอกมันไม่ใช่แล้วนะ) เรายังต้องซื้อของเข้าบ้าน (ช่วยกัน) พร้อมกับภาระหนี้สินที่ตัวเองมีอยู่เดิม เรากำลังอยู่ในสถานะติดลบ
เราถามแฟนเราถึงสถานะการเงินเขา ด้วยความที่เรารู้สึกว่า การใช้จ่าย ที่เราไปซื้อของ กินข้าวด้วยกันแต่ละวัน มันค่อนข้างละเอียดมาก จนกระทั่งหน่วยบาท ...
เขาตอบเราว่า เขาแค่มีเงินเก็บน้อยลงๆ เราก็เลยเงียบ
มันอะไรหลายเรื่อง รวมถึงเรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนเดียวที่เตรียมงาน ส่วนเขาคือ หารค่าใช้จ่ายกับเรา และเลือกจากสิ่งที่เราเตรียมมาให้ (เราลองหยุดทำ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรคืบหน้า) ส่งแบบแหวนให้ดู ส่งเป็นสิบ เขาก็บอกแค่ เดี๋ยวค่อยไปดู แต่ไม่มีการนัดหมายวัน หรือเราจะไปกันเมื่อไร ทั้งที่เจอกันทุกวัน
เรารู้สึก failed ไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนเราอยากแต่งงาน คล้ายๆ เราเป็นคนขอแต่งงานงั้น
จนเราพูดกับเขาตรงๆ คิดว่าคงต้องพูด ... เขาก็เลยยอมรับออกมาว่า เขาตั้งใจจะกันเงินไว้ใช้ในอนาคต ตอนนี้เขาไม่ได้มีเงินมากขนาดที่ให้สินสอดเราเยอะๆ อยากจะรีบปิดวงเงินที่กู้ซื้อบ้านก่อน
คือเราไม่ได้อะไรเรื่องเงิน หรือวัตถุ(เขาเหมือนจะเข้าใจแบบนั้น) ... แต่มันคือความรู้สึกที่แบบ ผู้ชายอยากทำอะไรดีๆ ให้ผู้หญิงสักคน (เราคุยกับคนรู้จัก ที่แต่งงานแล้ว เขาพูดแบบนั้น) เงินสินสอด คิดซะว่า ไม่ได้คืน ... แต่ครอบครัวแฟนเราอยากให้เราไปเอ่ยปากขอคืนจากที่บ้าน ซึ่งที่บ้านคงโกรธ ทางบ้านแฟนก็เลยคิดกัน ตีจำนวนออกมา เป็นจำนวนเงินที่น้อย จนทำให้ทางบ้านเรารู้สึกไม่ดี ยิ่งรู้ว่ามีการให้เราขอคืนตอนแรก ก็ยิ่งแบบ รู้สึกไม่ดีมากไปอีกอ่ะคะ
เรารู้สึกว่าหลังจากเราคุยกับแฟนเราตรงๆ เหมือนเขาพยายามปรับตัว คือไปกินข้าวด้วยกัน ช่วยจ่ายเยอะขึ้น ไม่แบบ ชนิดบาทสองบาท พอดีเหมือนก่อน
บอกเราว่า ค่าใช้จ่ายงานแต่งให้ฝั่งเขาเป็นคนจ่ายทั้งหมดก็ได้
คือ เข้าใจว่าพยายามแก้ปัญหานะ แต่ว่า มันไม่ใช่... จริงๆ เราไม่อยากพูด เพราะมันกลายเป็นการเรียกร้องให้เขาทำ และเขาทำให้ ความรู้สึกมัน เหมือนไม่ใช่ยังไงไม่รู้ ... แล้วยังบอกอีกว่า สมัยนี้ใครเขาก็คืนค่าสินสอดกันทั้งนั้น แต่โอเคแหละ มันเป็นสิทธิทางกฎหมายของแม่เจ้าสาว
เราไม่อยากทำให้เขาเสียใจ แต่เรารู้สึกเหนื่อย เรารู้สึกไม่ค่อยเหมือนเดิม รู้สึกตอนนี้ไม่อยากแต่งงานแล้ว (ทางบ้านเขาก็ถาม เมื่อไรจะแต่ง จะกำหนดวันไหน) เรารู้สึกสงสารตัวเองบางที เราควรทำยังไงดีคะ