สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ตอนนี้ ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็วครับ ประเทศที่หวังจะเติบโตจากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศจะทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆครับ เพราะผู้ผลิตและผู้บริโภคของโลกก็จะเปลี่ยนไปมากๆด้วย
เช่น สหรัฐ ตอนนี้มีหนี้สาธารณะ22ล้านล้านดอลล่า(110%ของจีดีพี) และในปีแรกของทรัมพ์ หนี้เพิ่ม1.9ล้านล้าน ทำลายสถิติสูงสุดของยุคโอบาม่า(1.4ล้านล้านในปีสุดท้าย) อีกห้าปี สหรัฐอาจมีหนี้ถึง 30ล้านล้าน ซึ่งถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ขึ้น ก็ไม่รู้ว่าสหรัฐจะใช้เครื่องมืออะไรมาแก้ปัญหาได้(คิวอีคงอาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว) ค่าเงินดอลล่าอาจร่วงแบบดิ่งเหว ซึ่งค่าเงินดอลล่านั้นเหมือนเป็นสินค้าพรีเมี่ยมที่มีมูลค่าเกินจริงมาตลอด เพราะทั่วโลกให้ค่าแพงเกินจริงเพราะว่า ในหลายสิบปีมานี้สหรัฐเป็นมหาอำนาจเดี่ยวทั้งด้านการทหารและเทคโนโลยี่ แต่หลังๆมานี้ ดูเหมือนว่าเทคโนโลยี่ที่ลำ้หน้าคนอื่นทั้ทางทหารและการค้า ก็ไม่ค่อยจะจริงซะแล้ว เทสล่ายังต้องเช่าใช้แบตฯสิทธิบัตรของพานาโซนิค(ญี่ปุ่น) ระบบโทรคมนาคมที่ตั้งแต่ยุคแข่ง 2Gแล้วสหรัฐไปทุ่มวิจัย ระบบCDMA แต่ทั่วโลกกลับไม่นิยมใช้ ทำให้บ.โทรคมฯของสหรัฐเจ๊งไม่ฟื้น จนล้าหลังจีนในยุค5G ซึ่งถ้าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่มีคนคาดการณ์กันว่า สหรัฐจะเกิดวิกฤติใหญ่ เกิดขึ้นจริง สหรัฐก็จะไม่ใช่ตลาดใหญ่ที่บริโภคสินค้า 30%ของโลกได้อีกต่อไป ประเทศที่เน้นดตเพราะส่งออกคงเดี้ยงตามเป็นแถบๆ
ยุโรป ตอนนี้มีคนพูดกันมากขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับ กับดักระบบสวัสดิการของรัฐในยุโรป รายได้+เงินเฟ้อ ในยูโรโซนหลายๆประเทศมีน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะมาสักพักแล้ว ทำให้คาดการณ์กันว่า นับจากนี้ยูโรโซนจะจีดีพีโตต่ำมาก สลับกับเกิดวิกฤติในประเทศสมาชิกบางประเทศ เป็นระยะๆ แต่ละประเทศก็หนี้เกิน100% แม้แต่เยอรมันก็ยังเริ่มกังวลอนาคตแล้ว เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เป็นกระดูกสันหลังกำลังเจอกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า แต่แม้แต่ BMWกับเบนซ์ ก็ยังต้องเช่าใช้สิทธิบัตรแบตฯของLG(เกาหลีใต้)กับรถไฟฟ้าของตัวเอง ตอนนี้ก็กำลังเร่งวิจัยเพื่อสิทธิบัตรแบตฯ ของตัวเองอยู่อย่างเร่งด่วน ยุโรปก็คงไม่ใช่ตลาดส่งออกที่ดีหลังจากนี้เช่นกัน
ตอนนี้ ยุคที่ฝรั่งเป็นเจ้าโลกทั้งทางทหารและเทคโนโลยี่แต่เพียงผู้เดียวกำลังจะหมดไป และจะทำให้พรีเมี่ยมที่ทำให้ค่าเงินสูงเกินจริง(ทั้งดอลล่าและยูโร)ค่อยๆลดลงๆ และถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนเก่งๆด้านเทคโนโลยี่ของสหรัฐกับยุโรปก็จะโดนแย่งตัวมาทำงานในเอเชียมากขึ้นๆๆ
ดังนั้น ไม่ว่าเวียดนามหรือไทยเอง ก็คงต้องมีโมเดลใหม่ในการขยายการเติบโตที่ไม่พึ่งการส่งออกมากนัก การโตต่อเนื่องแบบไม่สะดุดเลยเป็นไปได้ยากมากๆ เวียดนามก็คงต้องเจอกับปัญหาคอขวดที่ระบบสาธารณปโภคโตไม่ทันการใช้งาน(เพราะยังใช้งบทำถนน ประปา ท่าเรือ น้อยเกินไป) ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อขึ้นสูงมาก และหยุดชะงักชั่วขณะ อีกไม่นานคงได้เห็นครับ (อาจเจอผลกระทบจากมาเลเซีย เห็นว่าตอนนี้ใกล้ฝีจะแตกแล้ว มาเลเซียอาจดึงให้ เวียดนามกับอินโดนีเซียเซตามไปด้วยไม่มากก็น้อย) ส่วนไทยนั้น มีหนี้สาธารณะแค่42% เป็นหนี้ต่างประเทศเพียงเกือบๆ 4%หรือราวๆ แปดพันล้านดอลล่าเท่านั้น และเป็นหนี้ระยะยาวด้วย ใช้หนี้เร็วโดนปรับก็เลยไม่รีบคืน (นอกนั้นเป็นหนี้พันธบัตรเงินบาท ที่ขายให้ธนาคารไทยซื้อไปเป็นทุนสำรองเพื่อสถานะในการปล่อยกู้)
เช่น สหรัฐ ตอนนี้มีหนี้สาธารณะ22ล้านล้านดอลล่า(110%ของจีดีพี) และในปีแรกของทรัมพ์ หนี้เพิ่ม1.9ล้านล้าน ทำลายสถิติสูงสุดของยุคโอบาม่า(1.4ล้านล้านในปีสุดท้าย) อีกห้าปี สหรัฐอาจมีหนี้ถึง 30ล้านล้าน ซึ่งถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ขึ้น ก็ไม่รู้ว่าสหรัฐจะใช้เครื่องมืออะไรมาแก้ปัญหาได้(คิวอีคงอาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว) ค่าเงินดอลล่าอาจร่วงแบบดิ่งเหว ซึ่งค่าเงินดอลล่านั้นเหมือนเป็นสินค้าพรีเมี่ยมที่มีมูลค่าเกินจริงมาตลอด เพราะทั่วโลกให้ค่าแพงเกินจริงเพราะว่า ในหลายสิบปีมานี้สหรัฐเป็นมหาอำนาจเดี่ยวทั้งด้านการทหารและเทคโนโลยี่ แต่หลังๆมานี้ ดูเหมือนว่าเทคโนโลยี่ที่ลำ้หน้าคนอื่นทั้ทางทหารและการค้า ก็ไม่ค่อยจะจริงซะแล้ว เทสล่ายังต้องเช่าใช้แบตฯสิทธิบัตรของพานาโซนิค(ญี่ปุ่น) ระบบโทรคมนาคมที่ตั้งแต่ยุคแข่ง 2Gแล้วสหรัฐไปทุ่มวิจัย ระบบCDMA แต่ทั่วโลกกลับไม่นิยมใช้ ทำให้บ.โทรคมฯของสหรัฐเจ๊งไม่ฟื้น จนล้าหลังจีนในยุค5G ซึ่งถ้าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่มีคนคาดการณ์กันว่า สหรัฐจะเกิดวิกฤติใหญ่ เกิดขึ้นจริง สหรัฐก็จะไม่ใช่ตลาดใหญ่ที่บริโภคสินค้า 30%ของโลกได้อีกต่อไป ประเทศที่เน้นดตเพราะส่งออกคงเดี้ยงตามเป็นแถบๆ
ยุโรป ตอนนี้มีคนพูดกันมากขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับ กับดักระบบสวัสดิการของรัฐในยุโรป รายได้+เงินเฟ้อ ในยูโรโซนหลายๆประเทศมีน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะมาสักพักแล้ว ทำให้คาดการณ์กันว่า นับจากนี้ยูโรโซนจะจีดีพีโตต่ำมาก สลับกับเกิดวิกฤติในประเทศสมาชิกบางประเทศ เป็นระยะๆ แต่ละประเทศก็หนี้เกิน100% แม้แต่เยอรมันก็ยังเริ่มกังวลอนาคตแล้ว เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เป็นกระดูกสันหลังกำลังเจอกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า แต่แม้แต่ BMWกับเบนซ์ ก็ยังต้องเช่าใช้สิทธิบัตรแบตฯของLG(เกาหลีใต้)กับรถไฟฟ้าของตัวเอง ตอนนี้ก็กำลังเร่งวิจัยเพื่อสิทธิบัตรแบตฯ ของตัวเองอยู่อย่างเร่งด่วน ยุโรปก็คงไม่ใช่ตลาดส่งออกที่ดีหลังจากนี้เช่นกัน
ตอนนี้ ยุคที่ฝรั่งเป็นเจ้าโลกทั้งทางทหารและเทคโนโลยี่แต่เพียงผู้เดียวกำลังจะหมดไป และจะทำให้พรีเมี่ยมที่ทำให้ค่าเงินสูงเกินจริง(ทั้งดอลล่าและยูโร)ค่อยๆลดลงๆ และถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนเก่งๆด้านเทคโนโลยี่ของสหรัฐกับยุโรปก็จะโดนแย่งตัวมาทำงานในเอเชียมากขึ้นๆๆ
ดังนั้น ไม่ว่าเวียดนามหรือไทยเอง ก็คงต้องมีโมเดลใหม่ในการขยายการเติบโตที่ไม่พึ่งการส่งออกมากนัก การโตต่อเนื่องแบบไม่สะดุดเลยเป็นไปได้ยากมากๆ เวียดนามก็คงต้องเจอกับปัญหาคอขวดที่ระบบสาธารณปโภคโตไม่ทันการใช้งาน(เพราะยังใช้งบทำถนน ประปา ท่าเรือ น้อยเกินไป) ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อขึ้นสูงมาก และหยุดชะงักชั่วขณะ อีกไม่นานคงได้เห็นครับ (อาจเจอผลกระทบจากมาเลเซีย เห็นว่าตอนนี้ใกล้ฝีจะแตกแล้ว มาเลเซียอาจดึงให้ เวียดนามกับอินโดนีเซียเซตามไปด้วยไม่มากก็น้อย) ส่วนไทยนั้น มีหนี้สาธารณะแค่42% เป็นหนี้ต่างประเทศเพียงเกือบๆ 4%หรือราวๆ แปดพันล้านดอลล่าเท่านั้น และเป็นหนี้ระยะยาวด้วย ใช้หนี้เร็วโดนปรับก็เลยไม่รีบคืน (นอกนั้นเป็นหนี้พันธบัตรเงินบาท ที่ขายให้ธนาคารไทยซื้อไปเป็นทุนสำรองเพื่อสถานะในการปล่อยกู้)
แสดงความคิดเห็น
GDP เวียดนามจะโต 6.8% ติดต่อกัน 20 ปีเป็นไปได้ไหมครับ