[CR] Back Pack หนีงาน ลุยเดี่ยว เที่ยวอินเดีย I must survive The End

Day 7 28 March Go Delhi
เราก็ตื่นเช้ามาถ่ายรูปที่หน้าบ้านเรือ ก่อนกลับ เดลี เราออกจากบ้านเรือ 08.30 ถึงสนามบิน ก็ประมาณ 09.30 ระหว่างก่อนเข้าสนามบิน รถเราติดไฟแดง ก็มีผู้หญิงมาเคาะขอตังค์ แต่เราไม่ได้ให้ ใจก็อยากจะให้ แต่ตังค์เราเหลือน้อยเพราะไม่ได้แลกเพิ่ม พี่คนขับรถก็แจ้งเขาด้วยภาษาถิ่น เขาก็เดินจากไป เขาไม่ได้ตื๊อนะคะ ไม่ให้ก็ไม่ได้ว่าค่ะ ก่อนจะเข้าสนามบิน จะผ่านด่านตรวจกระเป๋าของทหารก่อนนะคะ ก่อนเข้าด่านต้องโชว์พาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินนะคะ ถ้าแอปที่เราจองเป็นภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาค่ะ ถ้าเราจองเป็นภาษาไทย เขาก็จะสงสัยนิดหน่อย ทางที่ดีก็ปริ้นไปด้วยนะคะ เมื่อผ่านด่านแรกมา ไม่นานก็ถึงสนามบิน ค่ะ เราก็ลาพี่ Nazir และก็เดินไปเข้าสนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่ทหารดูตั๋วเรา และในวันนั้นด้วยเรากลับคนเดียวหน้าตาแปลกปะหลาด ก็จะมีผู้ชายมาทักและช่วยเราพาเราไปในสนามบิน โดยเขาจะมีป้ายชื่อห้อยคอ แต่เราไม่ขอรับความช่วยเหลือจากเขา เพราะคิดว่ายังงัยต้องจ่ายทิปแน่นอน และก็จริงค่ะ เราคิดไม่ผิด เขาตื๊เราเก่งมากขนาดเราไม่ยอมรับความช่วยเหลือแต่แรก เขาก็มาหิ้วมาจับกระเป๋าเราตอนเช็คกระเป๋า จนเรายืนเชคอินและต่อแถวเพื่อตรวจร่างกายและตรวจกระเป๋าอีกรอบ เขาก็มาขอทิป เรายืนกรานไม่จ่ายเขาก็อ้างเขาต้องจ่ายเงินเพื่อเข้ามาในนี้และต้องดูแลลูกอีก 2 คน แต่เรายืนกรานไม่จ่าย เขาก็เดินหนี ใจแข็งเข้าไว้นะคะ อย่าเชื่อเขามาก ถึงจะมีป้ายเจ้าหน้าที่ ถ้ามีปัญหามากเรียกทหารที่มีเครื่องแบบเลยค่ะ เขาไม่กล้าทำอะไรเราชัวร์ เมื่อเราไปรอที่เกท ตามที่ตั๋วบอกว่าเกท 6 เราก็เดินขึ้นชั้น 2 และก็ได้ทานกาแฟครั้งแรกที่มาเที่ยวในอินเดีย 555 ถามว่าอร่อยไหม เราตอบไม่ได้ เพราะที่นี่อาจจะอร่อยแต่ไม่เหมือนอะเมซอน หรือชาวดอย ดอยช้าง บ้านเราค่ะ มันรสชาติอ่อน 555 (พนักงานขายงานดีมากค่ะเป็นดาราบ้านเราได้เลย) ระว่างนั่งรอขึ้นเครื่องด้วยประสบการณ์จากเดลีที่ทำให้เกือบตกเครื่อง เราต้องเดินไปถามเจ้าที่ก่อน และก็ได้รับคำตอบว่า ต้องไปเกท 7 นะคะ อยู่ด้านล่างค่ะ 5555 เกือบอีกแล้วไหมเรา และขากลับเราก็ได้ติดหน้าต่างเหมือนเดิม ขอแนะนำนะคะ ถ้าเราไปคนเดียวและเป็นผู้หญิง เดินไปเชคอินที่เค้าเตอร์เจ้าหน้าที่ผู้ชายนะคะ เขาจะให้เราติดหน้าต่างง่ายมาก เราไม่ได้ขอนะ แต่เขาคงรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวอยากดูวิว hahaha และก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เดินทางไปเดลี ด้วยเวลา 1 ชั่วโมงเศษ พนักงานก็แจกอาหาร ค่ะ อร่อย
เหมือนเดิมค่ะ เวลา 13.00 ก็ถึงสนามบินนิวเดลี ก็ขอเข้าห้องน้ำก่อนอันดับแรก ซึ่งห้องน้ำก็สะอาดค่ะ แยกชายหญิงชัดเจนด้วยภาพ จากนั้นเราก็แลกเงิน ด้วยเงิน ดอลล่าหสหรัส ที่แลกมาจากเมืองไทย และก็เดินออกจากสนามบิน เพื่อนั่งรถ taxi ไปโรงแรม อยากบอกว่าไปมาตั้งหลายที่ไม่เคยโดนหลอก มาเดลีวันนี้โดนจนได้ค่ะ สงสัยจะตื่นเต้นสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว 555 ที่ว่าโดนหลอกเพราะPrepaid Taxi ค่ะ เราจ่ายตังไปแล้วเขาว่าเราไม่จ่าย จากค่าTaxi ไปโรงแรมที่เราต้องจ่าย 400 รูปี กลายเป็นเราต้องจ่ายเพิ่มเป็น 800 รูปี เพราะเราไม่มีสติ 555 เขาว่าเราจ่ายแบ๊ง 100 รูปี ไม่ใช่ 500 รูปี hihi นี่ทำให้เราเกลียด Prepaid Taxi ถ้าใครมาแล้วจะไปโรงแรม ราคา Taxi ไม่เกิน 600 รูปีค่ะ ค่ะ จะเรียก Uber ก็ได้นะคะ มีแอปค่ะ สำหรับโรงแรมที่เราพักเราเลือกใกล้กับ Red fort ค่ะ เดินทางสะดวก Tuk Tuk ค่ะ 70-100 รูปี อ้อเตรียมแมสไปด้วยก็ดีนะคะ เราเชคอินโรงแรม 13.00 ค่ะ ห้องพักก็สะอาด สมราคาค่ะ มีอาหารเช้า อาหารเช้าก็พอทานได้ค่ะ แต่สู้บ้านเรือไม่ได้555 เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จ เวลา 1400 เราก็ไป Red fort ค่ะ ตั๋วเข้า Red fort เราเดินแค่ดูรอบๆไม่เข้าพิพิธภัณฑ์ 50 รูปี ค่ะยื่นพาสปอร์ตนะคะ พอได้ตั๋วและเหรียญเหมือนที่เราแตะประตูผ่านเข้าไปขึ้นรถไฟฟ้ามา เราก็มีความเปิ่นอีกรอบค่ะ หาทางเข้าไม่เจอ จะทำงัยดีหว่า เราก็นึกถึงคำศัพท์ ประตู ก็ถามเจ้าหน้าที่เขาก็งง door or entrant เจ้าหน้าที่งงค่ะ ต้องพาเราไปถามคนขายตั๋ว อยากบอกว่า คนอินเดียไม่ได้เข้าใจภาษาอังกฤษทุกคนนะคะ เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมงก็กลับค่ะ ขอพักเอาแรงต่อ อยากบอกว่าที่นี่ไอศกรีมอร่อยค่ะ แถวโรงแรมมีร้านขายอาหารพื้นเมืองและของชำเหมือนบ้านเราค่ะ แต่เราเอกกินขนม นม และไอศกรีมค่ะ จากนั้นก็อาบน้ำนอน ก่อนนอนเราก็มานั่งอ่านแพลนที่เราเตรียมว่าจะไปไหนบ้าง ดูแผนที่ ดูเส้นทางเมโทร แต่เรางง เลยนอนดีกว่า 555
Day 8 29 March
เราตื่นแต่เช้า เพื่อจะไปอินเดียเกท แลนมาร์คของเดลี เราอยากขึ้นรถเมล์ เราก็ไปถามผู้จัดการโรงแรมเราลงมาตอน 08.00 ก็ได้รบคำตอบว่า รถเมล์เริ่มวิ่งเวลา 0900 ค่ะ ที่นี่เกือบทุกอย่างเริ่ม 0900 เราจึงต้องไป TukTuk ในราคา 70 รูปี (เราถามน้องที่ดูแลที่รงแรม น้องคนนี้ก็น้าตาน่ารัก เฟรนลี่ค่ะ ซักถามเราซะเยอะในวันแรก พอรู้ว่าเรามาแบบ Alone ก็เริ่มชวนคุย โน่นนี่นั่น 555 ข้อดีของการเป็นผู้หญิงที่มาคนเดียวใครๆก็อยากช่วย hahaha) เมื่อถึงอินเดียเกท เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง อ้อ เรามีเพื่อนใหม่ต่างวัยด้วยนะคะเรา เขาขอมาดักเจอเราที่นี่ และไปกับเราตลอดทริปที่นี่วันนี้ เขาก็น่ารักดีค่ะ จากนั้นเราก็นั่งรถเมล์ไป Lotus Temple ระหว่างทางก็ลองชิมอาหารพื้นเมืองด้วยค่ะ เผ็ดมากกกกกก ที่ Lotus Temple คนเยอะมากค่ะ ยอมรับว่าสวยมากค่ะ ด้านในถ่ายรูปไม่ได้นะคะ ใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็นั่งรถเมล์ไปทีกุตัปมีนา แต่ไม่ได้เข้าค่ะ ค่าเข้าแพงมาก เรารอไปรอบหน้า 555 จากนั้นก็นั่งTukTuk ไปเมโทรเพื่อจะเดินทางไปที่ลักษมีนารายันต์ ค่ะ เมื่อเราลงที่สถานีราจีฟชอร์ค พี่ชายของเพื่อนซึ่งเป็นตำรวจที่เดลีก็แว๊นมอไซส์มารับเราไปที่วัด ระหว่างที่รอพี่ชายเพื่อนมารับเราก็ได้ทานกัปเปาะ อาหารพื้นเมืองอีกรอบ ก็อร่อยแปลกๆ เป็นแป้งเจาะรูกลวงตรงกลาง แต่ตักน้ำที่มีเครื่องเทศแช่น้ำแข็งให้เราทาน เราไม่กล้าทาน กลัวท้องเสีย แต่เพื่อคะยั้นคะยอให้ลองทาน เราเลยต้องชิม อีกอย่างมีหนุ่มหล่อ 2 คน ยืนมองและหัวเราะเราอยู่ เราเลยต้องทำให้รู้ว่า เราสาวไทยไม่กลัวท้องเสียนะ hahaha และก็ถึงเวลาพี่ชายเพื่อนมารับ ใช้เวลาไม่นานค่ะ ก็ถึงวัด เราถามเพื่อนว่าซ้อน 3 ได้เหรอ เพื่อนบอกว่า พี่เราเป็นตำรวจ hahaha ระหว่างที่เรานั่งมอไซส์ ก็เจอ 2 หนุ่มที่เขาหัวเราะเราซ้อนมอไซส์ 3 คนเหมือนกัน พอเราเจอกันก็มองหน้าแล้วหัวเราะ เพราะเขาก็มากับมอไซส์ตำรวจเหมือนกัน 555 เมื่อถึงวัดก็สวยมากค่ะ เราไปถึงเย็นประมาณ 5 โมงเย็น ไม่ค่อยมีคนแล้วค่ะ ข้างกันมีวัดศาสนาพุทธด้วยเราเลยไปกราบพระที่นั่น ซึ่งเป็นวัดเดียวที่เราเจอที่เดลี หลังจากนั้นพี่แกก็ขับมอไซส์ไปส่งเราที่โรงแรม เราก็แวะร้านเดิม ซื้อขนมและนม ไอศกรีมทานเหมือนเดิม จากนั้นก็อาบน้ำนอน
Day 8 30 March

เราเชคเอาท์ 1200 ค่ะ ก็เดินออกจากโรงแรมมาเรียกแท็กซี่ เพื่อไปสนามบิน เราอยากได้ 400รูปี เพราะเราจำได้รามา 400 รูปี Taxi ไม่ยอม 600รูปี บางคันก็ 700 รูปี แต่เราไม่ไปถ้า 500 รูปีก็พอได้ เลยเดินมาอีกนิดหน่อยเจอหนุ่มน้อยกับครอบครัวเราเลยถามเขาไปสนามบินอินทิราคานทีนั่งรถโดยสารหรือTaxi ดีกว่า เขาบอก taxi ดีกว่า เขาแนะนำให้เราเรียก Uber เราบอกไม่สามารถเรียกได้เนตหมด เขาใจดีค่ะเรียกให้เลย 555 เขาอยู่รอจนเราขึ้นTaxi เขาถึงได้เดินทางต่อ เมื่อถึงสนามบิน เราก็จ่าย 400 รูปีค่ะ ตามระยะทาง ที่จริง420 รูปี แต่พี่ Taxi ใจดี คิดแค่ 400 ค่ะ เมื่อจะเข้าสนามบิน ก็จะมีทหารตรวจพาสปอร์ตและตั๋วค่ะ เราก็ยื่นให้ดู เราจองเที่ยวดึกไว้ พี่ทหารก็บอกว่า เลาท์ยังไม่เปิดนะ เราบอกว่าไม่เป็นไรจะนั่งรอ ระหว่างรอเราก็เดินเตร็ดเตร่หาอะไรทาน เมื่อทานเสร็จก็มานั่งรอต่อที่เดิม ก็มาเจอกรุ๊ปทัวร์จากไทย ทีแรกก็ไม่คิดว่าพระไทยนะคะ คิดว่าพระพม่า พอนั่งฟังไปมา ท่านพูดสำเนียงเหนือเราเลยยกมือไหว้นมัสการ ท่านก็ทักเราว่านึกว่าคนจีน เห็นนั่งตั้งนาน 555 ท่านก็ถามเราว่าไปไหนมา มากับทัวร์เหรอ เราบอกไปแคชมีร์มา มาคนเดียว พระท่านตกใจมาก เพราะท่านก็ไปช่วงเดียวที่เราไปแต่ไม่เจอกันและไปทุกสถานที่ที่เราไปในดินเดียที่เราแพลนไว้ ท่านว่าเก่งเนาะ พูดอังกฤษได้เหรอมาคนเดียว เราก็บอกท่านว่าไม่ค่ะ พูดได้นิดหน่อย อาศัยความกล้า บ้านิดหน่อยค่ะ ท่านก็พากันหัวเราะ และอวยพรให้เราโชคดี ท่านขึ่นเครื่อง 3 ทุ่ม สไปรส์เจท เรากลับ แอร์อินเดียเหมือนเดิม รอบ 5 ทุ่ม เมื่อถึงเวลาเชคอิน เราก็เชคอินได้เกท 27 คราวนี้ไม่มีการเปลี่ยนเกทค่ะ ตรงเกทไม่ต้องกลัว ระหว่างที่นั่งรอก็เจอกลุ่มคนไทยมาเป็นครอบครัวอีก 6 คน เขาก็นั่งคุยกันเราก็นั่งมอง พอเรายิ้ม เขาก็ทักเราทันทีเลย พี่คนไทยป่าวคับเราบอกใช่ ผมว่าแล้วพี่นั่งนิ้มตอนเราคุยกัน เพราะที่เรานั่งรอมีแต่อินเดียทั้งนั้นค่ะ และเขาก้ถามเราเหมือนพระถามเลย มากับทัวร์หรือกับเพื่อนคับ เราบอกคนเดียวเขาตกใจ หาว่าเราบ้าและกล้ามาก เพราะเขาไปที่เดียวกับเรา วันเดียวกันด้วย แต่ไม่เจอกัน 555 โดยเฉพาะแคชมีร์ ซึ่งอยู่ในช่วงเกิดเหตุผ่านมาไม่นาน hihhi ระหว่างรอที่เกท เราก็ไปซื้อน้ำผลไม้มาทาน ตังค์ในกระเป๋าเหลือกลับบ้าน ประมาณ 213 รูปี เราไม่แลกคืนนะเก็บไว้เพื่อกลับไปเที่ยวอีกรอบ ครั้งหน้า Prepaid Taxi ไม่ได้กินตังค์เราชัวร์ hahaha พอขึ้นเครื่องก็ใช้เวบาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ค่ะ หระว่างทางก็ทานอาหารบนเครื่อง เสริฟ เที่ยงคืนค่ะ ก็อร่อยดี แต่ระหว่างนั่งเครื่องกลับเมืองไทย เราก็มีเพื่อนร่วมทางเป็นคู่สวีทจากอินเดียค่ะ เขาทั้งคู่ตัวสูงใหญ่มากทั้งชายและหญิง เราว่าเบาะนั่งสบายสำหรับเราแต่เขาไม่สบายต้องนั่งขดขาค่ะ ผู้หญิงก็จะเบียดเรามานิดดดหน่อย เราก็ไม่ว่าค่ะสงสารเขา อาหารเขาก็สั่งแค่ชุดเดียวทานด้วยกัน เขาน่ารักดี เราเลยแบ่งอาหารบางอย่างที่เราไม่ทานให้เขาไป เขาก็รับนะคะไม่ได้รังเกียจ เราก็ถามเขาว่าไปเที่ยวเหรอ เขาบอกว่าใช่ไปเมืองไทยครั้งแรกด้วย เขาบอกเขาชอบเมืองไทย เราก็เลยบอกเขาเหมือนกันเราชอบอินเดียและเรารักเมืองไทย hahaha และก็มีเรื่องฮาอีกรอบเมื่อเครื่องใกล้จะถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พนักงานก็เริ่มแจกใบ ตม.เข้าไทย พอมาถึงเราเขาก็ยื่นให้เรา เราเลยบอกว่าเราคนไทย พนักงานรีบบอกขอทาทันทีและก็ยิ้มแบบน่ารักสไตล์ชายอินเดีย ค่ะ จนเราเผลอยิ้มกว้างตอบเขาไป haha อ้อตอนเชคอินพนักงานที่เคาเตอร์ก็ขอเบอร์โทรเรา เราเลยบอกว่า I not have india phone number I have thai number พนักงานรีบจับพาสปอร์ตดู แล้วบอกว่า Oo Thailand I’m sorry Mam และเราทั้งคู่ก็ Smile hahaha
สุดท้ายจริงๆใครไปเที่ยวเลห์ก็ขอฝากร้านเพื่อนด้วยนะคะ หรือใครมีแพลนจะไปเที่ยวแล้วมีข้อสงสัย ก็ติดต่อสอบถามที่บ้านเรือได้ค่ะ ร้านนี้จะขายของ handmade ของท้องถิ่นนะคะ คุณภาพดี สวย และซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ค่ะ แถมเจ้าของร้านหล่อมากค่ะ ติดตาม IG ได้เลยนะคะ @hazara.art ค่ะ และสามารถสอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวที่เลห์กับแคชมีร์ได้เหมือนกันนะคะ ที่บ้านเรือ ก็ถามตามเมล์ได้เลยค่ะ หรือสอบถามทาง IG และ FB ได้เลยนะคะ ตามนี้ค่ะ IG = SAMI_ULLAH , FB =Sami Ullah(Sami) Big boss บ้านเรือค่ะ หล่อ ใจดี สุภาพ และซื่อสัตย์ทั้งครอบครัวค่ะ สำหรับของฝากใครไม่ได้ไปเดินตลาดท้องถิ่น ก็สามารถซื้อได้ที่บ้านเรือนะคะ [img]https://f.ptcdn.info/772/063/000/pqv72hmrrDg77
ชื่อสินค้า:   Delhi - Agra - Jaipur - Kashmir
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่