ทริป "ตะลุยอุทัยธานี 3 วัน 2 คืน"
low cost high experience
วันที่ 1 l 16 เมษายน 2562
เดินทางไปอุทัยธานี
สวัสดีค่ะ พวกเรากลุ่มอินุยาฉะนั้น ได้ประชุมวางแผนการเที่ยวกัน จึงได้ข้อสรุปมาว่าพวกเราจะไปเที่ยวที่จังหวัดอุทัยธานี โดยการเดินทางของพวกเรานั้นคือการเหมารถตู้เพื่อเป็นการประหยัดเวลาเดินทาง และสามารถเที่ยวได้ตามแพลนที่วางเอาไว้
เราเลือกเดินทางช่วงหลังสงกรานต์ นัดแนะรวมตัวกันตอนเวลา 5.30 น. ออกเดินทางเกือบๆ 6.00 น. โดยที่เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงเเละถึงอุทัยประมาณ 9.00 น. สถานที่แรกที่เราไปก็คือ ...
วัดเขาสะแกกรัง หรือ วัดสังกัสรัตนคีรี
เราเดินทางมาที่วัดเขาสะแกกรังเป็นที่แรก บรรยากาศในตอนนี้ยังไม่ร้อนเท่าไหร่ ได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของเมืองอุทัยที่ชาวเมืองอุทัยต่างให้ความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก ยอดเขาสะแกกรังนี้เป็นศูนย์กลาง ทั้งทางด้านศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองอุทัยธานีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใครที่ผ่านมาอุทัยก็อย่าลืมแวะไปกราบไหว้พระหรือถ่ายรูปกันละ บอกเลยวิวสวยมากกก จากนั้นพวกเราได้เดินทางไปสถานที่ถัดไปนั้นก็คือวัดท่าซุง โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมาย
วัดจันทาราม (ท่าซุง)
สถานที่ต่อไปคือวัดท่าซุงซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก เราไปที่ปราสาททองคำกันก่อน ปราสาททองคำตกแต่งด้วยทองคำตระกาลตา สร้างด้วยฝีมือที่ประณีตงดงาม ปราสาททองนี้สร้างขึ้นถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวาระที่ทรงเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 ใช้ศิลปะลายไทยในการออกแบบ การออกแบบปราสาททองคำมี 3 ชั้น มียอดทั้งหมด 37 ยอด เป็นยอดเท่าๆกัน 36 ยอด ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และยอดตรงกลางเป็นยอดใหญ่ 1ยอด
นอกจากจะเห็นความสวยงามของปราสาททองกันแล้ว เยื้องปราสาททองคำก็มีศาลาที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปเรียงรายเป็นทางยาว
หลังจากนั้น พวกเราเดินชมถ่ายรูปกันอยู่นานพอสมควร จึงไปที่ปราสาทแก้วกันต่อ
ปราสาทแก้ว 100 เมตร ภายในสวยงามตระการตามาก ภายในสร้างด้วยโมเสกสีขาวใสดูเหมือนแก้ววาววับ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลองพระพุทธชินราชซึ่งเป็นพระประทานในวิหาร เป็นวิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณะภาพ ยังเป็นที่รักษาสังขารร่างของหลวงพ่อที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้ว ภายในวิหารยังเย็นสบายมาก เข้ามาแล้วไม่อยากจะออกไปเลย และยังมีผู้คนหลั่งไหลมากราบไหว้อยู่เรื่อยๆ ด้านนอกมีน้ำดื่มเย็นๆแจกให้ฟรี
รูปที่ถ่ายมานี้สวยไม่ได้เท่าครึ่งหนึ่งของของจริง แนะนำว่าให้ไปดูด้วยตาตัวเอง มันดีมาก!!
หลังจากนี้เราก็เดินทางเข้าไปในตัวเมืองตอนแรกที่แพลนไว้พวกเราจะไปตรอกโรงยากัน แต่บังเอิญว่าวันที่เราจะไปตลาดไม่เปิด จึงอดได้ไปเก็บเกี่ยวบรรยากาศดีๆ เราจึงหาบริเวณใกล้แถวนั้นเพื่อทานข้าวเที่ยง เนื่องจากเป็นวันหยุดช่วงสงกรานต์ร้านค้าหลายๆร้านจึงปิดทำการ เเต่พวกเรายังโชคดีที่ได้กินของอร่อยๆจากร้านเด็ดของจังหวัดอุทัยธานี นั่นก็คือก๋วยเตี๋ยวไก่เจ๊โหนก เเละถ้าใครอยากจะกินก็ต้องรีบมานะ เพราะร้านเจ๊แกของหมดไวมากเลยเเต่รับประกันว่าอร่อยจริง 555555 เเละเมื่อเราทานของคาวเเล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือของหวานสิจ๊ะรออะไร และของหวานที่ว่านั่นก็คือขนมปังไส้สังขยาร้านไพรพรรณซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่เปิดมานานเเล้วและถ้าใครอยากจะกินละก็ ต้องโทรสั่งออเดอร์ไว้ก่อนเลยนะ ประมาณครึ่งชั่วโมงนะจ๊ะ เพราะของเขาหมดไว้ไม่แพ้ก๋วยเต๋ยวไก่เจ๊โหนกเลย เเละนี่ก็เป็น2สิ่งเมื่อมาถึงอุทัยเเล้วต้องกินถ้าไม่กินระวังจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องนะเออ เเละหลังจากอิ่มท้องกันเเล้วเราก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ถัดไปนั้นก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
สถานที่แห่งนี้หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะเข้าพักจะต้องติดต่อไปยังฝ่ายจัดการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ส่วยอนุรักษณ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ล่วงหน้าอย่างน้อย20วัน ลักษณะภูมิอากาศที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งนั้น ปกติจะมีอากาศร้อน มีช่วงอากาศเย็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในฤดูหนาว ส่วนฤดูฝนจะมีฝนตกหนักตลอดวัน และในฤดูฝนผู้ที่เข้ามาที่นี่จะไม่สามารถนำรถเข้ามาได้ เพราะบางจุดจะมีน้ำท่วมขัง อีกทั้งเส้นทางศึกษาธรรมชาติเขาดินแดงนั้น จะปิดในช่วงเดือนเมษายน ดังนั้นหากใครมีแผนที่จะพาครอบครัว หรือหมู่คณะมาสัมผัสอากาศบริสุทธิ์และธรรมชาติ ควรสำรวจสภาพอากาศในช่วงที่จะเดินทางและเคารพกฎกติกาที่สถานที่กำหนดไว้ เพื่อให้ทริปการเที่ยวป่าเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย และเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี พอเรามาถึงก็จัดแจงแบ่งห้องพักกัน ลักษณะบ้านพักจะเป็นบ้าน2หลังติดกัน ภายในจะแบ่งออกเป็น 2 ห้องนอน 1ห้องนอนได้ 2คน แต่ว่ามีที่นอนสำรองอีก2ที่ ปูไว้หน้าทางเข้าห้อง และมี1ห้องน้ำ ซึ่งมีฝักบัว มีซิงค์ล้างหน้า (แต่น้ำจะเหลืองนิดๆ เพราะว่าน้ำนี้มาจากน้ำตก) จัดว่าผ่าน!!
หลังจากที่เราเก็บสัมภาระเรียบร้อยกันแล้ว เวลา16:00 น. พวกเราจึงไปที่หอส่องสัตว์ริมห้วยทับเสลาที่เราสามารถเฝ้าดูสัตว์ในมุมสูงได้ ขณะที่เราเดินทางไปดูต้องทำเสียงให้เงียบที่สุด เพื่อที่สัตว์จะไม่ได้ตกใจแล้ววิ่งหนีไป โชคดีที่เราไปเจอวัวแดงเป็นฝูงราว 30 ตัว ก็เก็บภาพกับพี่วัวแดงกันใหญ่เลย ขณะนั้นวัวแดงทั้งฝูงก็จ้องมองมายังพวกเรา แต่พวกเขายังอยู่ที่เดิม เป็นเพราะว่าไม่ได้กลิ่นพวกเรา ปกติแล้วสัตว์เหล่านี้เวลาได้กลิ่นแปลกๆมันจะวิ่งเข้าป่าไป แต่วันนั้นพวกเราอยู่ใต้ลมจึงทำให้วัวแดงไม่ได้กลิ่น (มีเทคนิคดีๆมาบอก ถ้าอยากเข้าป่าแล้วไม่ให้สัตว์วิ่งหนีต้องพรางตัวเองให้เหมือนกับสัตว์ คือทำให้กลิ่นคล้ายๆกันเข้าไว้ 555555)
หลังจากกลับมาพวกเราก็ไปทานอาหารเย็นที่ครัวริมธาร ซึ่งอยู่ข้างหลังบ้านพักเราเอง ส่วนอาหารพวกเราได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำไว้ให้ บริเวณข้างๆมีฝายกั้นน้ำเล็กๆ มีหมูป่าที่ข้ามฝั่งไปมาเพื่อหาอาหาร บรรยากาศที่เริ่มเย็นทำให้รู้สึกดีเป็นอย่างมากพวกเราจึงได้ไปเก็บภาพบรรยากาศมาให้ดูด้วย
หลังจากนั้นพวกเราก็ร่วมการทานอาหารเย็น อาหารอร่อย ถือว่าผ่าน!! เราทานพร้อมกับดูสัตว์ไปด้วย เจอทั้งหมูป่า กวาง ไก่ฟ้า และนกที่หายากอีกด้วย พอฟ้ามืดพวกเราก็นั่งกันอยู่ที่เดิม (ที่นี่จะเข้มงวดเรื่องการเข้าที่พักมาก ห้ามออกจากบ้านพักเวลากลางคืน เพราะสัตว์จะออกหากิน)และบังเอิญได้ยินเสียงที่เราคิดไปเองว่าเป็นช้าง เพราะมีรอยเท้าช้างอยู่บริเวณที่เราอยู่พอดี แท้จริงแล้วเป็นเสียงเก้งนั่นเอง !! พอตกดึกพวกเราก็เข้านอนกัน แต่ว่ากว่าจะได้นอน ก็ไล่ตบแมลงกันอยู่นานพอควร ทั้งกัดทั้งต่อย คันตัวกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นพอนอนไปได้สักพักจะได้ยินเสียงฝีท้าวของสัตว์ที่เดินไปเดินมาข้างๆบ้าน ถ้าคนที่ไม่คุ้นเสียงก็คงวิ่งเพ่นราบไปแล้ว
วันที่ 2 l 17 เมษายน 2562
พอรุ่งเช้ามาทุกคนก็นำเสบียง(มาม่า โจ๊ก)มาต้มน้ำร้อนกิน (ก่อนเข้ามาควรหาเสบียงเตรียมพร้อมมาด้วย) แล้วเตรียมตัวออกเดินทางไปยังบ้านพักของ สืบ นาคะเสถียร และเดินเข้าป่าเพื่อศึกษาธรรมชาติ อีก 2.2 กิโลเมตร!!
วันหนึ่งฉันไปเดินป่า
พวกเราออกเดินทางในเวลา 7:00น. พอมาถึงจุดที่นำรถเข้าไปไม่ได้แล้ว เราจึงได้เดินเท้าเข้าไปยังอนุสรณ์ สืบ นาคะเสถียร ที่อาคารอนุสรณ์สถานสืบ นาคะเสถียร ก่อนจะถึงเราได้เจอฝูงกวางกับละมั่ง ซึ่งก็ทำให้ตื่นเต้นได้ไม่น้อย ทางที่เดินเข้าไปถูกสร้างขึ้นให้มีรอยลักษณะเหมือนจิ๊กชอว์เพราะว่าท่านสืบ นาคะเสถียร อยากให้คนที่เดินเข้ามาที่นี่ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ คอยสังเกตุ เพราะถ้าเดินไม่ระวังจะทำให้หกล้มได้ (เจอความรู้ตั้งแต่ทางเข้าเลย)
พอเดินดูรอบๆบ้านพักเสร็จพวกเราก็เดินเข้าป่า การทำกิจกรรมเดินสำรวจธรรมชาตินั้น ในขณะที่เดินไปตามทางควรทำให้เสียงเกิดน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้สัตว์ป่าซึ่งมีระบบประสาทสัมผัสที่ดีนั้นเกิดการตกใจ เมื่อเห็นร่องรอยต่างๆที่สัตว์ทิ้งเอาไว้ เช่น รอยเท้า รอยเล็บ เป็นต้น ควรจินตนาการว่ารอยนั้นเกิดจากอะไร เราได้เดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติเขาดินแดง เส้นทางยอดนิยม ที่มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร แต่วันนั้นที่เราเดิน เพียงแค่ 2.2 กิโลเมตร (แค่นี้ก็ทำให้เหนื่อยหอบแล้ว) ป่าแห่งนี้เป็นป่าเต็งรัง ตามทางที่เราเดินเข้าไปมีแต่ต้นไม้สีเขียวล้อมรอบทำให้รู้สึกดีเป็นอย่างมาก ได้มาสูดบรรยากาศที่ปลอดโปร่งตั้งแต่เช้า ขณะที่เราเดินทางสำรวจก็เจอรอยเท้าของสัตว์นานาชนิด ทั้งกวาง ละมั้ง เสือ ช้าง จะเจอรอยเท้าพวกนี้ตลอดการเดินทาง ในขณะที่เราเจอรอยเท้าเสื้อนั้นเจ้าหน้าที่ที่พาพวกเราไปบอกว่ามันพึ่งเดินผ่านไป แต่ข้างๆมีเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเราทุกคนหยุดนิ่ง น่ากลัวมาก แต่ทว่ามันคือเจ้าตะกวดนั่นเอง!!
[CR] 3 Day 2 Night With Inuyasha at Uthai Thani
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้