[CR] ทริปตีเมืองจันท์ 3 วัน 2 คืน แบบฉบับชินจัง(ตังค์อยู่ครบ)


สวัสดีเพื่อน ๆ ชาว Pantip ทุกคนค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของการรีวิวการเดินทางของพวกเรา หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ทริปนี้เราไปเที่ยวในรายวิชา GEN441 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งในทริปจะต้องเน้นเที่ยวใน Concept “Low price, High Experience” ซึ่งเรามีแนวคิดว่า เที่ยวทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม เก็บให้ครบ โดยจังหวัดจันทบุรีนั้นมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์มาก ไม่ว่าจะเป็นภูเขา น้ำตก ทะเล มีโบราณสถานและวัฒนธรรมที่สวยงาม และยังมีอาหารที่ทั้งอร่อยและหลากหลายอีกด้วย เราจึงตัดสินใจว่าจะไปหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่จังหวัดจันทบุรีกัน


จากการค้นคว้าหาข้อมูลก็พบว่าแหล่งท่องเที่ยวที่เราอยากไปนั้น ไม่ค่อยมีรถบริการสาธารณะเข้าถึงสักเท่าไหร่ เมื่อลองคำนวณค่าใช้จ่ายในการเหมารถแล้ว ก็พบว่าหากเช่ารถไปเองน่าจะประหยัดกว่า จึงตัดสินใจเช่ารถกับ "Yassemo Car Rent” ซึ่งไม่ต้องใช้บัตรเครดิต บริการดีมากๆ พี่เจ้าของรถเป็นกันเอง ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ ติดต่อผ่าน @yassemocarrent ได้เลย โดยเราได้รถ Isuzu MU-7 เป็นเพื่อนในการเดินทางของเราในครั้งนี้ 






หลังจากปรึกษากับเพื่อน ๆ อยู่นาน เราก็ได้แผนการท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรีเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน

วันที่ 1
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไป จันทบุรี
ตลาดทุบหม้อ วัดพลับ
ชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว
เขาคิชฌกูฏ

วันที่ 2
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำอ่าวคุ้งกระเบน
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล
ชุมชนริมน้ำจันทบูร

วันที่ 3
เดินทางกลับกรุงเทพฯ




วันที่ 1


เราเริ่มออกเดินทาง 9.30 น. โดยเราคาดว่าน่าจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ 3 ชั่วโมงผ่านไป เรายังติดอยู่บนถนน เพราะว่ารถติดมากกกกกกก (ก ล้านตัว)  คาดว่าคนอื่น ๆ ก็คงจะอยากออกเดินทางท่องเที่ยวเหมือนกับเราเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราว่าเป็นเสน่ห์ของการเดินทางที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสิ่งนี้แหละ การที่ได้อยู่บนยานพาหนะนาน ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ รถตู้ รถไฟ มอเตอร์ไซต์ เครื่องบินหรือเรือ นั่นหมายถึงเราจะได้นั่งมองทิวทัศน์ ตึกรามบ้านช่อง ท้องฟ้า แม่น้ำ และอื่น ๆ อีกมากมายผ่านสายตาของเรา ในมุมที่เหมือนนั่งดูทีวีแล้วมีภาพรายการที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วไม่ซ้ำกัน แล้วยิ่งออกนอกเมืองไปไกลมากเท่าไร ภาพที่ปรากฎแก่สายตาจะยิ่งเป็นภาพที่สวยงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้สีเขียว ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว ขุนเขาลูกใหญ่ บวกกับเสียงเพลงที่เปิดสร้างบรรยากาศให้ยิ่งรู้สึกเหมือนได้ยินคำว่า Welcome to holiday นะ สำหรับการท่องเที่ยวในวันหยุดเราว่ามันจะขาดฟิลแบบนี้ไปไม่ได้จริง ๆ


หลังจากที่รอนแรมอยู่บนถนนมาร่วม 6 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงยังจุดหมายปลายทางแรก คือ วัดพลับ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมานานกว่า 250 ปี มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ที่เคยประกอบพิธีทางศาสนาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และยังคงมีการอนุรักษ์ศิลปะแบบอยุธยาตอนปลายเอาไว้ให้ชมหลายอย่าง



ในบริเวณวัดพลับก็จะมีตลาดทุบหม้อ ซึ่งตกแต่งภายใต้บรรยากาศเก่า ๆ ในอดีต มีซุ้มขายอาหารเป็นเพิงไม้ไผ่ หลังคามุงจาก ภาชนะต่าง ๆ จะเป็นพวกใบตอง กระทง แก้วไม้ไผ่ ซึ่งเป็นของจากธรรมชาติ พ่อค้าแม่ค้ายิ้มแย้ม แจ่มใส น่ารักเป็นกันเอง อีกทั้งยังสวมชุดชาวบ้านสไตล์ไทย ใส่คอกระเช้า นุ่งโจงกระเบน

และพูดจาลงท้ายด้วยคำว่า  ‘เจ้าคะ’ ‘เจ้าขา’ ‘ขอรับ’ ทุกคำ ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูมาก ๆ (นึกว่าตัวเองเป็นออเจ้าอยู่เลย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า)



เมนูหนึ่งที่ขายอยู่ที่ตลาดชื่อว่า “ขนมหัวผักกาด” คุณป้าเล่าว่า จริง ๆ แล้วขนมชนิดนี้ทำมาจากหัวไชเท้า แต่คนสมัยโบราณเขาเรียกว่าหัวผักกาด
รสชาติเหมือนกับหอยทอดผสมผัดไทย ตัวหัวผักกาดจะมีลักษณะเหมือนแป้งหอยทอดแต่ตัวเครื่องเคียงที่ผัดรวมด้วยจะมีถั่วงอกกับผัก
รสชาติที่ปรุงจะคล้าย ๆ กับผัดไทยแต่ไม่เหมือนซะทีเดียว ซึ่งอร่อยมาก ทานเพลิน ๆ ดี และปัจจุบันหาทานได้ยากแล้ว



หลังจากชิมขนมจนอิ่ม พักจนคลายร้อน เราก็รีบเดินทางไปยังชุมชนขนมแปลกกันต่อ...


ชุมชนขนมแปลก (หนองบัว) เป็นชุมชนเก่าแก่อีกชุมชนหนึ่งของจันทบุรี ตั้งอยู่ริมคลองหนองบัว ซึ่งคลองนี้สามารถออกสู่ทะเลอ่าวไทยได้ อาชีพดั้งเดิมของชุมชนคือประมงน้ำตื้นและการเจียระไนพลอย เมื่อยุคพลอยเฟื่องฟู ชุมชนหนองบัวก็คึกคักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่หลังจากพลอยดิบลดน้อยลงส่งผลให้ชุมชนเงียบเหงาลงเรื่อย ๆ



โชคดีที่คนหนองบัวไม่ได้มีฝีมือเฉพาะการเจียระไนพลอย แต่มีฝีมือในการทำอาหารและขนมไม่เป็นรองใคร
หลายบ้านก็ทำอาหารและขนมขายอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นการซื้อขายกันเฉพาะในชุมชนเท่านั้น
ชาวชุมชนจึงปรึกษาหารือและเห็นพ้องกันว่าจะร่วมกันทำขนมขาย จึงเกิดเป็น “ชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว” ดังทุกวันนี้


น่าเสียดายที่กว่าเราจะไปถึงชาวบ้านก็ทยอยเก็บร้านกันหมดแล้ว เราจึงได้เดินชมชุมชน ซึ่งมีบ้านเรือนไม้อาคารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่สองฟากฝั่งของถนนแทน
เสน่ห์ของที่นี่เห็นจะหนีไม่พ้นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน ที่ยังคงความเป็นอยู่เหมือนเมื่อครั้งโบราณ
เรากลัวว่าร้านขนมจะปิดหมดเสียก่อน ก็เลยรีบเดินหาร้านที่ยังเปิดรอเราอยู่


โชคดีที่เจอร้านขาย “ขนมตะไลน้ำอ้อย” ซึ่งเป็นร้านสุดท้ายที่ยังเปิดอยู่ เราไม่รอช้า รีบเดินไปที่ร้านด้วยความหิวโหย
แต่เมื่อมาเจอขนมแปลกของจริงเราก็สงสัยว่าสิ่งที่เราเห็นเหมือนจะเป็นขนมถ้วย แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว
ซึ่งคุณป้าก็ใจดี ให้ชิมแล้วชิมอีก พร้อมกับบอกเล่าให้ฟังว่า “ตะไลน้ำอ้อย” ก็คือขนมถ้วยที่เราเห็นทั่วไป
แต่สูตรของที่นี่ใช้ข้าวโม่เอง ส่วนชั้นสีน้ำตาลสวยที่เห็นได้จากน้ำตาลอ้อย ทำให้ขนมมีกลิ่นและรสชาติหอมหวานซึ่งได้มาจากน้ำตาลอ้อยนั่นเอง



ถัดจากร้านขนมตะไลน้ำอ้อยก็จะเป็นร้าน “ขนม...ลิง ยายลิ” (เอ่อ...เอาเป็นว่าดูที่รูปละกันนะจ๊ะ) ที่เราได้ภารกิจจากอาจารย์ที่ปรึกษาว่าต้องตามหาให้เจอให้ได้

เป็นขนมที่ได้ยินแค่ชื่อก็สั่นสะเทือนวงการขนมหวานแล้ว...



แต่เราเองก็ทำได้เพียงมองป้ายด้วยสายตาเศร้าสร้อย เพราะคุณยายเก็บร้านแล้ว
สักพักคุณยายลิตัวจริงเสียงจริงก็ออกมาพูดคุยกับเรา และเหมือนคุณยายจะคุ้นเคยกับคำถามที่ว่า ทำไมขนมชนิดนี้ต้องมีน้องชายของลิงมาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อด้วย ???

คุณยายจึงเล่าความเป็นมาของขนมชนิดนี้ให้เราฟังอย่างโปรเฟซชั่นน่อลล...


" คุณยายเริ่มเล่าวิธีการทำขนมก่อน ตัวขนมนั้นทำจากแป้งข้าวเหนียวดำปั้นเป็นรูปทรงยาวรี นำไปต้มน้ำร้อนให้สุกแล้วนำมาคลุกมะพร้าวขูด
เวลากินจิ้มกับน้ำตาลทรายผสมงาดำ แต่แรกก็ทำกินเฉย ๆ ยังไม่มีชื่อเรียก และเหตุที่เรียกชื่อแบบนี้เพราะรูปร่างของขนม
ซึ่งแต่ก่อนชุมชนหนองบัวมีลิงแสมอยู่เยอะ เวลาทำขนมเหล่าลิงทั้งหลายก็ชอบพากันมานั่งดู แล้วก็ชอบมานั่งโชว์น้องของตัวเอง
คุณยายนั่งปั้นขนมไปเรื่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทีก็เห็นว่า เอ… ขนมนี่ก็รูปร่างเหมือนของเจ้าลิงแสมเหมือนกันนะ
ก็เลยเป็นที่มาของชื่อขนมนี้นี่เองงง "


นอกเหนือจากขนมและภูมิปัญญาต่าง ๆ แล้ว คุณยายลิยังแนะนำว่าที่นี่ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด 
ซึ่งเป็น 3D Street Art ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพของชีวิตชุมชนขนมแปลกแห่งนี้




เวลาที่ผ่านไป ตะวันก็เริ่มลาลับขอบฟ้า เราก็รีบเดินทางไปยังที่พักเพื่อ Check-in และมาเก็บสัมภาระ
ซึ่งเราพักกันที่ “ธนัชพร โฮมสเตย์” เป็นเรือนไม้หลังใหญ่และบรรยากาศเป็นกันเอง


ในเรือนไม้หลังใหญ่ มี 2 ห้องนอน 4 ห้องน้ำและมีเบาะนอนด้านนอกอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะพักได้หลาย ๆ คนแล้วเรายังมีห้องครัวและอุปกรณ์ทำครัวพร้อมภาชนะไว้ให้ประกอบอาหารรับประทานรวมทั้งมีพื้นที่ปิ้ง-ย่างอาหารทะเลด้วย


ซึ่งคุณยายเจ้าของโฮมสเตย์ก็ให้การต้อนรับและดูแลเราอย่างดี แถมยังแนะนำที่เที่ยวและร้านอาหารอร่อย ๆ ให้อีกด้วย



ชื่อสินค้า:   จังหวัดจันทบุรี
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่