เก่งอังกฤษจากบุญเก่า?!

Hello there!

กระทู้นี้มาพูดถึงไอเดียเรื่อง “Fluency” หรือ “ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา

Main idea ของกระทู้นี้คือ “ปัจจัยสำคัญในการเก่งภาษาในเวลาระยะสั้น (3 เดือน / 6 เดือน)

อันดับแรกผมมีสามเรื่องที่อยากให้เข้าใจตรงกัน

1. เป็นไปไม่ได้ที่จะเก่งภาษาใน 3 เดือน (หรือ 6 เดือน) หากไม่เคยเรียนภาษานั้นมาก่อน “เลย”

2. เป็นไปไม่ได้ที่เราไม่เคยเรียน (หรืออย่างน้อย ได้ยินหรือรู้ศัพท์) ภาษาอังกฤษ “เลย” ในชีวิตนี้

3. แต่สิ่งที่ทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้เร็ว/ช้ากว่าคนอื่นคือ “พื้นฐานที่เอื้อต่อการเรียน” หรือ “Solid foundation

เก่งภาษาจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่เรามี ดังนั้นใครเจอภาษาอังกฤษมาบ่อย ก็มีโอกาสที่จะเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วกว่า เป็นคอนเซปต์ง่าย ๆ ที่หลายคนเข้าใจแหละ แต่อาจจะยังเข้าใจแค่ส่วนหนึ่ง ทำให้เราไม่เห็นความสำคัญที่แท้จริงของพื้นฐานเหล่านี้

มันส่งผลต่อความเร็วในการเรียนภาษาของเรามาก ๆ เลยนะ
มาดูเลยดีกว่า!
_______________

การจะเก่งภาษาอังกฤษในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น ผู้เรียนจำเป็นต้องมี “พื้นฐานที่เอื้อต่อการเรียน” (solid foundation) ก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปลงคอร์สเรียนอะไรมาก่อนนะ

พื้นฐาน” หรือ “Foundation” ในบริบทนี้หมายถึงความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้รับในภาษานั้น ๆ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วน “ที่เอื้อต่อการเรียน” หรือ “Solid” หมายถึงความเข้มข้น(ของความรู้นั้น) หรือความคุ้นเคยของเรา(ที่มีต่อความรู้นั้น)

อ่านถึงตรงนี้คงเข้าใจตรงกันนะว่าเราจัดความรู้ทางภาษาแบ่งออกเป็นสองแบบคือ

- “ความรู้ที่ได้มาโดยตั้งใจ” เป็นความรู้ที่ได้มาจากการตั้งใจอ่านหนังสือหรือเข้าไปเรียนในห้องเรียน (ส่วนมากจะเป็นสกิล writing กับ reading เช่นการลงคอร์สเรียน การทำข้อสอบ)

- ส่วน “ความรู้ที่ได้มาโดยไม่ตั้งใจ” คือความรู้ที่ได้มาจากการทำกิจกรรมหนึ่งเพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่การเรียน (ส่วนมากจะเป็นสกิล listening กับ speaking เช่นฟังเพลง ดูหนัง)

ผมขอโฟกัสที่ “ความรู้ที่เราได้รับมาโดยไม่ตั้งใจ” ว่ามันมีส่วนสำคัญอย่างไรในการเก่งภาษาอังกฤษ
_______________

ลองเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนไทยสองคนที่คุณครูยกให้พวกเขาเป็น “คนไม่เก่งภาษาอังกฤษ” ทั้งคู่
- นาย A เป็นนักเรียน (นับถือพุทธ)
- นาย B เป็นนักเรียน (นับถือคริสต์)

ทั้งสองเป็นนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน เติบโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ในขณะที่นาย A ใช้ชีวิตปกติ นาย B มีตารางพิเศษเพิ่มขึ้นมาในชีวิตคือ “การไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์)

และสมาชิกโบสถ์กว่าครึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ อังกฤษ อเมริกัน และอื่น ๆ ทำให้ทุกครั้งที่ศาสนาจารย์ (หรือบาทหลวง) ขึ้นเทศนาในโบสถ์นั้น ต้องคอยมีคนแปลหรือล่ามให้เสมอ (และคนไทยส่วนมากที่ไปโบสถ์นั้นพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย)

ทุกวันอาทิตย์นาย B ต้องไปนั่งฟังภาษาไทยหนึ่งประโยคและฟังอังกฤษอีกหนึ่งประโยคเป็นเวลา 1 - 2 ชม. เขาใช้ชีวิตแบบนี้เป็นเวลากว่าสิบปี (เพราะเขานับถือคริสต์ตั้งแต่เกิด และพ่อแม่บังคับให้ไปโบสถ์!)

คำถามคือ “ในความ ‘ไม่เก่งภาษาอังกฤษ’ ของทั้งสองคนนี้ ใครมี ‘แนวโน้ม’ ที่จะเก่งภาษาได้เร็วกว่ากัน?” (นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงว่าใครจะเรียนได้ ‘ดี’ กว่ากันนะ ตอนนี้เอาแค่เรื่องเวลาก่อนเลย)

แน่นอนมันต้องเป็นคนที่มี solid foundation มาก่อนสิ! แล้วเราคิดว่าระหว่างสองคนนี้ ใครมี “พื้นฐานเอื้อต่อการเรียน” มากกว่ากัน
_______________

แน่นอนว่าต้องเป็นนาย B!

แม้นักเรียนทั้งสองคนไม่เคยคิดตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษสักครั้ง และสอบตกทั้งคู่ แต่การที่นาย B ไปนั่งในโบสถ์เพื่อฟังภาษาไทยประโยคอังกฤษประโยคทุกอาทิตย์ การที่เขาต้องทักทายคนฟิลิปปินส์หรือชาวต่างชาติคนอื่นทุกครั้งที่เจอหน้า (แม้ไม่อยากทักทาย แต่สุดท้ายฝรั่งเหล่านั้นก็เดินมาทักทายเราเองอยู่ดี ใครที่ไปโบสถ์จะรู้)

ประสบการณ์เหล่านี้ได้สร้างพื้นฐานภาษาอังกฤษขึ้นมาในสมองเขาโดยไม่รู้ตัว!

พื้นฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ความแตกต่างระหว่างสำเนียงฟิลิปปินส์ อังกฤษ อเมริกัน ตั้งแต่การเลือกใช้คำศัพท์ไปจนถึงการขึ้นเสียงสูงลงเสียงต่ำในประโยค การใช้มือช่วยในการพูดภาษาอังกฤษ ไปจนถึงพื้นฐานสกิลที่สำคัญ เช่น การแปลภาษาไทย-อังกฤษ การจัดประโยค การแปลแบบถอดความ การเลือกใช้คำศัพท์ในระดับเดียวกัน

นี่ยังไม่รวมบทเรียนศาสนา นิทานเรื่องเล่าและเพลงอีกมากมายที่เขาเคยฟัง/ร้องมาแล้วทั้งสองภาษา แม้ไม่เคยเข้าใจคำศัพท์ภาษาอังกฤษสักตัว ไม่เคยออกเสียงถูกเป๊ะ ๆ สักครั้ง แต่เมื่อต้องฟัง/ร้อง/อ่านนานเข้า ๆ มันเกิดเป็นความคุ้นเคย ความประหม่ามันเริ่มลดลงไปเรื่อย ๆ จนเขาสามารถไปวิ่งเล่นกับเพื่อนฝรั่งได้แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง

ภาษาอังกฤษกลายเป็นเพื่อนที่แม้เขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็บอกเลยว่าสนิทกันพอตัว!
_______________

ประสบการณ์ในชีวิตเหล่านี้ทำให้นาย B สามารถใช้เวลา 3 เดือนสั้น ๆ เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองจาก “ระดับเริ่มต้น” (Beginner) ไปเป็น “ระดับคล่องแคล่ว” (Fluent/Conversant) ได้ง่ายกว่านาย A หลายเท่านัก!

แต่ถ้าผมจะพูดว่า “อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องนับถือคริสต์” ก็คงจะฟังดูสุดโต่งเกินไป

ใจความสำคัญที่ผมอยากให้ทุกคนได้ไปคือ “เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าเราจะใช้เวลานานแค่ไหนในการเก่งภาษาอังกฤษโดยไม่คำนึงถึง “พื้นฐานที่เอื้อต่อการเรียน” เหล่านี้ได้”

และมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่าใครเคยลงคอร์สเรียนกับสถาบันไหนมาก่อน หรือใครเคยไปเรียนเมืองนอกมาก่อน ถึงจะเก่งภาษาอังกฤษได้เร็ว แต่มันอาจรวมไปถึงศาสนาที่เรานับถืออยู่ แนวเพลวที่เราชอบฟัง หรือแม้กระทั่งภาษาที่เราใช้ในมือถือ

ประสบการณ์ในชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนด “ประสิทธิผล” ในการเรียนภาษา!

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ จงล้อมรอบตัวเองด้วยภาษาอังกฤษให้ได้เยอะที่สุด (Immerse yourself in the language as much as you can!)
_______________

หากต้องการจะเก่งภาษาอังกฤษได้ในระยะเวลาสั้น เราต้องสร้างปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด “พื้นฐานที่เอื้อต่อการเรียน” ขึ้นมาเยอะ ๆ

อาจจะเริ่มไปโบสถ์บ้าง (ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนา!) เพื่อคุยกับฝรั่ง (หรือคุยกับคนไทยที่พูดอังกฤษ)
เริ่มฟังเพลงอังกฤษ
เริ่มดูหนังแบบ soundtrack
เริ่มเปลี่ยนตั้งค่าภาษาในโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ
อะไรก็ได้! ขอแค่ลงมือทำ และอย่าหยุด โอเค๊!

'ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ'
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay knowledge-hungry
JGC.
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่