[BBC] 'ลูกชายของฉันฆ่าตัวตายหลังขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ'

Credit :  https://www.bbc.com/thai/features-48012559?ocid=socialflow_facebook&fbclid=IwAR3AH7oQA-QHTsUxwFmIC6VtAv-mzOVwqc8MtYwj2PcgwDxELlMs4HvI-RI

อเล็กซ์ ฮาร์ดี ส่งอีเมลบอกเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อนให้แม่ฟัง

"เพียงไม่นานก็เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้คือจุดจบ…ผมตายตั้งแต่ปี 2015 ไม่ใช่ตอนนี้"

เลสลีย์ โรเบิร์ตส์ ต้องตกตะลึงเมื่อได้อ่านอีเมลฉบับสุดท้ายที่อเล็กซ์ ฮาร์ดี ลูกชายสุดที่รักส่งถึงเธอ

เขาตั้งเวลาให้เธอได้รับอีเมลในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2017 สิบสองชั่วโมงหลังจากเขาฆ่าตัวตาย

อเล็กซ์ เป็นคนหนุ่มในวัย 23 ปีที่ชาญฉลาดและเป็นที่ชื่นชอบ เขาไม่เคยมีประวัติว่ามีอาการป่วยทางจิต นี่ทำให้เลสลีย์ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกชายถึงได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง

ในอีเมลของอเล็กซ์ เขาอธิบายถึงเรื่องที่เขาได้รับการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต ซึ่งคือการตัดหนังหุ้มปลายอวัยะเพศออกไปเมื่อสองปีก่อน อเล็กซ์มองสิ่งนี้ว่าทำให้ "อวัยวะสืบพันธุ์ต้องพิการ"

แต่ว่าอเล็กซ์ไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับคนรอบข้าง และแม่ของเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายคนโตจากทั้งหมดสามคนได้รับการขริบ หลังอเล็กซ์เสียชีวิต เลสลีย์เพียรพยายามหาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

เด็กชายที่เรียนเก่งและมีพรสวรรค์

เลสลีย์เล่าว่าลูกชายเป็นเด็กเรียนดีและมีพรสวรรค์ ตอนอายุ 14 ปี เขาไปเล่นสกีที่แคนาดาและหลงใหลในประเทศนี้ จนเมื่อมีอายุได้ 18 ปี อเล็กซ์ตัดสินใจว่าจะยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย แต่ได้เดินทางไปแคนาดาเป็นเวลาหนึ่งปี และยืดเวลาอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงที่เขาเสีย ชีวิต อเล็กซ์อยู่ในแคนาดามานานห้าปีจนได้สถานะเป็นผู้มีถิ่นฐานที่นั่น

แม้เลสลีย์จะเดินทางไปเยี่ยมลูกชายหลายครั้ง แต่ลูกก็ไม่เคยปริปากเรื่องปัญหาที่เกิดกับอวัยวะเพศของตัวเองให้ฟัง เธอได้รับรู้เรื่องทั้งหมดหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว

"ผมมีปัญหาเรื่องที่หนังหุ้มปลายมันรัดแน่น" อเล็กซ์ยอมเปิดเผยเรื่องนี้กับแม่ในอีเมลฉบับสุดท้ายที่เขาส่งถึงเธอ "เป็นมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายแล้วที่หนังมันไม่ม้วนเปิดปลายอวัยวะเพศอย่างที่อยากให้เป็น มันทำให้รู้สึกไม่ดีเลย"

อเล็กซ์เคยชอบเล่นสกีและสโนว์บอดร์ด แต่หลังการขริบทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดแม้จะทำกิจกรรมธรรมดา ๆ

ในปี 2015 อเล็กซ์ยังไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ไปปรึกษาแพทย์ในแคนาดา แพทย์สั่งจ่ายครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ มาให้ทาเพื่อทำให้หนังหุ้มปลายมีความยืดหยุ่น แต่ก็ไม่ได้ผล

อาการที่เกิดกับอเล็กซ์มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่าหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ซึ่งก็คือภาวะที่ผิวหนังบริเวณปลายองคชาตหดตัวจนไม่สามารถดึงให้เปิดขึ้นได้ ภาวะนี้พบได้ทั่วไปในเด็กชายช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็ก และเมื่อโตขึ้นผิวหนังส่วนนี้ก็จะค่อย ๆ เปิดออก โดยปกติแล้วผู้ที่มีภาวะนี้ไม่ค่อยประสบปัญหา แต่ในรายที่มีอาจทำให้ปัสสาวะลำบาก และเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

เลสลีย์รู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกชาย แต่เขาปฏิเสธ



หลังปรึกษาแพทย์ที่แคนาดาแล้วอเล็กซ์ถูกส่งตัวต่อไปพบผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ

"เขาแนะให้ขริบหนังหุ้มปลายทันทีเลย" อเล็กซ์เขียนในอีเมล "ผมถามว่าถ้าใช้วิธีดึงให้เปิดออกจะได้ไหม เขาโกหกเต็ม ๆ ว่ามันไม่ได้ผลแน่ในกรณีของผม"

"ผมเชื่อ เพราะรู้สึกว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่รู้ว่าอะไรดีที่สุด ผมยอมทำแม้จะรู้สึกว่าต้องชั่งใจก็ตาม"

เลสลีย์ แม่ของอเล็กซ์ ได้อ่านรีวิวที่มีคนไข้เขียนถึงผู้เชี่ยวชาญคนเดียวกันนี้และพบว่าหลายคนประสบปัญหา มีคนไข้หญิงคนหนึ่งเล่าว่าไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีกเลยหลังได้รับการผ่าตัดจากอาการที่เกี่ยวกับไต แพทย์คนนี้ "ทำลาย" คุณภาพชีวิตของเธอ บางคนเตือนให้ระวังว่าผู้เชี่ยวชาญคนนี้ไม่มีความสามารถในการรักษา วินิจฉัยผิด เขายังเคยลืมเครื่องมือผ่าตัดไว้ในกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ด้วย

เลสลีย์ เรียกร้องให้มีการสืบสวนเรื่องการทำงานของผู้เชี่ยวชาญรายนี้ แต่ได้รับคำตอบว่ากำลังดำเนินอยู่

แม่ยังคิดถึงอ้อมกอดของลูกชาย



ก่อนเข้ารับการผ่าตัด อเล็กซ์ไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญ หรือเรื่องการผ่าตัดหนังหุ้มปลายมากนัก เพราะตอนนั้นแลปท็อปของเขาเสีย เขาไม่สะดวกใจที่จะใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่ของตัวเองค้นคว้าข้อมูลเรื่องการขริบ และไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับเพื่อน ในที่สุดอเล็กซ์มีนัดหมายกับแพทย์เพื่อเข้ารับการผ่าตัดในปี 2015 ตอนที่เขามีอายุ 21 ปี

อเล็กซ์รักน้องชายตัวน้อยของเขา

ในอีเมลที่ส่งถึงแม่ อเล็กซ์เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดรวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด เขาเล่าว่ารู้สึกว่าปลายองคชาตมีความรู้สึกไวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีหนังหุ้มปลายปิด

"เขารู้สึกเจ็บปวดมาก แค่จะทำกิจกรรมปกติก็เจ็บแล้ว" เลสลีย์ บอกว่า "เขาชอบเล่นสกีและสโนว์บอร์ดอย่างมาก คุณคงนึกออกว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน"

ที่อังกฤษ นายเทรเวอร์ ดอร์กิน ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะบอกว่าในกรณีส่วนใหญ่แล้วความรู้สึกไวนี้จะค่อย ๆ ลดลง

อเล็ซ์ยังเขียนเล่าเรื่องที่เขามีอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว อาการปวดแสบปวดร้อนโดยเฉพาะบริเวณรอยแผลเป็นจากการที่แพทย์ผ่าตัดเอาเส้นเอ็นที่ยึดระหว่างหัวขององคชาตกับหนังหุ้มปลาย (เส้นสองสลึง) ออกไป เส้นเอ็นนี้ นายดอร์กินชี้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการมีเพศสัมพันธ์

"ทั้งหนังหุ้มปลาย ส่วนหัวขององคชาตและเส้นสองสลึง ล้วนเป็นบริเวณที่มีความไวอย่างมาก…เมื่อผ่าตัดหนังหุ้มปลาย บางครั้งเส้นเอ็นนี้ก็ถูกผ่าตัดออกไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์และความรู้สึกสุขสม" นายดอร์กินอธิบาย

กลุ่มรณรงค์มองเรื่องขริบเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน

แต่สำหรับอเล็กซ์ เส้นเอ็นที่หายไปมีความสำคัญสำหรับเขา

"ตั้งแต่ไม่มีมันแล้ว ผมบอกได้เลยว่ามันคือจุดที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศมากที่สุด" เขาเขียน "ถ้ามีใครมาผ่าเอาปุ่มกระสันของแม่ออกไป แม่ก็คงพอจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร"

อเล็กซ์ยังเขียนเล่าเรื่องอาการชา หดรัดและ "ความรู้สึกไม่สบาย" ที่ขยายไปถึงบริเวณหน้าท้องของเขาด้วย ในอีเมลที่เขาเขียนสะท้อนให้เห็นว่า อเล็กซ์รู้สึกว่าเรื่องการขริบหนังหุ้มปลายองคชาตของผู้ชายนี้ถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเทียบกับการขริบอวัยวะเพศหญิง ทั้งที่เป็นการทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ต้องพิการเช่นเดียวกัน

"ถ้าผมเป็นผู้หญิง (ในประเทศตะวันตก) นี่คงผิดกฎหมายไปแล้ว หมอที่ขริบให้ผมคงทำผิดอาญา และการผ่าตัดคงไม่ใช่ทางเลือกของแพทย์" อเล็กซ์เขียน "ผมไม่เชื่อว่าเราควรจะปกป้องเพศหนึ่งมากกว่าอีกเพศหนึ่ง ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าความเท่าเทียมทางเพศนั้นควรจะเท่าเทียมสำหรับทุกคน"

นักรณรงค์เชื่อว่าการขริบอวัยวะเพศทารกหรือเด็ก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นสิ่งที่ผิดและถือเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน เพราะเด็กเหล่านั้นไม่สามารถให้ความยินยอมได้

เลสลีย์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกชายขริบหนังหุ้มปลาย

ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกชี้ว่าชายในไนจีเรียราว 95 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการขริบหนังหุ้มปลาย ส่วนในสหราชอาณาจักรมีประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์

อเล็กซ์ซึ่งเคยมีอวัยวะเพศที่ใช้การได้ตามปกติเชื่อว่าการขริบอวัยวะเพศชายตั้งแต่ยังเล็กทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าได้สูญเสียความรู้สึกไปมากเท่าไหร่ เขาเองประเมินว่าความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดกับอวัยวะเพศของเขานั้นลดลงไปราว 75 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าประสบการณ์ที่เกิดกับผู้ชายที่ได้รับการขริบหนังหุ้มปลายนั้นแตกต่างกันไป บ้างก็พึงพอใจมากกว่าเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการที่หนังหุ้มปลายรัดแน่นหรืออักเสบ ขณะที่รายงานบางชิ้นชี้ว่าหลังการขริบความรู้สึกไวจะลดลงและความพึงพอใจจากการร่วมเพศลดลงไปมากเช่นกัน

อเล็กซ์เป็นลูกชายคนโต จากทั้งหมดสามคน

ก่อนตัดสินใจจบชีวิตอเล็กซ์พยายามหาทางรักษาอาการที่เกิดกับตัวเอง แต่ไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวให้แม่และเพื่อนฟังมาก่อน เลสลีย์เองยอมรับว่าเธอรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีอะไรที่ไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก แต่อเล็กซ์ก็ปฏิเสธทุกครั้งที่ถาม
เธอบอกว่าลูกเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยอะไรมากนัก ซึ่งไม่ต่างจากเธอ แต่การที่เลสลีย์ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ก็เพราะเป็นความปรารถนาของลูก

"ผมไม่รู้สึกสบายใจพอที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตอนที่ผมมีโอกาส ดังนั้นถ้าเรื่องของผมจะช่วยสร้างความตระหนักหรือทำให้เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้ชายนี้ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามในสังคมอีกต่อไป ผมก็ยินดีที่จะให้เปิดเผยเรื่องของผมได้"

การเปิดเผยเรื่องราวของอเล็กซ์รวมทั้งความหวังที่จะได้พูดคุยเรื่องนี้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียน เป็นสิ่งที่เลสลีย์บอกว่าเป็นสิ่งสุดท้าย"ที่จะทำเพื่อลูกชายสุดที่รัก" ของเธอ

อเล็กซ์ขอให้แม่บอกเล่าเรื่องราวของเขาให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 1
เคสรายนี้มีปัญหาตีบจริงๆ ที่เรียกว่าภาวะ phimosis ซึ่งหมอได้ให้การรักษาแบบทายาก่อนแล้วก็ไม่เปิด เลยจำเป็นต้องขริบ ซึ่งก็เป็นวิธีการรักษาตามมาตรฐานและก็ทำมานานมากแล้ว  แต่พอขริบเสร็จเจ้าตัวก็มาอ่านข้อมูล ก็เจอแต่ข้อมูลที่พวก anticirc หรือพวกที่ต่อต้านการขริบทำขึ้นโดยเอาความรู้สึกผสมความคิดเห็นแล้วเผยแพร่ไปตามสื่อต่างๆ (ลองพิมพ์หาคำว่า anticirc ดูนะ มีเป็นพันๆ เวปเลย)​  เช่นทำแล้วจะสูญเสียเส้นประสาทไปล้านเส้น  ทำแล้วจะสั้นลง  ทำแล้วต่อไปจะหย่อนสมรรถภาพทางเพศต่าง ๆ ​นานาๆ จนเจ้าตัวเครียด กังวล มีการไปโพสถามตามเวปของชมรม anticirc ด้วย กลายเป็นยิ่งตอกย้ำอีกว่านายพลาดไปแล้ว เสียใจด้วยนะ นายคงอดสนุกแล้วหละ ต่างๆ นานา จนสุดท้ายเจ้าตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุดครับ ซึ่งน่าเสียใจมากครับ  

ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่มีการวิจัย มันไม่ได้ส่งผลอะไรตามที่บอกมาเลยครับ แถมมีข้อดีด้วยซ้ำในการดูแลสุขอนามัยและป้องกันโรคต่าง ๆ เช่นมะเร็งจู๋ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะต่างๆ ด้วยซ้ำครับ

มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหรือมีความผิดปกติกับร่างกาย แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องดีกว่าครับ หลายครั้งข้อมูลทางโลก social ก็เกิดความคลาดเคลื่อนผิดพลาดมากมายจนเกิดเรื่องน่าเสียใจได้ในท้ายที่สุดครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่