
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
(*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์)
อำนาจลึกลับ สิ่งลี้ลับที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ หรือสิ่งที่เรียกว่า ผี, วิญญาณ เป็นเรื่องราวและเรื่องเล่าที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน จนถึงปัจจุบันนี้แม้ว่าโลกจะเดินมาถึงจุดที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกลถึงไหนต่อไหนแล้วก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ ‘ขายได้’ ทั้งในแง่ของอุตสาหกรรมโลกวรรณกรรมหรือแม้แต่โลกภาพยนตร์
.
แม้ว่าจะมีแฟรนไชส์อย่างจักรวาล Conjuring ที่เป็นไอเดียใหม่และติดตลาดจนสามารถนำมาสร้างต่อได้อีกหลายเรื่อง แต่ด้วยยุคสมัย ทำให้นอกจากหนังในจักรวาลนี้เกิดปัญหากับความพยายามหาเรื่องราวใหม่ ๆ เกี่ยวแง่มุมสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ดูเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ถูกนำมาต่อยอดจากตำนานต่าง ๆ ก็ล้วนถูกทำมาแล้วทั้งสิ้น
.
ชื่อ Stephen King จึงกลายเป็นชื่อที่เนื้อหอม และเป็นจุดขายอีกครั้ง ทั้งที่ตัวนวนิยายชื่อดังของเขา เดินทางผ่านเวลามาไม่น้อยกว่า 30 ปีมาแล้ว เหตุก็เพราะว่านิยายของ King มี Big idea ที่แข็งแรง นิยายของเขามักมีแนวทางที่เริ่มจากไอเดียที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นตัวตลกสยองขวัญ, หญิงโรคจิตที่บังเอิญมาเจอนักเขียนที่ชื่นชอบประสบอุบัติเหตุ และเธอต้องดูแลเขา, โรงแรมผีนรกกลางหุบเขาในฤดูหนาว และสุสานสัตว์ลึกลับที่ซ่อนอำนาจมืดเอาไว้
.
ด้วยสิ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้ตัวเรื่องนิยายของเขา เป็นสิ่งที่แทบจะเหนือกาลเวลา (อย่างน้อยก็ยังอีก 50 ปี) ไม่ได้เก่าไปตามยุคสมัย แม้ว่าหนังเหล่านั้นจะถูกสร้างมาสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วไม่รู้กี่รอบก็ตาม แถมหนังอย่าง It (2017) ที่ถูกหยิบมาสร้างใหม่ก็ทำรายได้สูงถึง 700 ล้านเหรียญทั่วโลก งานรื้อโครงการนิยายของ King มาสร้างใหม่ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมทันที
.
สำหรับ Pet Samatary เวอร์ชั่น 2019 ก่อนอื่นเลยต้องชื่นชมความพยายามที่จะหาทางใหม่ ๆ โดยไม่ได้พยายามยึดนิยายเป็นหลักมากจนเกินไป ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ของหนังเวอร์ชั่นปี 1989 ที่ยึดนิยายเสมือนเป็นไบเบิ้ล จนทำให้หนังจืดชืดเกินไป เพราะวิธีการเล่าเรื่องดำเนินด้วยสถานการณ์ที่เดินไปตามหนังสือ (คล้ายการย่อแล้วจับมาต่อกัน) ผลให้จังหวะหนัง วิธีการเล่าเรื่อง มีความเป็นภาพยนตร์อยู่น้อยมาก ซึ่งผู้เขียนบทหนังเวอร์ชั่นนั้นคือตัว King เอง (ไม่น่าแปลกใจใช่มั้ย)
.
แต่กับเวอร์ชั่น 2019 หนังเดินเรื่องด้วยจังหวะแบบหนังสมัยใหม่ เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่าง ๆ จากในนิยาย แถมยังเพิ่มเติมส่วนต่าง ๆ ที่ไม่มีในนิยายด้วย ผลคือมีทั้งดีกว่าเดิม และแย่กว่าเดิม
.
อย่างแรกคือการเปลี่ยนตัวละครนี้ให้ตายแทนตัวละครนั้น เพราะสำหรับนิยายและหนังปี 89 ตัวละครที่ต้องตาย เป็นเด็กชายวัยกระเตาะอย่าง เกจ แต่พอมาเวอร์ชั่นนี้ก็กลายเป็นเด็กสาวสวยอย่าง เอลลี แทน ซึ่งมองในแง่ของการสร้างฉากสยองขวัญ เป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะเด็กหญิงวัยเก้าขวบดูจะสามารถสร้างซีนโหด ๆ หรือสร้างพฤติกรรมชวนขนลุกได้ง่ายกว่า เด็กชายวัยสามขวบอย่างเกจ
.
นอกจากนั้น การให้น้ำหนักกับตัวละครที่สามารถสร้างฉากสยองขวัญกับคนดูได้มากกว่านิยาย เช่นตัวละครพี่สาวของเรเชลอย่าง เซลดา ที่หนังให้น้ำหนักมากกว่าเดิมและด้วยเรื่องราวของเธอกลายเป็นหนึ่งในฉากสยองที่น่าจดจำของหนัง รวมถึงฉากไคล์แมกซ์ที่ถูกขยายความและเปลี่ยนแปลงให้มีความร่วมสมัย ลุ้นระทึกและดูสนุกกว่าหนังเวอร์ชั่นก่อนอย่างชัดเจน
.
แต่การเปลี่ยนแปลงคราวนี้ ก็ไม่ได้ดีเสมอไป โดยเฉพาะการเปลี่ยนบทสรุปของครอบครัวครีด ที่เปลี่ยนชนิดช็อกอ้าปากค้างพอสมควรเลย ถามว่าการจบแบบในนิยายและหนังเวอร์ชั่น 89 ดีมั้ย? ดี เพราะมันมีเหตุและผลโดยเฉพาะสภาวะอารมณ์ของการสูญเสียจนไร้ซึ่งสตินึกคิดอีกต่อไปของตัวละคร แต่มันก็ซ้ำและเชยไปหน่อยแล้วสำหรับการจบแบบนี้
.
แต่การเลือกหาทางใหม่ให้หนังเวอร์ชั่น 2019 จบแบบนั้น ส่วนตัวมันแย่กว่ามาก โดยไม่เข้าใจถึงเหตุและผลที่เรื่องราวมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางไปในทางนั้นเลย ไม่ว่าจะมองแบบไหนก็ตาม
.
แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่สุด คือตัวละครอย่าง จั๊ด ชายแก่บ้านใกล้เรือนเคียงของครอบครัวครีด ที่นำพาให้ตัวละครรู้จักกับสุสาน ที่ว่ากันตามตรงตัวละครนี้เป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุดก็ว่าได้ในนิยายต้นฉบับ เป็นตัวมีมิติและส่งผลต่อสถานการณ์ของเรื่องราวอย่างยิ่งยวด นอกจากนั้นเรื่องเล่าในอดีตเพื่อตักเตือนของชายไม้ใกล้ฝั่งคนนี้ก็เปี่ยมด้วยความน่าสนใจและน่าสะพรึงกลัว
.
แต่สิ่งที่หนังเวอร์ชั่นนี้เปลี่ยนไป คือการลดความสำคัญของตัวละครนี้ลง มีหน้าที่เพียงนำพาไปสู่การรับรู้ถึงสุสานนี้ และแทบจะไม่สามารถมีผลต่อการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างของตัวละครหลักเลย ทั้งที่ตัวละครนี้เป็นส่วนขยายความประวัติและสุสานแห่งนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งมันรองรับการตัดสินใจของตัวละครจนนำไปสู่ความสยองขวัญ จนทำให้ตัวละครนี้ เป็นเพียงตัวละครหนึ่งที่อยู่ในหนังสยองขวัญที่จบแล้วก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ ทั้งที่ได้นักแสดงอย่าง John Lithgow นักแสดงยอดฝีมือใน The Crown มาเลยทีเดียว
.
ผลลัพธ์ของ กลับจากป่าช้า ในพ.ศ. นี้ จึงเป็นความก่ำกึ่ง มีบางอย่างที่ดี และมีบางอย่างที่ไม่ดี ไม่ได้แย่ขนาดที่ส่ายหัว แต่ก็ไม่ได้สามารถบอกว่าเป็นหนังที่โอเคได้เต็มปาก และน่าจะเลือนหายไปตามกาลเวลาอย่างง่ายดาย
.
และอีกประเด็นที่อยากพูดถึง คือ กลับจากป่าช้า ในฉบับนิยายเป็นการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เพราะ King ใช้การอารัมภบทปูพื้นเรื่องราวเป็นส่วนใหญ่ ไม่รีบร้อนในการเดินเรื่อง แถมยังเล่าผ่านบทสนทนาอีกต่างหาก เปรียบง่าย ๆ ว่า หากต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยปากแทนตัวอักษร คงใช้เวลาไม่กี่นาที และหากจะต้องใส่รายละเอียดทั้งหมดคงน่าเบื่อและยาวไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง
.
ดังนั้น หากมองอีกแง่ นิยายเรื่อง Pet Samatary ก็อาจไม่เหมาะกับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่แรก
[Review] Pet Samatary: กลับ (มา) จากป่าช้า (ทำไม?)
(*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์)
อำนาจลึกลับ สิ่งลี้ลับที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ หรือสิ่งที่เรียกว่า ผี, วิญญาณ เป็นเรื่องราวและเรื่องเล่าที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน จนถึงปัจจุบันนี้แม้ว่าโลกจะเดินมาถึงจุดที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกลถึงไหนต่อไหนแล้วก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ ‘ขายได้’ ทั้งในแง่ของอุตสาหกรรมโลกวรรณกรรมหรือแม้แต่โลกภาพยนตร์
.
แม้ว่าจะมีแฟรนไชส์อย่างจักรวาล Conjuring ที่เป็นไอเดียใหม่และติดตลาดจนสามารถนำมาสร้างต่อได้อีกหลายเรื่อง แต่ด้วยยุคสมัย ทำให้นอกจากหนังในจักรวาลนี้เกิดปัญหากับความพยายามหาเรื่องราวใหม่ ๆ เกี่ยวแง่มุมสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ดูเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ถูกนำมาต่อยอดจากตำนานต่าง ๆ ก็ล้วนถูกทำมาแล้วทั้งสิ้น
.
ชื่อ Stephen King จึงกลายเป็นชื่อที่เนื้อหอม และเป็นจุดขายอีกครั้ง ทั้งที่ตัวนวนิยายชื่อดังของเขา เดินทางผ่านเวลามาไม่น้อยกว่า 30 ปีมาแล้ว เหตุก็เพราะว่านิยายของ King มี Big idea ที่แข็งแรง นิยายของเขามักมีแนวทางที่เริ่มจากไอเดียที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นตัวตลกสยองขวัญ, หญิงโรคจิตที่บังเอิญมาเจอนักเขียนที่ชื่นชอบประสบอุบัติเหตุ และเธอต้องดูแลเขา, โรงแรมผีนรกกลางหุบเขาในฤดูหนาว และสุสานสัตว์ลึกลับที่ซ่อนอำนาจมืดเอาไว้
.
ด้วยสิ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้ตัวเรื่องนิยายของเขา เป็นสิ่งที่แทบจะเหนือกาลเวลา (อย่างน้อยก็ยังอีก 50 ปี) ไม่ได้เก่าไปตามยุคสมัย แม้ว่าหนังเหล่านั้นจะถูกสร้างมาสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วไม่รู้กี่รอบก็ตาม แถมหนังอย่าง It (2017) ที่ถูกหยิบมาสร้างใหม่ก็ทำรายได้สูงถึง 700 ล้านเหรียญทั่วโลก งานรื้อโครงการนิยายของ King มาสร้างใหม่ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมทันที
.
สำหรับ Pet Samatary เวอร์ชั่น 2019 ก่อนอื่นเลยต้องชื่นชมความพยายามที่จะหาทางใหม่ ๆ โดยไม่ได้พยายามยึดนิยายเป็นหลักมากจนเกินไป ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ของหนังเวอร์ชั่นปี 1989 ที่ยึดนิยายเสมือนเป็นไบเบิ้ล จนทำให้หนังจืดชืดเกินไป เพราะวิธีการเล่าเรื่องดำเนินด้วยสถานการณ์ที่เดินไปตามหนังสือ (คล้ายการย่อแล้วจับมาต่อกัน) ผลให้จังหวะหนัง วิธีการเล่าเรื่อง มีความเป็นภาพยนตร์อยู่น้อยมาก ซึ่งผู้เขียนบทหนังเวอร์ชั่นนั้นคือตัว King เอง (ไม่น่าแปลกใจใช่มั้ย)
.
แต่กับเวอร์ชั่น 2019 หนังเดินเรื่องด้วยจังหวะแบบหนังสมัยใหม่ เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่าง ๆ จากในนิยาย แถมยังเพิ่มเติมส่วนต่าง ๆ ที่ไม่มีในนิยายด้วย ผลคือมีทั้งดีกว่าเดิม และแย่กว่าเดิม
.
อย่างแรกคือการเปลี่ยนตัวละครนี้ให้ตายแทนตัวละครนั้น เพราะสำหรับนิยายและหนังปี 89 ตัวละครที่ต้องตาย เป็นเด็กชายวัยกระเตาะอย่าง เกจ แต่พอมาเวอร์ชั่นนี้ก็กลายเป็นเด็กสาวสวยอย่าง เอลลี แทน ซึ่งมองในแง่ของการสร้างฉากสยองขวัญ เป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะเด็กหญิงวัยเก้าขวบดูจะสามารถสร้างซีนโหด ๆ หรือสร้างพฤติกรรมชวนขนลุกได้ง่ายกว่า เด็กชายวัยสามขวบอย่างเกจ
.
นอกจากนั้น การให้น้ำหนักกับตัวละครที่สามารถสร้างฉากสยองขวัญกับคนดูได้มากกว่านิยาย เช่นตัวละครพี่สาวของเรเชลอย่าง เซลดา ที่หนังให้น้ำหนักมากกว่าเดิมและด้วยเรื่องราวของเธอกลายเป็นหนึ่งในฉากสยองที่น่าจดจำของหนัง รวมถึงฉากไคล์แมกซ์ที่ถูกขยายความและเปลี่ยนแปลงให้มีความร่วมสมัย ลุ้นระทึกและดูสนุกกว่าหนังเวอร์ชั่นก่อนอย่างชัดเจน
.
แต่การเปลี่ยนแปลงคราวนี้ ก็ไม่ได้ดีเสมอไป โดยเฉพาะการเปลี่ยนบทสรุปของครอบครัวครีด ที่เปลี่ยนชนิดช็อกอ้าปากค้างพอสมควรเลย ถามว่าการจบแบบในนิยายและหนังเวอร์ชั่น 89 ดีมั้ย? ดี เพราะมันมีเหตุและผลโดยเฉพาะสภาวะอารมณ์ของการสูญเสียจนไร้ซึ่งสตินึกคิดอีกต่อไปของตัวละคร แต่มันก็ซ้ำและเชยไปหน่อยแล้วสำหรับการจบแบบนี้
.
แต่การเลือกหาทางใหม่ให้หนังเวอร์ชั่น 2019 จบแบบนั้น ส่วนตัวมันแย่กว่ามาก โดยไม่เข้าใจถึงเหตุและผลที่เรื่องราวมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางไปในทางนั้นเลย ไม่ว่าจะมองแบบไหนก็ตาม
.
แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่สุด คือตัวละครอย่าง จั๊ด ชายแก่บ้านใกล้เรือนเคียงของครอบครัวครีด ที่นำพาให้ตัวละครรู้จักกับสุสาน ที่ว่ากันตามตรงตัวละครนี้เป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุดก็ว่าได้ในนิยายต้นฉบับ เป็นตัวมีมิติและส่งผลต่อสถานการณ์ของเรื่องราวอย่างยิ่งยวด นอกจากนั้นเรื่องเล่าในอดีตเพื่อตักเตือนของชายไม้ใกล้ฝั่งคนนี้ก็เปี่ยมด้วยความน่าสนใจและน่าสะพรึงกลัว
.
แต่สิ่งที่หนังเวอร์ชั่นนี้เปลี่ยนไป คือการลดความสำคัญของตัวละครนี้ลง มีหน้าที่เพียงนำพาไปสู่การรับรู้ถึงสุสานนี้ และแทบจะไม่สามารถมีผลต่อการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างของตัวละครหลักเลย ทั้งที่ตัวละครนี้เป็นส่วนขยายความประวัติและสุสานแห่งนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งมันรองรับการตัดสินใจของตัวละครจนนำไปสู่ความสยองขวัญ จนทำให้ตัวละครนี้ เป็นเพียงตัวละครหนึ่งที่อยู่ในหนังสยองขวัญที่จบแล้วก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ ทั้งที่ได้นักแสดงอย่าง John Lithgow นักแสดงยอดฝีมือใน The Crown มาเลยทีเดียว
.
ผลลัพธ์ของ กลับจากป่าช้า ในพ.ศ. นี้ จึงเป็นความก่ำกึ่ง มีบางอย่างที่ดี และมีบางอย่างที่ไม่ดี ไม่ได้แย่ขนาดที่ส่ายหัว แต่ก็ไม่ได้สามารถบอกว่าเป็นหนังที่โอเคได้เต็มปาก และน่าจะเลือนหายไปตามกาลเวลาอย่างง่ายดาย
.
และอีกประเด็นที่อยากพูดถึง คือ กลับจากป่าช้า ในฉบับนิยายเป็นการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เพราะ King ใช้การอารัมภบทปูพื้นเรื่องราวเป็นส่วนใหญ่ ไม่รีบร้อนในการเดินเรื่อง แถมยังเล่าผ่านบทสนทนาอีกต่างหาก เปรียบง่าย ๆ ว่า หากต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยปากแทนตัวอักษร คงใช้เวลาไม่กี่นาที และหากจะต้องใส่รายละเอียดทั้งหมดคงน่าเบื่อและยาวไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง
.
ดังนั้น หากมองอีกแง่ นิยายเรื่อง Pet Samatary ก็อาจไม่เหมาะกับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่แรก