ปัญหาแม่ยาย - ลูกเขย

สวัสดีค่ะ เราจะมาปรึกษาชาว Pantip ที่อาจจะมีข้อคิด ข้อเสนอแนะดีๆ ให้เราค่ะ

เริ่มต้นเลย เรากับสามีแต่งงานกันมา 14 ปี(เราอายุ 34 สามี 36)และมีลูกด้วยกัน 1 คนค่ะ อายุ 13 ปี
ช่วงแรกที่แต่งงานกันเรากับสามีพักที่บ้านของสามี เราพักที่บ้านสามีได้ 5 ปี รู้สึกอึดอัดค่ะ
ไม่ใช่เพราะครอบครัวของสามีนะคะ แต่เค้าเป็นครอบครัวใหญ่มากๆ มีพี่ป้า น้า อา
เหมือนซอยนั้นทั้งซอยเป็นเคลือญาติกันหมด และเค้าจะทำกับข้าวทีละเยอะๆ เผื่อญาติๆ ค่ะ

ตอนนั้นเราเรียนจบและเริ่มทำงานเลยหลังคลอดลูก(อายุ 21 ปี) ทำงานและกลับมาดูแลลูกหลังเลิกงาน อยู่บ้านสามีได้ 5 ปี
และเราเริ่มคุยกับสามีว่าเราหาบ้าน แยกออกไปอยู่ด้วยกันไหมกับลูกด้วย สามีเราก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้
เราก็เลยปรึกษาแม่ของเราเรื่องจะแยกบ้าน ตอนนั้นแม่ของเราแต่งงานใหม่เป็นแม่บ้านอยู่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ

เรากับแฟนคุยกันเรียบร้อยแล้ว พอปรึกษาแม่ของเรา แม่ของเราก็เห็นด้วยค่ะ ท่านให้เงินมาก้อนนึง ซึ่งเยอะมากๆ ให้เราดาวน์บ้าน
เรากับแฟนหาทำเลบ้าน ที่ไม่ไกลจากบ้านแฟนมากนัก เพื่อหวังว่าจะไปมาหากันได้สะดวก แล้วก็ได้ซื้อบ้านสมใจค่ะ
ถึงเวลาที่จะต้องย้ายออกมาอยู่บ้านใหม่ ปัญหาแรกเลยคือ พ่อ - แม่ ของสามีไม่ให้เอาลูกออกมาอยู่ด้วยค่ะ
เนื่องจากเค้ามองว่าเรากับแฟนต้องทำงานกันทั้งคู่ และเวลาเลิกงานไม่ได้ตรงเวลาทุกๆ วันเสมอไป
เค้าจึงคิดว่า เค้าสามารถ ไปรับ ไปส่งหลานได้ตรงเวลากว่าเราทั้งคู่ ให้หลานอยู่กับเค้าดีกว่า เราสองคนไปหาได้ทุกวันหลังเลิกงาน
เราสองคนก็โอเคค่ะ เพราะเหตุผลที่เค้าพูดมามันก็ถูก และเราก็อยู่กับสามีสองคน

อยู่ด้วยกันสองคนได้ 2 ปีค่ะ แม่ของเราเลิกกับสามีและกลับมาอยู่ประเทศไทย มาอยู่บ้านกับเราได้ 5 ปีแล้ว
ปีแรกที่แม่กลับมาอยู่ประเทศไทย แม่พยายามหางานทำค่ะ (แม่สามารถนวดแผนโบราณได้ นวดน้ำมันได้ มีใบรับรอง, เรียนเสริมสวยนิรันรัต มีใบจบการศึกษา) แต่เนื่องด้วยบ้านเราไกลจากที่ทำงานมาก และแม่เป็นลมพิษเพราะแพ้ฝุ่น ควัน บ่อยๆ ค่ะ เรากับแม่ก็ปรึกษากัน ได้ข้อสรุปว่า แม่ไม่ต้องไปทำงาน
และเราก็ซับพอร์ทให้แม่ค่ะ หลังจากที่แม่ไม่ต้องออกไปทำงาน แม่ก็จะดูแลบ้าน กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้าให้

ปัญหาจริงๆ เริ่มจากตรงนี้ !!
แฟนเราเป็นตากล้องอิสระ เค้าดัดแปลงชั้นล่างของบ้านเป็นสตูดิโอเอาไว้ถ่ายรูปค่ะ
1. แฟนเราจะไม่ชอบให้ใครยุ่งกับของที่สตูดิโอ (พวกโต๊ะ ญี่ปุ่น ตุ๊กตา ดอกไม้แห้ง ที่ใช้ประดับในสตูดิโอ) แม่ของเราก็จะชอบเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางกินข้าว วางของ วางกับข้าว อันนี้เราไม่เคยว่าแม่นะคะ เพราะมันปกติที่ต้องเอาโต๊ะมากาง เพื่อนั่งกินข้าวอยู่แล้ว แต่ปัญหามันเกิดขึ้นหลังจากที่โต๊ะที่ใช้บ่อยๆ
มันเกิดพังขึ้นมา แฟนเราไม่ค่อยพอใจก็จะมาโมโหและลงที่เรา เราก็ตัดปัญหาด้วยการซื้อโต๊ะให้ใหม่เป็นการชดใช้ และซื้อให้แม่อีกตัวนึงเพื่อเอาไว้กินข้าว

2. ปัญหาของใช้ในบ้านพัง เช่น ก๊อกน้ำ ไฟ ทีวี พัดลม ปกติแฟนจะเป็นคนดูแลซ่อมเองบ้าง เรียกช่างบ้าง ตามแต่เวลาที่มี ตอนที่อยู่บ้านกันสองคน
เวลามีอะไรเสียแฟนเราจะไม่ค่อยรีบซ่อม เพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้านกัน เลยทิ้งไว้แบบนั้นได้ แต่แม่อยู่บ้าน แม่จำเป็นต้องใช้ แม่ก็จะรีบซ่อมเอง เช่น ไฟห้องน้ำแม่เปลี่ยนเองได้ แม่ก็จะเปลี่ยนเลย แต่ของบางอย่าง แม่ไม่รู้ว่าจะซ่อมเองได้หรือไม่ได้ แต่แม่ก็จะรื้อมันออกมา เช่น ท่อน้ำ ตรงซิงค์ล้างจาน ท่อมันตัน แม่ก็บอกเรากับแฟน และแฟนก็บอกว่า เดี๋ยวอีกสักสองวันจะซื้อที่ละลาย มาละลายให้ ตอนนี้ก็ล้างจานที่อื่นไปก่อน แต่แม่เราไม่รอ ไม่เข้าใจว่า ที่ละลายคืออะไรแม่ก็ถอดท่อใต้ซิงค์ล้างจานออกมาเพื่อเอาของที่ติดท่อออก หลังจากที่ถอดท่อออกมา ผลปรากฏว่า ใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะตอนถอดได้ทำให้ยางที่คลุมท่อขาดและทิ้งไปแล้ว กลายเป็นว่าต้องเสียตังค์ให้ช่างมาทำท่อใหม่อีก แฟนเราโมโหมากและก็มาลงที่เราอีกเหมือนเคย เราก็ตัดปัญหาด้วยการบอกแฟนว่า ไม่เป็นไร แม่เราทำพังเอง เดี๋ยวเรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้เอง หลังๆ เวลามีอะไรเสีย แฟนเราจะไม่สนใจเลย จะชอบพูดประชดเสมอว่า ก็เก่งกันนี่นา ก็ซ่อมกันเองสิ ไม่ฟังความคิดเห็นใครนี่นา เราก็ไม่สามารถเถียงอะไรได้ เพราะที่เค้าพูดมามันก็คือเรื่องจริง แม่เราไม่ค่อยจะฟังความคิดเห็นใครเท่าไหร่ และจะเชื่อว่าตัวเองทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง

3. แม่และแฟนของเรา เรียกได้ว่าเป็นคนจำพวกเดียวกันคือ ปากหนัก และ คิดเสมอว่าตัวเองคิดถูก มีเหตุผลของตัวเองในการจะทำอะไรแต่ละอย่าง
เช่น เรื่องการทำกับข้าว แม่เราเป็นคนชอบทำกับข้าวกินเอง เพราะคิดว่าประหยัด แต่แฟนของเราไม่ชอบให้ทำกับข้าวที่บ้าน เพราะห้องครัว
เชิ่อมต่อกับสตูดิโอที่เค้าเอาไว้ถ่ายรูป และกลิ่นเวลาทำกับข้าวมันจะไปติดผ้าม่าน ผ้าห่ม และตุ๊กตาที่อยู่ ในส่วนของสตูดิโอ
แฟนเราก็โมโหและมาลงกับเราตลอด เราก็จะพยายามบอกแม่ว่า ซื้อกับข้าวมากินดีไหม ออกไปกินข้างนอกดีไหม ไม่ต้องเหนื่อยทำกับข้าวด้วย
เราเป็นคนที่เลิกงานดึกก็จะกินจากข้างนอกเลย ส่วนใหญ่แม่จะกินข้าวคนเดียวตลอด

4. ด้วยความที่แม่กับแฟนเราเป็นคนปากหนักทั้งคู่ การจะเกิดบทสนทนาระหว่างสองคนนี้เป็นไปได้ยากมาก เลยทำให้เกิดช่องว่างและความอึดอัดขึ้น
เช่น เวลาที่แฟนเราและเรามีวันหยุดพร้อมกันได้อยู่บ้าน แม่ของเราจะไม่ลงมาข้างล่างเลย จะอยู่แต่บนห้องของตัวเอง ไม่ลงมากินข้าวหรือว่าทำอะไรเลย
แฟนเรากับแม่เราไม่ค่อยได้ร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันอยู่แล้วเพราะแฟนเราไม่กินอาหารเหนือ และแม่เราไม่ชอบกับข้าวภาคกลาง
จึงเป็นไปได้ยากที่สองคนนี้จะกินข้าวด้วยกัน เราซึ่งเป็นคนกลางก็รู้สึกอึดอัดไปด้วยและไม่รู้จะจัดการกับปัญหานี้ยังไงดี
บางครั้งเราจะชวนแฟนออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะสงสารแม่ที่ต้องอยู่แต่ในห้อง แต่พอหลายปีเข้าเราก็รู้สึกเหนื่อย ปกติก็ต้องทำงานกันอยู่แล้ว
วันที่หยุดก็ไม่ได้พักผ่อนอยู่บ้านอีก เราก็รู้สึกสงสารแฟนและสงสารตัวเราเองด้วยที่ไม่ค่อยได้พักเลย

5. ช่วง 3 - 4 ปีหลังๆ มานี้ แฟนเรารับงานต่างจังหวัดบ่อยมาก แทบจะทุกๆ ศ ส อ เลยก็ว่าได้ ถึงวันที่จะมีงาน กรุงเทพฯ แฟนเราก็จะออกเช้ามาก
และกลับดึกมาก ไม่ค่อยได้ไปรับ ไปส่งเราทำงานเหมือนเมื่อก่อน เรากับแฟนก็จะไม่ค่อยได้คุยกัน ต่างคนก็ต่างทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเอง
ก็มีทะเลาะกันบ้างเพราะเราก็ทำงานเหนื่อย ไหนจะเหนื่อยเดินทางอีก แฟนเราก็ไม่เข้าใจ มาประชดเราเรื่องที่เราบอกว่าเดินทางลำบากอีก
เราก็เลยจะซื้อรถเพื่อขับไปทำงานเอง จะได้ไม่เป็นภาระสามี และเราก็ไม่ต้องลำบากเดินทางด้วย
(เราใช้เวลาเดินทางไปทำงาน 3 ช.ม. กลับ 3 ช.ม. ทำงานหลังราม บ้านอยู่สมุทรปราการ ปากน้ำค่ะ ใช้ถนนเส้นศรีนครินทร์ ซึ่งตอนนี้กำลังทำรถไฟฟ้าและรถติดมากๆ) แฟนเราก็จะชอบดูถูกเรา บอกว่าเราไม่สามารถขับรถไปทำงานคนเดียวได้หรอก เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ ก็ต้องลำบากสามีมาคอยจัดการอีก
(ไม่ค่อยมั่นใจว่าดูถูก หรือว่าห่วงจริงๆ กันแน่) เราก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่าควรจะซื้อรถมาขับเองดี หรือเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะแบบเดิมดี
เพราะเราก็กลัวว่าจะไปเป็นภาระเค้า อย่างที่เค้าว่ามา แต่เราก็รู้สึกเหนื่อยล้าสะลม จากการเดินทางจริงๆ บางวันเลิกกงานดึกมากถึงบ้าน 4 ทุ่ม กว่าจะได้กินข้าว อาบน้ำนอน ก็เที่ยงคืน แล้วตี 5 ก็ต้องรีบตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัวไปทำงานอีก เพราะถ้าออกสายจะไปทำงานไม่ทัน

6. หลังจากที่เรามีความคิดที่จะซื้อรถ เพราะเราเก็บเงินเองได้ก้อนนึงซึ่งก็ไม่เยอะมาก แฟนเราก็เสนอความคิดนึงมาว่า เราขายบ้านที่เราอยู่ตอนนี้ไหม
แล้วคืนเงินแม่ไป (เงินก้อนใหญ่ที่แม่ให้มาดาวน์บ้าน) แล้วก็เอาเงินส่วนต่างที่ขายบ้านได้ กับเงินที่เราเก็บไว้ผ่อนรถ ไปหาดาวน์บ้านใหม่ ใกล้ๆ
ที่ทำงานเราดีไหม เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางไปทำงานด้วย ไอเดียนี้ฟังตอนแรกมันดูดีนะ เราไม่ต้องขับรถ บ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานด้วย
แต่เค้าก็พูดเหตุผลมาอีกว่า คืนเงินให้แม่ไปแล้ว แม่จะกลับไปอยู่ต่างจังหวัดได้ใช่ไหม เค้าจะได้เริ่มทำสตูใหม่ พอได้ฟังแบบนี้เราไม่โอเคเลย
ตอนแรกเราคิดว่าเค้าจะคิดถึงเรา ทำเพื่อให้เราไปทำงานได้สะดวก แต่มันไม่ใช่เลย ไอเดียนี้สามีแค่อยากจะได้บ้านใหม่เพื่อทำสตูดิโอถ่ายรูป
และเพื่อไม่ให้แม่เราอยู่ด้วยเท่านั้น

ข้อคิดเห็นที่อยากได้คือ
1. จะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้แม่เรากับแฟนเราอยู่ด้วยกันได้แบบไม่อึดอัดไหมคะ มีทางไหนที่เราจะทำได้บ้าง
2. เราจะกำจัดความเหนื่อยที่ต้องทนอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนี้ยังไงดี จะตัดแม่ก็เป็นไปไม่ได้ จะตัดสามีก็คิดถึงลูกอีก
3. หลายปีที่ผ่านมาเราปรึกษาพี่ๆ ที่บริษัท ก็พยายามทำหลายๆ วิธีที่พอทำได้ แต่ก็ยังไม่เป็นผลค่ะ เรารู้สึกเหนื่อย
และอยากจะตัดตัวเองทิ้งไปเลย ณ จุดนี้ เรารู้สึกว่าเรามีความเครียดสะสม และมีแนวโน้มทำร้ายตัวเองค่ะ
เราต้องใช้ยาไมเกรน เพื่อรักษาอาการปวดหัวรุนแรงอยู่นานหลายปีเลยค่ะ

ป.ล. 1 เรากับสามีไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเงินของกันและกันค่ะ เป็นมาตั้งแต่คบกันสมัยเรียนแล้ว ทุกอย่างหารครึ่งหมด
ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในบ้าน ก่อนที่แม่จะมาอยู่ด้วย เรากับสามีหารครึ่งกันค่ะ
แต่หลังจากที่แม่มาอยู่ด้วย ค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้าน เราจะออกเองคนเดียว เพราะแฟนไปนอนต่างจังหวัดบ่อยอยู่แล้ว
เราเลยไม่ได้ซีเรียสค่ะ แฟนจะจ่ายค่าผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายของลูก หารครึ่งเท่านั้น

ป.ล. 2 ทำไมเราถึงไม่ย้ายที่ทำงานหล่ะ ทั้งๆ ที่มันไกลขนาดนั้น ตอนนี้งานและเงินเดือนของเราอยู่ตัวแล้วค่ะ
มีเงินใช้ มีเงินเที่ยว มีเงินเก็บไม่ขาดเหลืออะไร อีกทั้งยังมีสวัสดิการให้ลูกได้เรียนฟรี ป.ตรีด้วย เราคิดว่าทุกอย่างลงตัวที่นี้แล้วค่ะ

ป.ล. 3 ขอโทษที่เราพิมพ์ยาวไปนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่