ก่อนเล่าประสบการณ์ใหม่ของผมก็ขอ.ความเท้า.ประสบการณ์เดิมหรือกระทู้เดิมของผมก่อน(
https://ppantip.com/topic/36631599/comment18)และเช่นเดิม เรื่องเล่าเรื่องนี้ผมเพียงแค่อยากถ่ายทอดและอยากชักชวนเพื่อนๆ ให้ไปเที่ยวกัน ไม่ได้หวังอะไร และเผื่ออาจเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ที่รักการท่องเที่ยวแบบสองล้อได้ใช้ในการเที่ยวอย่างสนุก
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมเป็นแค่ไบค์เกอร์ธรรมดาๆ ไม่ได้เด่นดังหรือเป็นที่รู้จักอะไร และแน่นอนในมุมของไบค์เกอร์ ทุกคนอาจมีฝันในมุมขับขี่ เช่นเดียวกันผมก็มีและเรื่องราวนี้คืออีกหนึ่งความฝันของผมในมุมเด็กชอบขี่สองล้อ "การขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่างประเทศ" จากกระทู้เดิมที่ผมขับขี่ลงใต้มา หลังจากนั้นผมก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเดินทางให้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าตนเองพร้อมแล้วจึงเริ่มวางแผนการเดินทางตามฝันของตนอีกครั้ง
"Bangkok - Malaysia 3,000 km. ใน 5-6 Days"
เส้นทางการเดินทาง กรุงเทพ-หาดใหญ่-อิโป-กัวลาลัมเปอร์-ปีนัง-กรุงเทพฯ
เดินทางโดย รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ เครื่อง1000ซีซี(คันเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีเงินซื้อใหม่)
เอาละมาเข้าเรื่องกันเลย ทริปนี้เป็นทริปกระทันหันของผมเลยทีเดียว ไม่รู้อะไรดลใจให้ลุกขึ้นมาทำอีกครั้ง อาจเป็นเพราะช่วงนั้นความเครียดทางการเมือง(เกี่ยวไหม?)หรือความเครียดสะสมในการนั่งโต๊ะในออฟฟิศทำงานทุกวัน จนลืมไปแล้วว่าเราเคยฝันว่าอยากขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกประเทศ แต่อยู่ดีๆ นั่งทำงานอยู่ก็นึกบ้าออกมาว่า "
ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันอยากพัก...พวกคุณเคยเป็นไหม! นั่งอยู่บนหน้าจอคอมทั้งๆ ที่ไม่ทำอะไร นั่งนึกว่าเราจะทำอะไร อยากทำอะไร และแว๊ปนึกที่ได้ยินอะไรเข้าหูมันก็จะลิงค์ไปสู่เรื่องราวของเราทันที ทริปนี้ก็เช่นกัน อยู่ๆ ก็ได้ยินคนพูดว่า
"ไปเที่ยวมาเลเซียไม่เบื่อหรือเธอ"เท่านั้นละทริปครั้งผมเกิดขึ้นเลย
รูปนี้ขึ้นมาในสมองผมทันทีเมื่อผมได้ยินสาวๆ ในออฟฟิศ พูดคุยกัน
แต่ครั้งนี้ผมไม่โชคดีแบบครั้งที่แล้ว การคิดปุ๊บปั๊บของผมทำให้ไม่มีใครสามารถไปกับผมได้ ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในหนังโฆษณาที่ลุงๆ อยู่ๆ โทรศัทพ์หาเพื่อนแล้วก็ตกลงออกไปขี่มอเตอร์ไซค์กัน
https://youtu.be/nU1ah2_fBNY แต่เรื่องจริงมันไม่ใช่ ทุกคนมีภาระกิจของตน ซึ่งมันก็ทำให้เราท้อเหมือนกัน แต่ผมอยากไป เลยตัดสินใจไปคนเดียวก็ได้...เพราะถ้าไม่ทำวันนี้ พรุ่งนี้คงลืมมันอีกแน่ๆ
จากนั้นผมก็เริ่มหาข้อมูลและนึกขึ้นได้ว่าจากกระทู้ที่แล้ว มีพี่ๆ ที่ไปใต้กับเราแล้วแยกเดินทางเข้ามาเลเซีย เราจึงข้อคำปรึกษาและหาข้อมูล จนได้รับการช่วยเหลือเรื่องการทำเอกสารข้ามประเทศ ทะเบียนรถสากล และจัดส่งมาให้ที่กรุงเทพฯ ก่อนเราเดินทาง จากนั้นพลังโซเชียลก็ช่วยผมได้มากอีกเช่นกัน พี่ๆ ใจดีหลายคนรู้ข่าวความเปรี้ยวของผมจึงยื่นมือให้หยิบยืมอุปกรณ์มาใช้บางอย่าง โดยให้เหตุผลที่ว่า "
ช่วยวาดฝันของน้องให้เป็นจริงอย่างปลอดภัย" ขอบคุณพี่ๆ ทั้งหลาย
เริ่มต้นวันแรกของการเดินทางผมตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้ได้แบบทริปก่อนหน้านี้ นั้นคือไปให้ถึงหาดใหญ่ ซึ่งครั้งที่แล้วพวกผมใช้เวลาเดินทาง 11 ชม.ครั้งนี้ผมว่าคงไม่ต่างกันเท่าไรจึงจัดแจงจองห้องพักไว้ก่อนหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลในระหว่างการเดินทางว่าจะค่ำและไม่มีที่พัก เนื่องจากครั้งนี้ไปคนเดียวจะไม่มีใครช่วยหรือให้ปรึกษาในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผมออกจากกทม.ตอนตี 4 ของวันที่ 6 เมษายน มุ่งสู่หาดใหญ่บนทางหลวงหมายเลข 4 ก่อนตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 41 ถนนเส้นหลักที่ทุกคนมักใช้งานในการมุ่งสู่ภาคใต้กัน และเช่นเดิมทิวทัศของยามเช้า มันเหมือนคำอวยพรจากท้องฟ้าเสมอ การได้อยู่บนมอเตอร์ไซค์รับลมเย็นๆ กลางถนนที่ยาวโดยไม่เห็นปลายทางข้างหน้าพร้อมท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากมืดกลายเป็นแสงสีแดงและทองตามลำดับนั้นมันช่างเป็นเสน่ห์อีกสิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างไว้สำหรับนักเดินทางจริงๆ และนั้นอาจเป็นเหตุผลต้นๆ เลยที่ทำให้ผมชอบเดินทางตอนเช้ามืดมาก
ผมเดินทางมาเรื่อยๆ แบบไม่ได้รีบร้อนอะไร พักตอนน้ำมันหมด หิวข้าวก็อาศัยปั้มหรือร้านข้างทางไปเรื่อยๆ แต่จะไม่ค่อยได้พักจุดไหนนานเนื่องจากอากาศไม่เป็นใจให้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์มากนัก เพราะถ้าจอดเฉยๆ อากาศจะร้อนถึง 40 องศาเลยทีเดียว ระยะทาง 950 กม.จากกรุงเทพถึงหาดใหญ่ ผมใช้เวลาเดินทางในครั้งนี้เร็วกว่าครั้งก่อนพอสมควร อาจเป็นเพราะการจราจรที่โล่ง ไม่มีฝน จึงทำให้ถึงหาดใหญ่ตอนบ่าย 2 กว่าๆ ซึ่งผมก็แอบเครียดนะ เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรที่นั้น บวกกับไม่ได้วางแผนหรือหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่นี้ไว้เลยด้วย ในใจคิดว่าหรือเราควรไปมาเลเซียเลยแต่ด้วยโชคดีหรือเปล่า ผมเป็นคนชอบเช็คอินใน facebook จึงทำให้คนที่เป็นเพื่อนผมใน facebook บางคนรู้ว่าผมมาที่นี้และ inbox มาเพื่ออาสาพาเที่ยวเมืองหาดใหญ่ ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่ได้นึกถึงเพื่อนคนนี้เลยจริงๆ (รู้สึกผิด)
พอมาถึงหาดใหญ่ผมก็ตรงไปทักท้ายเพื่อนที่บ้านเขาก่อนเป็นอันดับแรกและให้เขานำทางสู่ที่พักทันที ซึ่งถ้าผมขับมาเองอาจหลงได้เพราะถนนเมืองหาดใหญ่ก็ซับซ้อนไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ที่หาดใหญ่ผมเข้าพักที่ สยาม แมนชั่น (Siam Mansion) ซึ่งเป็นประสบการณ์แรกเลยในเมืองไทยที่ได้พัก Hostel ตอนแรกก็คิดไว้ลบมากมายแต่พอเข้าพักจริงๆ กับราคาที่พัก 256 บาท มันคุ้มราคาเลยทีเดียว
ที่พักสะอาด บริการใช้ได้ มีที่จอดรถที่ปลอดภัยเลยละ(เพราะมีพี่ยามเฝ้าให้) แถมใกล้ 7/11 (ขาดไปตายแน่ๆ) และที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารเดินไปได้ไม่ไกลมาก
หลังจากเข้าที่พักผมก็ได้ออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหาดใหญ่ ดื่มด่ำกับการซ้อนมอเตอร์ไซค์ชมเมือง ได้ดูวิถีชีวิตของคนในเมืองที่การมาครั้งที่แล้วผมพลาดไป ได้ไป Hatyai municipal park ที่น่าอิจฉาคนหาดใหญ่ที่มีสวนสาธารณะดีๆ วิวดีๆ ให้วิ่งขึ้นไปกัน ตลาดกิมหยง แหล่งของฝากชัดดีเลยละ แถมคนที่นี้น่ารักไม่แพ้คนที่อื่นแน่นอน ส่วนราดหน้าซุปเปอร์ ศิษย์ล่อคุ้ง กันตัง ตอนเข้าร้านอยากเดินออกมาก ทำไมราดหน้าแพงจังแต่พอมาเสริฟเท่านั้นละ ใครจะไปกินหมดครับ ขนาดชายร่างใหญ่สองคนยังกินขนาด 2 คนไม่หมดเลยส่วนรสชาติผมบอกเลยฝันหวานทีเดียว ซึ่งทั่งหมดนี้ถ้าไม่มีคนอาสาพาเที่ยวผมคงไม่ได้เห็นแน่ๆ คงนอนหลับอยู่แต่ในโรงแรม
เอาละหลังจากเมื่อคืนอิ่มหลับสนิทกันไป พอเช้าวันใหม่แห่งความตื่นเต้นก็มาถึง วันนี้แล้วที่ผมจะออกขี่รถไปต่างประเทศคนเดียว เกิดมาไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวก็บ่อย แต่ครั้งนี้มันกับตื่นเต้นกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมแต่มันทำให้ผมมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าตอนนั่งทำงานหน้าคอมแน่นอน วันที่สองของการเดินทางผมตั้งเป้าหมายที่จะไป เมืองอีโปห์ อยู่ห่างจากหาดใหญ่ไปประมาณ 350 km. ที่ผมเลือกไปเมืองนี้ก่อนเพราะผมมองว่าระยะทางพอเหมาะที่จะปรับตัวในการขับขี่ที่มาเลเซีย ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร กฎหมาย วิธีการขับขี่และหลายๆ อย่างมันใหม่และเราแค่อ่านมาไม่เคยเจอกับตัวเอง เลยไม่กล้าจะเอาตัวเองไปวัดกับประสบการณ์ของคนอื่นๆ และอย่างน้อยๆ 300 กว่ากม.มันง่ายที่คนไทยจะไปช่วยเหลือผมได้ภายใน 1 วัน
ผมเริ่มเดินทาง 8 โมงเช้าส่วนหนึ่งก็ต้องการนอนให้เต็มที่และคิดว่าเวลาสากลของราชการทุกที่น่าจะประมาณนี้ พอมาถึงที่ด่านผมก็ให้เพื่อนดูเอกสารที่เตรียมมาให้ รวมทั้งรีบของทานก่อนเพราะข้างหน้าไม่รู้อาหารเขาจะถูกปากเรามากน้อยแค่ไหน เพราะงั้งเลยจัดอาหารเติมพลัง "ไก่ทอดข้าวเหนียว" อาหารถูกปากคนไทยแน่นอน
**ข้อมูลเพิ่มเติมที่บริเวณด่านมาเลเซีย หรือด่านสะเดามีร้านรับทำเอกสารให้ที่น่าด่านเลย ข้อแค่มีสำเนาทะเบียนรถ พาสปอร์ต ก็สามารถทำได้เลยรวมค่าป้ายทะเบียนแล้วราคาไม่เกิน 1500-1800 บาท ทำไม่นานด้วย
เอาละถึงกระบวนการสำคัญในการออกนอกด่านแล้วนั้นก็คือการตรวจเอกสาร ซึ่งปรากฎว่าง่ายมาก แค่คุณไปปั้มตราออกนอกเมืองในพาสปอร์ต และไปที่ด่านตรวจเอกสารประกันภัย(รวมในค่าทำเอกสารแล้ว)คุณก็ขี่ออกไปได้เลย คือผมงงนิหน่อยเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาในการไปต่างประเทศคนเดียว เขาจะถามเยอะมาก พักที่ไหน ไปที่ไหน อยู่กี่วัน แต่ที่นี้ถามแค่ว่าอากาศร้อนไหม จบ.
ไอ้เราก็ตื่นเต้นขนาด กลัวก็กลัว อารมณ์ประมาณเจอตม.ที่สนามบิน เตรียมตัวอธิบายอย่างดี แต่กลับให้ผมผ่านแบบที่ผมงง มันอาจเป็นเพราะที่นี้คนเข้าออกเป็นประจำเลยไม่ค่อยได้ตรวจละเอียดมากนัก ผมอดนึกขำไม่ได้ว่าคนที่อยู่ที่นี้คงขำผมเมื่อได้อ่านกระทู้นี้ว่า "แกเยอะและคิดไปเองนะ" เอาละในที่สุดผมก็ผิดหวังเล็กๆ กับเรื่องตื่นเต้นแรกไปละ ผมก็มองข้ามมาในการตื่นเต้นต่อไปเลย
ขี่นอกประเทศ ออกมาจาดด่านได้ก็ค่อยๆ ขี่เลยครับอาจยังมีอาการมึนๆ จากด่าน ออกมาก็เจอถนนโล่งๆ ยาวๆ เคว้งคว้างเหมือนลอยในทะเล มองไปทางไหนก็ไม่รู้ว่าจะใช้การ์ดไหนออกมาช่วยนอกจากช่วยตัวเอง
ผมขี่มาได้สักพักก็เจอประสบการณ์ใหม่เขาทันทีแบบไม่ทันเตรียมใจว่าจะมาเร็วขนาดนี้ "
การขึ้นทางด่วน" มันเป็นความตื่นเต้นมากของคนกรุงเทพอย่างผม ไม่เคยที่จะจินตนาการไว้ก่อนว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นทางด่วน ในใจก็คิดว่าคงไม่ต่างจากรถยนต์หรอกแต่ถ้าเราเข้าไปมั่วๆ ก็กลัวจะเป็นแบบในกรุงเทพที่เข้าด่านผิดช่องต้องลำบากคนอื่นถอยหรือปาดหน้าเขาไปช่องทางที่ถูกอีก เมื่อผมคิดมากขนาดนั้นสิ่งที่ผมทำคือ
จอด ครับ
ผมรอจนกว่าจะมีมอเตอร์ไซค์ขี่มา เสร็จแล้วก็เริ่มทำการสังเกต ในความคิดผมที่นี้ยังไม่น่าจะเจริญมากพอที่จะแบบคลาสซีซีเพื่อแบ่งราคาค่าขึ้นทางด่วน แต่พอมองไปอ่าวชาวบ้านขี่เขาทางซ้ายไม่ได้เข้าด่าน ซึ่งหลายๆ คันก็ทำผมจึงแน่ใจละว่าคงมีช่องพิเศษของมอเตอร์ไซค์ แต่ที่ไม่แน่ใจคือต้องเสียเงินไหม เลยขี่ตามๆ ชาวบ้านไป แล้วข้างหน้าก็มีป้ายรูปมอเตอร์ไซค์บวกกับกรวยตั้งเอาไว้ให้เขาในช่องทางซึ่งจะมีขนาดเล็กพอให้เราเข้าไปทีละคันห้ามแซงกัน มันจะวนไปด่านข้างของด่านและเลยด่านไปดื้อๆ เลย ทำเอาผมแอบงงนิดหน่อย อ่าวฟรีหรอ ใช้แน่นะหรือมันช่องพิเศษรายเดือนหรือเปล่า กลัวไปโชว์โง่เจอเจ้าหน้าที่จับข้างหน้าจะเสียชื่อสัญชาติไทยหมด สรุปฟรีครับ ขี่มาแบบลอยๆ งง แต่สนุกดีครับเพราะความรู้สึกนี้คงไม่มีทางได้ในประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าแน่ๆ
ขี่ลุยเดียวสู่ทิศใต้ #มาเลเซีย
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมเป็นแค่ไบค์เกอร์ธรรมดาๆ ไม่ได้เด่นดังหรือเป็นที่รู้จักอะไร และแน่นอนในมุมของไบค์เกอร์ ทุกคนอาจมีฝันในมุมขับขี่ เช่นเดียวกันผมก็มีและเรื่องราวนี้คืออีกหนึ่งความฝันของผมในมุมเด็กชอบขี่สองล้อ "การขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่างประเทศ" จากกระทู้เดิมที่ผมขับขี่ลงใต้มา หลังจากนั้นผมก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเดินทางให้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าตนเองพร้อมแล้วจึงเริ่มวางแผนการเดินทางตามฝันของตนอีกครั้ง
"Bangkok - Malaysia 3,000 km. ใน 5-6 Days"
เส้นทางการเดินทาง กรุงเทพ-หาดใหญ่-อิโป-กัวลาลัมเปอร์-ปีนัง-กรุงเทพฯ
เดินทางโดย รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ เครื่อง1000ซีซี(คันเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีเงินซื้อใหม่)
เอาละมาเข้าเรื่องกันเลย ทริปนี้เป็นทริปกระทันหันของผมเลยทีเดียว ไม่รู้อะไรดลใจให้ลุกขึ้นมาทำอีกครั้ง อาจเป็นเพราะช่วงนั้นความเครียดทางการเมือง(เกี่ยวไหม?)หรือความเครียดสะสมในการนั่งโต๊ะในออฟฟิศทำงานทุกวัน จนลืมไปแล้วว่าเราเคยฝันว่าอยากขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกประเทศ แต่อยู่ดีๆ นั่งทำงานอยู่ก็นึกบ้าออกมาว่า "ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันอยากพัก...พวกคุณเคยเป็นไหม! นั่งอยู่บนหน้าจอคอมทั้งๆ ที่ไม่ทำอะไร นั่งนึกว่าเราจะทำอะไร อยากทำอะไร และแว๊ปนึกที่ได้ยินอะไรเข้าหูมันก็จะลิงค์ไปสู่เรื่องราวของเราทันที ทริปนี้ก็เช่นกัน อยู่ๆ ก็ได้ยินคนพูดว่า"ไปเที่ยวมาเลเซียไม่เบื่อหรือเธอ"เท่านั้นละทริปครั้งผมเกิดขึ้นเลย
รูปนี้ขึ้นมาในสมองผมทันทีเมื่อผมได้ยินสาวๆ ในออฟฟิศ พูดคุยกัน
แต่ครั้งนี้ผมไม่โชคดีแบบครั้งที่แล้ว การคิดปุ๊บปั๊บของผมทำให้ไม่มีใครสามารถไปกับผมได้ ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในหนังโฆษณาที่ลุงๆ อยู่ๆ โทรศัทพ์หาเพื่อนแล้วก็ตกลงออกไปขี่มอเตอร์ไซค์กัน https://youtu.be/nU1ah2_fBNY แต่เรื่องจริงมันไม่ใช่ ทุกคนมีภาระกิจของตน ซึ่งมันก็ทำให้เราท้อเหมือนกัน แต่ผมอยากไป เลยตัดสินใจไปคนเดียวก็ได้...เพราะถ้าไม่ทำวันนี้ พรุ่งนี้คงลืมมันอีกแน่ๆ
จากนั้นผมก็เริ่มหาข้อมูลและนึกขึ้นได้ว่าจากกระทู้ที่แล้ว มีพี่ๆ ที่ไปใต้กับเราแล้วแยกเดินทางเข้ามาเลเซีย เราจึงข้อคำปรึกษาและหาข้อมูล จนได้รับการช่วยเหลือเรื่องการทำเอกสารข้ามประเทศ ทะเบียนรถสากล และจัดส่งมาให้ที่กรุงเทพฯ ก่อนเราเดินทาง จากนั้นพลังโซเชียลก็ช่วยผมได้มากอีกเช่นกัน พี่ๆ ใจดีหลายคนรู้ข่าวความเปรี้ยวของผมจึงยื่นมือให้หยิบยืมอุปกรณ์มาใช้บางอย่าง โดยให้เหตุผลที่ว่า "ช่วยวาดฝันของน้องให้เป็นจริงอย่างปลอดภัย" ขอบคุณพี่ๆ ทั้งหลาย
เริ่มต้นวันแรกของการเดินทางผมตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้ได้แบบทริปก่อนหน้านี้ นั้นคือไปให้ถึงหาดใหญ่ ซึ่งครั้งที่แล้วพวกผมใช้เวลาเดินทาง 11 ชม.ครั้งนี้ผมว่าคงไม่ต่างกันเท่าไรจึงจัดแจงจองห้องพักไว้ก่อนหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลในระหว่างการเดินทางว่าจะค่ำและไม่มีที่พัก เนื่องจากครั้งนี้ไปคนเดียวจะไม่มีใครช่วยหรือให้ปรึกษาในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผมออกจากกทม.ตอนตี 4 ของวันที่ 6 เมษายน มุ่งสู่หาดใหญ่บนทางหลวงหมายเลข 4 ก่อนตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 41 ถนนเส้นหลักที่ทุกคนมักใช้งานในการมุ่งสู่ภาคใต้กัน และเช่นเดิมทิวทัศของยามเช้า มันเหมือนคำอวยพรจากท้องฟ้าเสมอ การได้อยู่บนมอเตอร์ไซค์รับลมเย็นๆ กลางถนนที่ยาวโดยไม่เห็นปลายทางข้างหน้าพร้อมท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากมืดกลายเป็นแสงสีแดงและทองตามลำดับนั้นมันช่างเป็นเสน่ห์อีกสิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างไว้สำหรับนักเดินทางจริงๆ และนั้นอาจเป็นเหตุผลต้นๆ เลยที่ทำให้ผมชอบเดินทางตอนเช้ามืดมาก
ผมเดินทางมาเรื่อยๆ แบบไม่ได้รีบร้อนอะไร พักตอนน้ำมันหมด หิวข้าวก็อาศัยปั้มหรือร้านข้างทางไปเรื่อยๆ แต่จะไม่ค่อยได้พักจุดไหนนานเนื่องจากอากาศไม่เป็นใจให้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์มากนัก เพราะถ้าจอดเฉยๆ อากาศจะร้อนถึง 40 องศาเลยทีเดียว ระยะทาง 950 กม.จากกรุงเทพถึงหาดใหญ่ ผมใช้เวลาเดินทางในครั้งนี้เร็วกว่าครั้งก่อนพอสมควร อาจเป็นเพราะการจราจรที่โล่ง ไม่มีฝน จึงทำให้ถึงหาดใหญ่ตอนบ่าย 2 กว่าๆ ซึ่งผมก็แอบเครียดนะ เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรที่นั้น บวกกับไม่ได้วางแผนหรือหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่นี้ไว้เลยด้วย ในใจคิดว่าหรือเราควรไปมาเลเซียเลยแต่ด้วยโชคดีหรือเปล่า ผมเป็นคนชอบเช็คอินใน facebook จึงทำให้คนที่เป็นเพื่อนผมใน facebook บางคนรู้ว่าผมมาที่นี้และ inbox มาเพื่ออาสาพาเที่ยวเมืองหาดใหญ่ ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่ได้นึกถึงเพื่อนคนนี้เลยจริงๆ (รู้สึกผิด)
พอมาถึงหาดใหญ่ผมก็ตรงไปทักท้ายเพื่อนที่บ้านเขาก่อนเป็นอันดับแรกและให้เขานำทางสู่ที่พักทันที ซึ่งถ้าผมขับมาเองอาจหลงได้เพราะถนนเมืองหาดใหญ่ก็ซับซ้อนไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ที่หาดใหญ่ผมเข้าพักที่ สยาม แมนชั่น (Siam Mansion) ซึ่งเป็นประสบการณ์แรกเลยในเมืองไทยที่ได้พัก Hostel ตอนแรกก็คิดไว้ลบมากมายแต่พอเข้าพักจริงๆ กับราคาที่พัก 256 บาท มันคุ้มราคาเลยทีเดียว
ที่พักสะอาด บริการใช้ได้ มีที่จอดรถที่ปลอดภัยเลยละ(เพราะมีพี่ยามเฝ้าให้) แถมใกล้ 7/11 (ขาดไปตายแน่ๆ) และที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารเดินไปได้ไม่ไกลมาก
หลังจากเข้าที่พักผมก็ได้ออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหาดใหญ่ ดื่มด่ำกับการซ้อนมอเตอร์ไซค์ชมเมือง ได้ดูวิถีชีวิตของคนในเมืองที่การมาครั้งที่แล้วผมพลาดไป ได้ไป Hatyai municipal park ที่น่าอิจฉาคนหาดใหญ่ที่มีสวนสาธารณะดีๆ วิวดีๆ ให้วิ่งขึ้นไปกัน ตลาดกิมหยง แหล่งของฝากชัดดีเลยละ แถมคนที่นี้น่ารักไม่แพ้คนที่อื่นแน่นอน ส่วนราดหน้าซุปเปอร์ ศิษย์ล่อคุ้ง กันตัง ตอนเข้าร้านอยากเดินออกมาก ทำไมราดหน้าแพงจังแต่พอมาเสริฟเท่านั้นละ ใครจะไปกินหมดครับ ขนาดชายร่างใหญ่สองคนยังกินขนาด 2 คนไม่หมดเลยส่วนรสชาติผมบอกเลยฝันหวานทีเดียว ซึ่งทั่งหมดนี้ถ้าไม่มีคนอาสาพาเที่ยวผมคงไม่ได้เห็นแน่ๆ คงนอนหลับอยู่แต่ในโรงแรม
เอาละหลังจากเมื่อคืนอิ่มหลับสนิทกันไป พอเช้าวันใหม่แห่งความตื่นเต้นก็มาถึง วันนี้แล้วที่ผมจะออกขี่รถไปต่างประเทศคนเดียว เกิดมาไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวก็บ่อย แต่ครั้งนี้มันกับตื่นเต้นกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมแต่มันทำให้ผมมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าตอนนั่งทำงานหน้าคอมแน่นอน วันที่สองของการเดินทางผมตั้งเป้าหมายที่จะไป เมืองอีโปห์ อยู่ห่างจากหาดใหญ่ไปประมาณ 350 km. ที่ผมเลือกไปเมืองนี้ก่อนเพราะผมมองว่าระยะทางพอเหมาะที่จะปรับตัวในการขับขี่ที่มาเลเซีย ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร กฎหมาย วิธีการขับขี่และหลายๆ อย่างมันใหม่และเราแค่อ่านมาไม่เคยเจอกับตัวเอง เลยไม่กล้าจะเอาตัวเองไปวัดกับประสบการณ์ของคนอื่นๆ และอย่างน้อยๆ 300 กว่ากม.มันง่ายที่คนไทยจะไปช่วยเหลือผมได้ภายใน 1 วัน
ผมเริ่มเดินทาง 8 โมงเช้าส่วนหนึ่งก็ต้องการนอนให้เต็มที่และคิดว่าเวลาสากลของราชการทุกที่น่าจะประมาณนี้ พอมาถึงที่ด่านผมก็ให้เพื่อนดูเอกสารที่เตรียมมาให้ รวมทั้งรีบของทานก่อนเพราะข้างหน้าไม่รู้อาหารเขาจะถูกปากเรามากน้อยแค่ไหน เพราะงั้งเลยจัดอาหารเติมพลัง "ไก่ทอดข้าวเหนียว" อาหารถูกปากคนไทยแน่นอน
**ข้อมูลเพิ่มเติมที่บริเวณด่านมาเลเซีย หรือด่านสะเดามีร้านรับทำเอกสารให้ที่น่าด่านเลย ข้อแค่มีสำเนาทะเบียนรถ พาสปอร์ต ก็สามารถทำได้เลยรวมค่าป้ายทะเบียนแล้วราคาไม่เกิน 1500-1800 บาท ทำไม่นานด้วย
เอาละถึงกระบวนการสำคัญในการออกนอกด่านแล้วนั้นก็คือการตรวจเอกสาร ซึ่งปรากฎว่าง่ายมาก แค่คุณไปปั้มตราออกนอกเมืองในพาสปอร์ต และไปที่ด่านตรวจเอกสารประกันภัย(รวมในค่าทำเอกสารแล้ว)คุณก็ขี่ออกไปได้เลย คือผมงงนิหน่อยเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาในการไปต่างประเทศคนเดียว เขาจะถามเยอะมาก พักที่ไหน ไปที่ไหน อยู่กี่วัน แต่ที่นี้ถามแค่ว่าอากาศร้อนไหม จบ.
ไอ้เราก็ตื่นเต้นขนาด กลัวก็กลัว อารมณ์ประมาณเจอตม.ที่สนามบิน เตรียมตัวอธิบายอย่างดี แต่กลับให้ผมผ่านแบบที่ผมงง มันอาจเป็นเพราะที่นี้คนเข้าออกเป็นประจำเลยไม่ค่อยได้ตรวจละเอียดมากนัก ผมอดนึกขำไม่ได้ว่าคนที่อยู่ที่นี้คงขำผมเมื่อได้อ่านกระทู้นี้ว่า "แกเยอะและคิดไปเองนะ" เอาละในที่สุดผมก็ผิดหวังเล็กๆ กับเรื่องตื่นเต้นแรกไปละ ผมก็มองข้ามมาในการตื่นเต้นต่อไปเลย ขี่นอกประเทศ ออกมาจาดด่านได้ก็ค่อยๆ ขี่เลยครับอาจยังมีอาการมึนๆ จากด่าน ออกมาก็เจอถนนโล่งๆ ยาวๆ เคว้งคว้างเหมือนลอยในทะเล มองไปทางไหนก็ไม่รู้ว่าจะใช้การ์ดไหนออกมาช่วยนอกจากช่วยตัวเอง
ผมขี่มาได้สักพักก็เจอประสบการณ์ใหม่เขาทันทีแบบไม่ทันเตรียมใจว่าจะมาเร็วขนาดนี้ "การขึ้นทางด่วน" มันเป็นความตื่นเต้นมากของคนกรุงเทพอย่างผม ไม่เคยที่จะจินตนาการไว้ก่อนว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นทางด่วน ในใจก็คิดว่าคงไม่ต่างจากรถยนต์หรอกแต่ถ้าเราเข้าไปมั่วๆ ก็กลัวจะเป็นแบบในกรุงเทพที่เข้าด่านผิดช่องต้องลำบากคนอื่นถอยหรือปาดหน้าเขาไปช่องทางที่ถูกอีก เมื่อผมคิดมากขนาดนั้นสิ่งที่ผมทำคือ จอด ครับ
ผมรอจนกว่าจะมีมอเตอร์ไซค์ขี่มา เสร็จแล้วก็เริ่มทำการสังเกต ในความคิดผมที่นี้ยังไม่น่าจะเจริญมากพอที่จะแบบคลาสซีซีเพื่อแบ่งราคาค่าขึ้นทางด่วน แต่พอมองไปอ่าวชาวบ้านขี่เขาทางซ้ายไม่ได้เข้าด่าน ซึ่งหลายๆ คันก็ทำผมจึงแน่ใจละว่าคงมีช่องพิเศษของมอเตอร์ไซค์ แต่ที่ไม่แน่ใจคือต้องเสียเงินไหม เลยขี่ตามๆ ชาวบ้านไป แล้วข้างหน้าก็มีป้ายรูปมอเตอร์ไซค์บวกกับกรวยตั้งเอาไว้ให้เขาในช่องทางซึ่งจะมีขนาดเล็กพอให้เราเข้าไปทีละคันห้ามแซงกัน มันจะวนไปด่านข้างของด่านและเลยด่านไปดื้อๆ เลย ทำเอาผมแอบงงนิดหน่อย อ่าวฟรีหรอ ใช้แน่นะหรือมันช่องพิเศษรายเดือนหรือเปล่า กลัวไปโชว์โง่เจอเจ้าหน้าที่จับข้างหน้าจะเสียชื่อสัญชาติไทยหมด สรุปฟรีครับ ขี่มาแบบลอยๆ งง แต่สนุกดีครับเพราะความรู้สึกนี้คงไม่มีทางได้ในประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าแน่ๆ