ก่อนจะเล่า ผมอยากจะออกตัวไว้ก่อนนะครับ ว่าผม “ไม่เชื่อเรื่องผี” ครับ
ไม่เชื่อ นี่คือแบบ...ไม่เชื่อจริงๆนะครับ เรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทรงเจ้าเข้าผี เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย
ผมไม่เชื่อ ไม่เชื่อ...ว่าใครจะมีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ เลยเถิดไปถึงพวกพระสงฆ์ที่ชอบจัดอีเว้นท์อาบน้ำมนต์
ต่อชะตา สะเดาะเคราะห์ ดูดวง อวดอ้างอะไรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว
ผมถึงขั้นเกลียดกันเลยทีเดียว
และก็ไม่ใช่แค่ไม่เชื่ออย่างเดียวนะครับ ผมไม่กลัวด้วย ผีสางอะไรเนี่ย ผมไม่เคยเจอครับ อาจจะเคยโดนขู่บ้าง
สมัยเด็กๆ แต่พอโตขึ้น รู้อะไรมากขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น และไม่เห็นอะไรเลย...มากขึ้น ก็เลยไม่กลัวอะไรๆ
ที่เคยกลัวตอนเด็กๆ จนสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันเล็กลงๆ เรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด
แต่เวลาอยู่ในวงสนทนาอื่นๆ ผมก็ไม่ค่อยแย้งอะไรใครนะ โอเค. เมื่อก่อนผมก็มีเถียงบ้าง เวลามีใครคุยเรื่องผี
เรื่องหมอดู เรื่องพวกองค์ลงฯลฯ หลายปีครับ...หลายครั้งด้วย หลังๆก็แค่กวนหน่อยๆ ซักไซ้นิดๆ จนสุดท้าย...พอครับ
ไม่เถียง ไม่ออกความเห็นด้วยล่ะ เต็มที่ก็แค่ อืม.... / หึๆ...ยิ้ม แค่นั้น
ผมหยุดนำข้อเท็จจริงอะไรต่างๆไปเถียงกับเขา
ผมหยุดชี้และจี้ให้เขาหาเหตุผลมารองรับเรื่องที่เขาเล่า
ผมไม่บอกใครว่า ไอ้นั่น...ไอ้นี่... มันโกหก หลอกลวงเรา(เว้นคนใกล้ตัว (วงเล็บอีกรอบว่า ลงเอย ทะเลาะกัน))
มันไม่มีประโยชน์ครับ ....บอกเลย คนจะเชื่อ แม่มมมก็เชื่อจริงๆนะ เชื่อแบบ...ไม่คิด...ไม่เอาใครเลยน่ะ
ผมว่า...ผู้ถือครองบัตรประชาชน ซึ่งออกให้โดยกระทรวงมหาดไทย ที่เชื่อเรื่องแบบนี่เนี่ย....
... หลายคนเขาลึกแล้วล่ะ... พวกเขามาไกลมากแล้ว...อย่าไปยุ่งกับเขาเลย...
นั่นแหละครับ ผม ที่เกริ่นมาซะยาวเนี่ย แค่อยากให้รู้ครับ ว่าผมเป็นคนแบบนี้.
มาเข้าเรื่องเลย...
ราวๆกลางปี... บริษัทผมจัดอบรมสัมมนาประจำปีครับ พวกเราไปจัดงานกันที่วังน้ำเขียวครับ เป็นรีสอร์ทใหญ่ทีเดียว ใหญ่และเก่าด้วย คะเนด้วยสายตาห่วยๆของผมนะ ผมว่าอายุอาจมีล้ำกว่า 15 ปีเป็นอย่างน้อย บรรยากาศก็ร่มรื่นนะครับ ต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมดเลย นี่เห็นแค่ด้านหน้านะครับ พวกเราไปถึงราวๆ10 โมง ลงทะเบียนแล้วก็เอากระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของ ของแต่ละคนมากองรวมกันในห้องสัมมนา แล้วก็เข้ากิจกรรมกันเลย
จนราวๆ เกือบ 5 โมงเย็น กิจกรรมเลิก.......
พนักงานต่างทยอยกันเข้ารับกุญแจห้องจาก HR เพื่อเก็บข้าวของเข้าห้องพัก อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ก่อนจะมาทานเข้าเย็นและคาราโอเกะกันต่อที่เดิม ในเวลา 6 โมงเย็น แต่ด้วยผมติดการช่วยลุ้นในวงกิจกรรมบริหารกล้ามนิ้ว(ป๊อกเด้ง) ของเพื่อนๆส่วนหนึ่งในแผนก ผมจึงให้น้องชายผมไปรับกุญแจห้องพักแทน แล้วฝากชาร์ตแบตฯกล้องถ่ายรูปให้ผมด้วย คือ ผมกับน้องชายทำงานที่เดียวกันครับ สัมมนาต่างสถานที่เมื่อไหร่ ผมกับน้องจะได้พักห้องเดียวกันเสมอ เพราะตอนนอนผมกับน้องชายจะปล่อยเสือ ปล่อยสิงห์ออกมาคำรามให้หนวกหูชาวบ้านตลอด ทาง HR เลยจัดให้มันนอนด้วยกันซะเลย ถือว่ายังไงๆ เสือกะสิงห์มันก็คำรามใส่กันตั้งแต่เด็กๆ น่าจะชิน หรือรู้วิธีการหลับของกันได้
ผมนั่งลุ้นเพื่อนๆ เพลินไปหน่อย จนเกือบ 6 โมงเย็น พนักงานหลายคนเริ่มทยอยลงมา เดินตัวหอมกันมาเชียว ผมเลย...เอ้า...ไตห้า! กรูยังไม่ได้อาบน้ำเลย ว่าแล้วก็รีบดีดตัวออกมาจากวง แล้วดิ่งไปหาห้องพักตัวเองทันที
ช่วงนั้นฟ้าเริ่มไม่มีแดดละ แต่ก็ไม่มืดซะทีเดียว ผมเดินไปตามซอกซอยของต้นไม้ใหญ่ครึ้มเข้าไป รีสอร์ทนี้ก็เหมือนๆ รีสอร์ทอื่นๆทั่วไปในวังน้ำเขียวแหละครับ เหมือนประมาณ จับบ้านหลังเล็กๆไปวางไปในซอกป่า แล้ววางแผ่นหินขนาดเท่าลังโซดา หยอดเป็นทอดๆ จากถนนคอนกรีตเล็กๆไปยังหน้าประตูบ้าน นึกออกใช่ไหมครับ คือจะมีหลากหลายรูปทรงรูปแบบ บ้านปูนเปลือย บ้านไม้อาร์ตๆ หลากสี บ้านเก่า บ้านใหม่ ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง แต่ละหลังก็จะมี ชื่ออันเป็นมงคลต่างกันไป ชื่นชวนชม , ลมโชยมา , หมามีกรรม ฯลฯ อะไรก็ว่ากันไป
แต่ห้องพักที่ผมได้ มันเป็นตึกปูน 3 ชั้นครับ และผู้เข้าพักในตึกนี้ทุกห้อง ทุกชั้น คือพนักงานในบริษัทของเรา ผมได้ห้องพักชั้นที่ 3 ห้องรองสุดท้าย แต่ละชั้นก็มีห้องประมาณ 7-8 ห้อง อันนี้ผมจำไม่ได้แน่ชัด แต่ที่ชัดแน่ๆคือ ตึกนี้มันอยู่สุดทางเดินครับ ทางเดินคอนกรีตนี้จะผ่านบ้านแต่ละหลังอย่างที่บอก ผมก็เดินไปเรื่อยๆ ตามผังที่ได้มา เดินเลี้ยวไปคดมาจน...แวบบบบ...เจอตึกที่ว่า อยู่ห่างไปประมาณ 10 เมตร และพร้อมกับที่เห็นตึกที่ตัวเองต้องพัก
ผมก็พบว่า ตัวเองกำลังผ่านบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์เก่าๆ 2 ชั้น หลังหนึ่ง…
ซึ่งน่าจะเป็นบ้านไม้ที่ซื้อมาแบบยกหลัง แล้วเอามาตั้งเลย เพราะดูแล้ว ไม้นี่เก่าจริง มีซุ้มประตูแบบมีหลังคาตรงเชิงพักบันไดด้วย ประตูซุ้มก็เป็นระแนงไม้ ตีเป็นซี่ๆ มองเห็นด้านบน
ตั้งแต่วินาทีแรก ที่ผมเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ผมว่า...นี่คือสิ่งปลูกสร้างที่ดูแปลกแยกที่สุด
ผมค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามแรงดึงดูด ที่บ้านหลังนี้ส่งออกมา ขณะนั้นตะวันลับยอดไม้ไปแล้ว แต่ก็ยังมีแสงแทรกตามกิ่งไม้มาจับที่ตัวบ้านอยู่บ้าง ชั้นล่างเป็นโถงกว้างๆ มีเฟอร์นิเจอร์ชุดเดียวที่วางอยู่คือโต๊ะ ตัวใหญ่มากกกกก ทำด้วยไม้อะไรไม่รู้ และมันเป็นไม้แผ่นเดียวเก่าๆ ใหญ่ๆ กว้างราวๆ 1.5 เมตร ยาว ประมาณ 3 เมตร ทั้ง 2 ฟากทางยาว วางไว้ด้วยเก้าอี้แบบยาว ...ไม่ใช่หรอก น่าจะเรียกว่าโต๊ะเหมือนกันนี่แหละ เพราะมันน่าจะทำมาจากไม้ต้นเดียวกันแล้วผ่าครึ่ง เอามาวางสำหรับนั่งทั้งสองฝั่ง ดูแล้วคือ...มันใหญ่เกิ๊น! ถ้าจัดดินเนอร์ขึ้น ก็น่าจะรับได้ 20 คนบวกๆอ่ะ
ผมละสายตาจากชั้นล่างพาตัวเองขึ้นไปชั้นที่ 2
ด้านบนมีระเบียงทอดไปหาประตูไม้เก่าๆ แบบ...มันเก่าจริงนะคุณ มันเป็นประตูแบบเปิดออกได้สองบานน่ะ บานฝั่งซ้ายเบี้ยวนิดๆด้วย เหมือนสกรูยึดบานพับมันคล้ายตัวนิดนึง ทำให้ประตูมันเลยดูเบี้ยวๆ มีตุ่มมังกรขนาดประมาณสูงเท่าเอว วางอยู่หน้าประตูฝั่งขวา ฝาตุ่มเป็นอลูมิเนียมสีเงินๆ มีขันพลาสติกสีน้ำเงินวางอยู่บนฝาตุ่ม ที่แปลกคือ ประตูทั้งสองบาน ล๊อคด้วยกุญแจสีทองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก โดยคล้องไว้กับสายยูแบบธรรมดา แถมเอาสกรูยึดแปะไว้ด้านนอกด้วย เรียกว่าถ้าจะเข้าไปในห้องโดยไม่มีกุญแจ คุณเอาไขควงมาจัดการน็อต 4 ตัวของสายยูแล้วเปิดห้องได้เลย
แต่ที่ชวนขนลุกคือกุญแจประตูซุ้มบันไดมากกว่า เพราะกรอบประตูซุ้มเชิงพักบันไดซึ่งทำด้วยไม้หน้าสาม ถูกคล้องด้วยโซ่เส้นใหญ่ ยาวประมาณ 2 ฟุต และล็อคโซ่ด้วยกุญแจแบบโบราณขนาดประมาณซองบุหรี่ครับ คุณนึกออกไหม แบบ...พอไขแล้วก้านที่ล็อคจะง่างออกด้านข้างน่ะครับ ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้เพื่อ....
ผมคิดในใจ...“ใครจะมาเปิดพักวะ...หลอนสึด....”
เจอแบบนี้ ผมถูกผีหลอกใช่ไหม?
ไม่เชื่อ นี่คือแบบ...ไม่เชื่อจริงๆนะครับ เรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทรงเจ้าเข้าผี เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย
ผมไม่เชื่อ ไม่เชื่อ...ว่าใครจะมีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ เลยเถิดไปถึงพวกพระสงฆ์ที่ชอบจัดอีเว้นท์อาบน้ำมนต์
ต่อชะตา สะเดาะเคราะห์ ดูดวง อวดอ้างอะไรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว
ผมถึงขั้นเกลียดกันเลยทีเดียว
และก็ไม่ใช่แค่ไม่เชื่ออย่างเดียวนะครับ ผมไม่กลัวด้วย ผีสางอะไรเนี่ย ผมไม่เคยเจอครับ อาจจะเคยโดนขู่บ้าง
สมัยเด็กๆ แต่พอโตขึ้น รู้อะไรมากขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น และไม่เห็นอะไรเลย...มากขึ้น ก็เลยไม่กลัวอะไรๆ
ที่เคยกลัวตอนเด็กๆ จนสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันเล็กลงๆ เรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด
แต่เวลาอยู่ในวงสนทนาอื่นๆ ผมก็ไม่ค่อยแย้งอะไรใครนะ โอเค. เมื่อก่อนผมก็มีเถียงบ้าง เวลามีใครคุยเรื่องผี
เรื่องหมอดู เรื่องพวกองค์ลงฯลฯ หลายปีครับ...หลายครั้งด้วย หลังๆก็แค่กวนหน่อยๆ ซักไซ้นิดๆ จนสุดท้าย...พอครับ
ไม่เถียง ไม่ออกความเห็นด้วยล่ะ เต็มที่ก็แค่ อืม.... / หึๆ...ยิ้ม แค่นั้น
ผมหยุดนำข้อเท็จจริงอะไรต่างๆไปเถียงกับเขา
ผมหยุดชี้และจี้ให้เขาหาเหตุผลมารองรับเรื่องที่เขาเล่า
ผมไม่บอกใครว่า ไอ้นั่น...ไอ้นี่... มันโกหก หลอกลวงเรา(เว้นคนใกล้ตัว (วงเล็บอีกรอบว่า ลงเอย ทะเลาะกัน))
มันไม่มีประโยชน์ครับ ....บอกเลย คนจะเชื่อ แม่มมมก็เชื่อจริงๆนะ เชื่อแบบ...ไม่คิด...ไม่เอาใครเลยน่ะ
ผมว่า...ผู้ถือครองบัตรประชาชน ซึ่งออกให้โดยกระทรวงมหาดไทย ที่เชื่อเรื่องแบบนี่เนี่ย....
... หลายคนเขาลึกแล้วล่ะ... พวกเขามาไกลมากแล้ว...อย่าไปยุ่งกับเขาเลย...
นั่นแหละครับ ผม ที่เกริ่นมาซะยาวเนี่ย แค่อยากให้รู้ครับ ว่าผมเป็นคนแบบนี้.
มาเข้าเรื่องเลย...
ราวๆกลางปี... บริษัทผมจัดอบรมสัมมนาประจำปีครับ พวกเราไปจัดงานกันที่วังน้ำเขียวครับ เป็นรีสอร์ทใหญ่ทีเดียว ใหญ่และเก่าด้วย คะเนด้วยสายตาห่วยๆของผมนะ ผมว่าอายุอาจมีล้ำกว่า 15 ปีเป็นอย่างน้อย บรรยากาศก็ร่มรื่นนะครับ ต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมดเลย นี่เห็นแค่ด้านหน้านะครับ พวกเราไปถึงราวๆ10 โมง ลงทะเบียนแล้วก็เอากระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของ ของแต่ละคนมากองรวมกันในห้องสัมมนา แล้วก็เข้ากิจกรรมกันเลย
จนราวๆ เกือบ 5 โมงเย็น กิจกรรมเลิก.......
พนักงานต่างทยอยกันเข้ารับกุญแจห้องจาก HR เพื่อเก็บข้าวของเข้าห้องพัก อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ก่อนจะมาทานเข้าเย็นและคาราโอเกะกันต่อที่เดิม ในเวลา 6 โมงเย็น แต่ด้วยผมติดการช่วยลุ้นในวงกิจกรรมบริหารกล้ามนิ้ว(ป๊อกเด้ง) ของเพื่อนๆส่วนหนึ่งในแผนก ผมจึงให้น้องชายผมไปรับกุญแจห้องพักแทน แล้วฝากชาร์ตแบตฯกล้องถ่ายรูปให้ผมด้วย คือ ผมกับน้องชายทำงานที่เดียวกันครับ สัมมนาต่างสถานที่เมื่อไหร่ ผมกับน้องจะได้พักห้องเดียวกันเสมอ เพราะตอนนอนผมกับน้องชายจะปล่อยเสือ ปล่อยสิงห์ออกมาคำรามให้หนวกหูชาวบ้านตลอด ทาง HR เลยจัดให้มันนอนด้วยกันซะเลย ถือว่ายังไงๆ เสือกะสิงห์มันก็คำรามใส่กันตั้งแต่เด็กๆ น่าจะชิน หรือรู้วิธีการหลับของกันได้
ผมนั่งลุ้นเพื่อนๆ เพลินไปหน่อย จนเกือบ 6 โมงเย็น พนักงานหลายคนเริ่มทยอยลงมา เดินตัวหอมกันมาเชียว ผมเลย...เอ้า...ไตห้า! กรูยังไม่ได้อาบน้ำเลย ว่าแล้วก็รีบดีดตัวออกมาจากวง แล้วดิ่งไปหาห้องพักตัวเองทันที
ช่วงนั้นฟ้าเริ่มไม่มีแดดละ แต่ก็ไม่มืดซะทีเดียว ผมเดินไปตามซอกซอยของต้นไม้ใหญ่ครึ้มเข้าไป รีสอร์ทนี้ก็เหมือนๆ รีสอร์ทอื่นๆทั่วไปในวังน้ำเขียวแหละครับ เหมือนประมาณ จับบ้านหลังเล็กๆไปวางไปในซอกป่า แล้ววางแผ่นหินขนาดเท่าลังโซดา หยอดเป็นทอดๆ จากถนนคอนกรีตเล็กๆไปยังหน้าประตูบ้าน นึกออกใช่ไหมครับ คือจะมีหลากหลายรูปทรงรูปแบบ บ้านปูนเปลือย บ้านไม้อาร์ตๆ หลากสี บ้านเก่า บ้านใหม่ ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง แต่ละหลังก็จะมี ชื่ออันเป็นมงคลต่างกันไป ชื่นชวนชม , ลมโชยมา , หมามีกรรม ฯลฯ อะไรก็ว่ากันไป
แต่ห้องพักที่ผมได้ มันเป็นตึกปูน 3 ชั้นครับ และผู้เข้าพักในตึกนี้ทุกห้อง ทุกชั้น คือพนักงานในบริษัทของเรา ผมได้ห้องพักชั้นที่ 3 ห้องรองสุดท้าย แต่ละชั้นก็มีห้องประมาณ 7-8 ห้อง อันนี้ผมจำไม่ได้แน่ชัด แต่ที่ชัดแน่ๆคือ ตึกนี้มันอยู่สุดทางเดินครับ ทางเดินคอนกรีตนี้จะผ่านบ้านแต่ละหลังอย่างที่บอก ผมก็เดินไปเรื่อยๆ ตามผังที่ได้มา เดินเลี้ยวไปคดมาจน...แวบบบบ...เจอตึกที่ว่า อยู่ห่างไปประมาณ 10 เมตร และพร้อมกับที่เห็นตึกที่ตัวเองต้องพัก
ผมก็พบว่า ตัวเองกำลังผ่านบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์เก่าๆ 2 ชั้น หลังหนึ่ง…
ซึ่งน่าจะเป็นบ้านไม้ที่ซื้อมาแบบยกหลัง แล้วเอามาตั้งเลย เพราะดูแล้ว ไม้นี่เก่าจริง มีซุ้มประตูแบบมีหลังคาตรงเชิงพักบันไดด้วย ประตูซุ้มก็เป็นระแนงไม้ ตีเป็นซี่ๆ มองเห็นด้านบน
ตั้งแต่วินาทีแรก ที่ผมเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ผมว่า...นี่คือสิ่งปลูกสร้างที่ดูแปลกแยกที่สุด
ผมค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามแรงดึงดูด ที่บ้านหลังนี้ส่งออกมา ขณะนั้นตะวันลับยอดไม้ไปแล้ว แต่ก็ยังมีแสงแทรกตามกิ่งไม้มาจับที่ตัวบ้านอยู่บ้าง ชั้นล่างเป็นโถงกว้างๆ มีเฟอร์นิเจอร์ชุดเดียวที่วางอยู่คือโต๊ะ ตัวใหญ่มากกกกก ทำด้วยไม้อะไรไม่รู้ และมันเป็นไม้แผ่นเดียวเก่าๆ ใหญ่ๆ กว้างราวๆ 1.5 เมตร ยาว ประมาณ 3 เมตร ทั้ง 2 ฟากทางยาว วางไว้ด้วยเก้าอี้แบบยาว ...ไม่ใช่หรอก น่าจะเรียกว่าโต๊ะเหมือนกันนี่แหละ เพราะมันน่าจะทำมาจากไม้ต้นเดียวกันแล้วผ่าครึ่ง เอามาวางสำหรับนั่งทั้งสองฝั่ง ดูแล้วคือ...มันใหญ่เกิ๊น! ถ้าจัดดินเนอร์ขึ้น ก็น่าจะรับได้ 20 คนบวกๆอ่ะ
ผมละสายตาจากชั้นล่างพาตัวเองขึ้นไปชั้นที่ 2
ด้านบนมีระเบียงทอดไปหาประตูไม้เก่าๆ แบบ...มันเก่าจริงนะคุณ มันเป็นประตูแบบเปิดออกได้สองบานน่ะ บานฝั่งซ้ายเบี้ยวนิดๆด้วย เหมือนสกรูยึดบานพับมันคล้ายตัวนิดนึง ทำให้ประตูมันเลยดูเบี้ยวๆ มีตุ่มมังกรขนาดประมาณสูงเท่าเอว วางอยู่หน้าประตูฝั่งขวา ฝาตุ่มเป็นอลูมิเนียมสีเงินๆ มีขันพลาสติกสีน้ำเงินวางอยู่บนฝาตุ่ม ที่แปลกคือ ประตูทั้งสองบาน ล๊อคด้วยกุญแจสีทองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก โดยคล้องไว้กับสายยูแบบธรรมดา แถมเอาสกรูยึดแปะไว้ด้านนอกด้วย เรียกว่าถ้าจะเข้าไปในห้องโดยไม่มีกุญแจ คุณเอาไขควงมาจัดการน็อต 4 ตัวของสายยูแล้วเปิดห้องได้เลย
แต่ที่ชวนขนลุกคือกุญแจประตูซุ้มบันไดมากกว่า เพราะกรอบประตูซุ้มเชิงพักบันไดซึ่งทำด้วยไม้หน้าสาม ถูกคล้องด้วยโซ่เส้นใหญ่ ยาวประมาณ 2 ฟุต และล็อคโซ่ด้วยกุญแจแบบโบราณขนาดประมาณซองบุหรี่ครับ คุณนึกออกไหม แบบ...พอไขแล้วก้านที่ล็อคจะง่างออกด้านข้างน่ะครับ ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้เพื่อ....
ผมคิดในใจ...“ใครจะมาเปิดพักวะ...หลอนสึด....”