สวัสดีครับ ผมชื่อไม้ วันนี้มาขอบ่นครับ
ผมอายุ 24 ปี เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางกรุงเทพ บ้านเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เลี้ยงแบบจีนๆ conservative มาตลอด แน่นอนว่าการเกิดในยุคที่มีการแข่งขันสูง ย่อมทำให้เกิดความกดดัน และยิ่งการเกิดในครอบครัวจีนที่มุ่งเน้นเรื่องการเรียน ความสำเร็จ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ผูกติดกับตัวผมก่อนที่ผมจะรู้ตัวเสียอีก
ผมโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญด้านความสำเร็จในการเรียน ในขณะที่ผมไม่เก่งวิทย์ คณิต แต่มีพรสวรรค์ทางภาษามาก ซึ่งโรงเรียนไทยไม่ได้ให้ราคาความสามารถส่วนนั้น ผมก็เริ่มรั้งท้ายในการเรียนช่วงม.ต้น ขณะที่เพื่อนเก่งวิทย์ ผมถูกจัดให้อยู่กับพวกเกเร ไม่สนใจเรียน ผมตั้งใจอ่านหนังสือสอบเต็มที่ แต่ผลออกมากลับได้เท่าพวกเกเรที่ไม่สนใจเรียนแม้แต่น้อย
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มมีความ insecure เคยไปหาจิตแพทย์ครั้งแรกตอนม.2 ผมไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เวลาให้วาดรูปตัวเองผมจะวาดให้ในหัว มีสมองเท่าเม็ดถั่ว สูญเสียความมั่นใจ แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นในช่วงม.ปลายที่มีแฟน (แม้จะเป็นการมีแฟนที่ไม่ได้ราบรื่นนัก) และผมได้เรียนสายศิลป์ภาษาทำให้เป็นนักเรียนแนวหน้าของสายศิลป์
ผมเริ่มมีปัญหาโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ตั้งแต่อายุ 18 เป็นคนระแวง กลัว กังวลเกินกว่าปกติ ก่อนที่จะตัดสินใจไปหาหมอ ผมมีภาพคนตายให้หัวจนหยุดไม่ได้ ได้แต่พนมมือ สวดมนต์ และน้ำตาไหล ขอให้ภาพหายไป ผมจึงไปหาหมอ และอาการผมก็ดีขึ้นและทรงตัวมาจนปัจจุบัน (อายุ27) คุณหมอบอกว่าเป็นที่สารเคมีในสมองนี่หลั่งผิดปกติ
เดิมทีมนุษย์จะมีสารนี้หลั่งให้ตื่นกลัว เพื่อจะได้หนีจากอันตราย (เช่นการหนีสัตว์ร้ายในยุคโบราณ) แต่ปัญหาคือสารนี้หลั่งผิดปกติ ทำให้ผมตื่นกลัวตลอดเวลา กังวลตลอดเวลา เหมือนว่าเจอสัตว์ร้ายทุก1นาที ต้องบอกอีกว่า ผมไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า
แต่ยาที่ผมทานแก้โรคย้ำคิดย้ำทำนั้น เป็นกลุ่มตัวยาเดียวกับที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า อย่างที่ทุกคนเคยบอก ยิ่งโตขึ้นความเครียดก็ยิ่งมากขึ้น
ปัจจุบัน พ่อแม่บงการผมในการทำงาน (แม้เค้าจะบอกว่าไม่ได้บังคับ) ต้องทำที่ที่มั่นคง เงินเดือนสูง มีหน้ามีตาในสังคม อวดคนอื่นได้ พอทำที่เล็กๆ แต่มีความสุข ก็บอกว่า ไม่มั่นคง ความสามารถผมมีมากกว่าจะมาอยู่ที่เล็กแบบนี้ ถ้าเค้าเลิกจ้างแล้วจะไปทำอะไรต่อ
พ่อแม่ผมมีพื้นฐานขี้กังวลทั้งคู่ พ่อกลัวห่วงเรื่องสุขภาพมากเกินพอดี ต้มน้ำสมุนไพรจีนผสมน้ำผึ้งกิน กินอาหารห้ามเผ็ดเพราะจะระคายกระเพาะ หาหมอแผนจีน ห้ามผมกินเหล้า-เบียร์ โดยบอกว่ากินเบียร์เค้ากินกันแค่ แก้ว2แก้ว ก็พอแล้ว อย่ากินแบบสิบล้อถูกหวย??? ผมงงว่า ถ้ากินแค่2แก้วแล้วจะกินไปทำไม ตอนที่กรุงเทพมีมลพิษ พ่อใส่มาส์กปิดจมูกทั้งวัน เช็คแอปเช้าเย็นว่ามลพิษลงรึยัง บ่นเรื่องวัยรุ่นนอนตื่นเที่ยงเสียสุขภาพ ดึงปลั๊กออกตลอดเวลาที่เลิกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เค้าบอกว่าถ้าเสียบคาไว้จะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรและบ้านไฟไหม้ ตั้งนาฬิกาจับเวลา เวลากินอาหาร 4โมงครึ่งต้องเตรียมตัวกินข้าวเย็น รอไม่ได้ ถ้ายังไม่พร้อมจะออกไปกินก็จะบ่น (ใครเค้าหิวข้าวตอน4โมงครึ่ง?) พ่อกินอาหารตอนเที่ยงตรงด้วย ขนาดที่ว่าจับเวลาเป็นนาที เข็มชี้ปั๊บ เอาเข้าปาก แกบอกเป็นโรคกระเพาะต้องตรงเวลา ปิดแอร์ต้องเอาเบรคเกอร์ลงทุกครั้ง ไมโครเวฟเวลาใช้ห้ามเดินเข้าไปใกล้เพราะจะมีรังสีทำให้เป็นมะเร็งเวลามีเรื่องใหญ่ๆผมไม่เคยบอกพ่อ ตอนสมัยเรียนมหาลัย เกือบโดนไทร์ทุกวันนี้เค้าก็ยังไม่รู้ น้องผมเคยโดนรุมกระทืบ ก็ไม่มีใครบอกพ่อ พ่อผมเป็นคนที่บอกอะไรแล้ว เรื่องจะใหญ่ขึ้นอีก คือถ้าบอกว่าอึไม่ออก แกจะเอาทฤษฏีโน่นนี่ที่หาจากกูเกิ้ลมาพูด แล้วตบท้ายด้วยการบ่น ด่า ว่าผมไม่รักษาสุขภาพมีการบอกว่า เค้ารักษาสุขภาพมาตั้งแต่เกิด ทุกวันนี้ยังเป็นโรคกระเพาะเลย ถ้าไม่สนใจดูแลตัวเองแบบผม ระวังจะออกอาการตั้งแต่อายุ 30 (ผมคิดว่าใครทำได้มากกว่าแกก็ยอดมนุษย์ละครับ หมอที่ให้คำปรึกษาแกยังกินเหล้าเลย ผมว่า) พ่อผมไม่แตะเหล้าสักหยดมาเป็นสิบปีแล้ว
แต่ช่วงผมเด็กๆแกก็กินบ้าง แต่ไม่เคยเกิน 1 แก้ว พ่อผมมีเพื่อนเฉพาะกลุ่ม 4-5คน เก็บตัว ชอบไปวัด ไปตลาดน้ำ โลตัส บ้านญาติ ถ้าเป็นที่อื่นเกินรัศมีบ้านกว่า 10 กม จะไม่ไป
ส่วนแม่ก็ไม่แพ้กัน แต่จะดีกว่าที่พอมีอะไรสามารถเปิดใจคุยได้ แต่ก็เป็นคนชีวจิตขนาดหนักเช่นกัน กินข้าวโพดต้ม ลูกเดือยต้ม น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล น้ำพุทราต้มเองใส่น้ำผึ้ง แครอทปั่น มันต้ม แม่ผมเกลียดการกินขนมซองๆมาก ในขนาดที่ว่า ทุกครั้งที่ผมอยากกิน (ไม่ได้กินบ่อย)
ผมต้องแอบเอาเข้าบ้านแล้วเอาไปซ่อน เวลาจะทิ้งต้องแอบทิ้งไม่ให้เค้าเห็นซอง แม่บอกว่ามันมีโซเดียม จะเป็นโรคไต ถ้าเป็นแล้วเค้าต้องมาดูแล ลำบากคนอื่น (แต่แม่โอเคกับปลาเส้น ซึ่งผมดูส่วนผสมแล้ว โซเดียมสูงกว่าเลย์รสธรรมดามา) ผมเคยบอกแม่แล้ว แม่ก็ไม่เชื่อ บอกว่าปลาเส้นโอเค) ในความชีวจิตแต่แกก็ชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือข้างทาง ซึ่งผมว่าเค็มมาก และสกปรกมากๆ ด้วย แต่แกไม่สนใจ ชอบชวนผมไปกิน แม่ไม่ให้กินปลาร้า ซึ่งถ้าผมจะกินต้องแอบกินตลอด บอกว่าปลาร้าสกปรก ของหมักดอง แต่แม่ก็ยังกินผักกาดดองแบบจีน กินมะม่วงแช่อิ่ม???? วันนี้ผมซื้อหนังปลาแซลมอนมา คิดว่ามันราคาแพงหน่อย ของดีไม่น่าจะโดนว่า แต่ก็โดนว่าอีก ซึ่งผมอดกลั้นมาตั้งแต่เมื่อคืน และเมื่อเช้าแล้ว ผมโดนบ่นไป2รอบ เรื่องกินขนมกรอบๆ จะเป็นโรคไต (ซึ่งขนมซองๆผมบอกได้เลยว่าผมกินเดือนนึงประมาณ 3-4 ซอง ไม่ได้กินแบบทุกวัน กินปริมาณน้อยให้หายอยาก แล้วก็ไปกินถั่ว เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เกรโนล่า อยู่แล้ว) แต่นั่นแหละ แม่ผมเห็นขนมซองๆทีไร ก็ต้องเทศน์สักกันต์
วันนี้ผมโดนด่าอีกจนฟิวส์ขาด ผมทุบหน้าอกตัวเอง แล้วบอกว่าถ้าไม่หยุดพูดจะทุบอีก ผมทุบไป3ครั้ง และหลบไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำร้ายตัวเอง ผมเคยทำมาแล้วตอนเด็กๆคือการทุบตีตัวเอง เอากำปั้นทุบหัวตัวเองแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ (ผมไม่เคยโมโหแล้วทำร้ายใคร และไม่ทำลายข้าวของ ผมขอทำตัวเอง) เค้าบอกว่าจะเอาหนังปลาที่ผมซื้อไปให้ญาติอายุ70กิน??? และบอกว่า เค้าแก่แล้ว กินได้??? ผมถามว่าจะให้เค้าตายพรุ่งนี้เลยหรอ ผมกินไม่ได้ แต่คนแก่ป่วยออดๆแอดๆ กินได้ ผมงงตรรกะ ตรรกะทุกอย่างคือพ่อแม่ผมสร้างขึ้นเองแล้วบังคับให้ผมเชื่อ??? ไม่มีทฤษฎีอะไรรับรองเลย
ผมซึ่งเป็นโรคกังวลอยู่แล้วบางทีโดนแกปั่น ผมตรวจสุขภาพออกมา ปัสสาวะไม่ผ่าน (ภายหลังรู้ว่าเพราะทานน้ำน้อย) แต่โดนแม่บ่นจนผมกังวล เครียดว่าตัวเองจะเป็นโรคไต
ทำไมชีวิตของชนชั้นกลางชีวิตหนึ่งมันถึงยากขนาดนี้? ทั้งๆที่ผมไม่เคยอดมื้อกินมื้อ มีห้องแอร์นอน แต่ทำไมเหมือนผมอยู่ในกรงขังของบริบททางสังคมที่ไม่สามารถปลดแอกตัวเองออกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องอาหาร เรื่องหน้าตาในสังคม พ่อแม่ผมบงการและจัดฉากให้หมด ผมต้องเล่นไปตามเกม ผมคิดไม่ถึงเลยถ้าวันนึงผมไม่เอาถ่าน ทำผู้หญิงท้อง เป็นเด็กแว้น เป็นเพศที่สาม(ผมไม่ได้รังเกียจเพศที่สามนะครับ แต่พ่อแม่ผมไม่ยอมรับแน่นอน) ผมจะเป็นยังไงต่อไป ขนาดผมทำดี พยายามจะอยู่ในมาตรฐานที่เค้าตั้งไว้ ยังรู้สึกเหมือนโดนกักขังขนาดนี้ ตอนที่แม่บอกว่า ถ้าผมป่วยเป้นโรคไตเพราะกินขนม เค้าจะต้องลำบากมาดูแล
มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากพูดแต่ไม่ได้พูด ว่า "ถ้าถึงวันนั้นไม้ขอฆ่าตัวตาย ไม้ไม่รอให้ถึงวันนั้นหรอก" ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตที่อยู่มันมีความสุขอะไร (ผมเคยบอกแม่ว่าอยากตายครั้งแรกตอนม.2 จนแม่ต้องพาไปหาหมอ)
ผมอยู่ในกฎเกณฑ์ของครอบครัวที่บอกว่า ต้องแสดงตามนั้นตามนี้ ต้องทำงานให้มีหน้ามีตา ต้องวางตัว ต้องโกหกเพื่อรักษาภาพ ต้องทำเหมือนตัวเองรวย
สรุปคุณค่าของชีวิตผมคืออะไร ผมเป้นเพียงเสื้อผ้าอาภรณ์ของพ่อแม่ที่เค้าใส่เพื่ออวดคน ว่าลูกฉันจบมหาลัยดัง ทำงานที่ดีๆ ได้คะแนนTOEIC สูง
พ่อแม่พูดตลอดว่าเค้าเป็นพ่อแม่ที่เปิดใจ ตามใจลูก ทำอะไรก็ได้ ไม่เคยบังคับแต่การไม่บังคับของเขาคือการบังคับผ่านการไม่ยอมรับ ไม่ให้ราคาเรา ผมเองก็อ่อนแอ ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีแฟน สุดท้ายก็ต้องการกำลังใจจากพวกเขา
ในสังคม ผมรู้สึกผมเป็นเพียงแค่แกะตัวนึงในฝูง ที่กำลังถูกต้อนไปโรงฆ่าสัตว์
ผมต้องทำตัวให้ได้ตามมาตรฐานของครอบครัว ทำงานดี เรียนดี ดูดี สูตรของการประสบความสำเร็จมีหลายทาง
ผมมองดังนี้ ถ้าผมประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จย่อมแลกมาด้วยความกดดัน ผมอาจจะกดดันและเครียดเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ นำไปสู่การเส้นเลือดในสมองแตกตอนอายุมากขึ้น ถ้าผมไม่ประสบความสำเร็จ และผมเฟลอาจนำไปสู่การที่ผมตัดสินใจฆ่าตัวตายเหมือนโลกนี้ไม่มีทางอื่นให้เลือก ให้ผมเลือกเพียงว่าจะตายตอนนี้ หรือทนทรมานต่อ เพื่อชะลอความตายไปอีก
อยากมาบ่นแค่นี้ครับ ไปกินยาต่อละ
เดือนหน้าก็ต้องหาหมอ
ผมย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้เป็นซึมเศร้า
และยังไม่อยากตาย
แต่ผมคิดว่าถ้าวันนึงต้องฆ่าตัวตายก็ไม่แปลกครับ
ทำไมการใช้ชีวิตให้มีความสุขในบริบทสังคมยุคปัจจุบันมันยากจังครับ
ผมอายุ 24 ปี เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางกรุงเทพ บ้านเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เลี้ยงแบบจีนๆ conservative มาตลอด แน่นอนว่าการเกิดในยุคที่มีการแข่งขันสูง ย่อมทำให้เกิดความกดดัน และยิ่งการเกิดในครอบครัวจีนที่มุ่งเน้นเรื่องการเรียน ความสำเร็จ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ผูกติดกับตัวผมก่อนที่ผมจะรู้ตัวเสียอีก
ผมโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญด้านความสำเร็จในการเรียน ในขณะที่ผมไม่เก่งวิทย์ คณิต แต่มีพรสวรรค์ทางภาษามาก ซึ่งโรงเรียนไทยไม่ได้ให้ราคาความสามารถส่วนนั้น ผมก็เริ่มรั้งท้ายในการเรียนช่วงม.ต้น ขณะที่เพื่อนเก่งวิทย์ ผมถูกจัดให้อยู่กับพวกเกเร ไม่สนใจเรียน ผมตั้งใจอ่านหนังสือสอบเต็มที่ แต่ผลออกมากลับได้เท่าพวกเกเรที่ไม่สนใจเรียนแม้แต่น้อย
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มมีความ insecure เคยไปหาจิตแพทย์ครั้งแรกตอนม.2 ผมไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เวลาให้วาดรูปตัวเองผมจะวาดให้ในหัว มีสมองเท่าเม็ดถั่ว สูญเสียความมั่นใจ แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นในช่วงม.ปลายที่มีแฟน (แม้จะเป็นการมีแฟนที่ไม่ได้ราบรื่นนัก) และผมได้เรียนสายศิลป์ภาษาทำให้เป็นนักเรียนแนวหน้าของสายศิลป์
ผมเริ่มมีปัญหาโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ตั้งแต่อายุ 18 เป็นคนระแวง กลัว กังวลเกินกว่าปกติ ก่อนที่จะตัดสินใจไปหาหมอ ผมมีภาพคนตายให้หัวจนหยุดไม่ได้ ได้แต่พนมมือ สวดมนต์ และน้ำตาไหล ขอให้ภาพหายไป ผมจึงไปหาหมอ และอาการผมก็ดีขึ้นและทรงตัวมาจนปัจจุบัน (อายุ27) คุณหมอบอกว่าเป็นที่สารเคมีในสมองนี่หลั่งผิดปกติ
เดิมทีมนุษย์จะมีสารนี้หลั่งให้ตื่นกลัว เพื่อจะได้หนีจากอันตราย (เช่นการหนีสัตว์ร้ายในยุคโบราณ) แต่ปัญหาคือสารนี้หลั่งผิดปกติ ทำให้ผมตื่นกลัวตลอดเวลา กังวลตลอดเวลา เหมือนว่าเจอสัตว์ร้ายทุก1นาที ต้องบอกอีกว่า ผมไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า
แต่ยาที่ผมทานแก้โรคย้ำคิดย้ำทำนั้น เป็นกลุ่มตัวยาเดียวกับที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า อย่างที่ทุกคนเคยบอก ยิ่งโตขึ้นความเครียดก็ยิ่งมากขึ้น
ปัจจุบัน พ่อแม่บงการผมในการทำงาน (แม้เค้าจะบอกว่าไม่ได้บังคับ) ต้องทำที่ที่มั่นคง เงินเดือนสูง มีหน้ามีตาในสังคม อวดคนอื่นได้ พอทำที่เล็กๆ แต่มีความสุข ก็บอกว่า ไม่มั่นคง ความสามารถผมมีมากกว่าจะมาอยู่ที่เล็กแบบนี้ ถ้าเค้าเลิกจ้างแล้วจะไปทำอะไรต่อ
พ่อแม่ผมมีพื้นฐานขี้กังวลทั้งคู่ พ่อกลัวห่วงเรื่องสุขภาพมากเกินพอดี ต้มน้ำสมุนไพรจีนผสมน้ำผึ้งกิน กินอาหารห้ามเผ็ดเพราะจะระคายกระเพาะ หาหมอแผนจีน ห้ามผมกินเหล้า-เบียร์ โดยบอกว่ากินเบียร์เค้ากินกันแค่ แก้ว2แก้ว ก็พอแล้ว อย่ากินแบบสิบล้อถูกหวย??? ผมงงว่า ถ้ากินแค่2แก้วแล้วจะกินไปทำไม ตอนที่กรุงเทพมีมลพิษ พ่อใส่มาส์กปิดจมูกทั้งวัน เช็คแอปเช้าเย็นว่ามลพิษลงรึยัง บ่นเรื่องวัยรุ่นนอนตื่นเที่ยงเสียสุขภาพ ดึงปลั๊กออกตลอดเวลาที่เลิกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เค้าบอกว่าถ้าเสียบคาไว้จะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรและบ้านไฟไหม้ ตั้งนาฬิกาจับเวลา เวลากินอาหาร 4โมงครึ่งต้องเตรียมตัวกินข้าวเย็น รอไม่ได้ ถ้ายังไม่พร้อมจะออกไปกินก็จะบ่น (ใครเค้าหิวข้าวตอน4โมงครึ่ง?) พ่อกินอาหารตอนเที่ยงตรงด้วย ขนาดที่ว่าจับเวลาเป็นนาที เข็มชี้ปั๊บ เอาเข้าปาก แกบอกเป็นโรคกระเพาะต้องตรงเวลา ปิดแอร์ต้องเอาเบรคเกอร์ลงทุกครั้ง ไมโครเวฟเวลาใช้ห้ามเดินเข้าไปใกล้เพราะจะมีรังสีทำให้เป็นมะเร็งเวลามีเรื่องใหญ่ๆผมไม่เคยบอกพ่อ ตอนสมัยเรียนมหาลัย เกือบโดนไทร์ทุกวันนี้เค้าก็ยังไม่รู้ น้องผมเคยโดนรุมกระทืบ ก็ไม่มีใครบอกพ่อ พ่อผมเป็นคนที่บอกอะไรแล้ว เรื่องจะใหญ่ขึ้นอีก คือถ้าบอกว่าอึไม่ออก แกจะเอาทฤษฏีโน่นนี่ที่หาจากกูเกิ้ลมาพูด แล้วตบท้ายด้วยการบ่น ด่า ว่าผมไม่รักษาสุขภาพมีการบอกว่า เค้ารักษาสุขภาพมาตั้งแต่เกิด ทุกวันนี้ยังเป็นโรคกระเพาะเลย ถ้าไม่สนใจดูแลตัวเองแบบผม ระวังจะออกอาการตั้งแต่อายุ 30 (ผมคิดว่าใครทำได้มากกว่าแกก็ยอดมนุษย์ละครับ หมอที่ให้คำปรึกษาแกยังกินเหล้าเลย ผมว่า) พ่อผมไม่แตะเหล้าสักหยดมาเป็นสิบปีแล้ว
แต่ช่วงผมเด็กๆแกก็กินบ้าง แต่ไม่เคยเกิน 1 แก้ว พ่อผมมีเพื่อนเฉพาะกลุ่ม 4-5คน เก็บตัว ชอบไปวัด ไปตลาดน้ำ โลตัส บ้านญาติ ถ้าเป็นที่อื่นเกินรัศมีบ้านกว่า 10 กม จะไม่ไป
ส่วนแม่ก็ไม่แพ้กัน แต่จะดีกว่าที่พอมีอะไรสามารถเปิดใจคุยได้ แต่ก็เป็นคนชีวจิตขนาดหนักเช่นกัน กินข้าวโพดต้ม ลูกเดือยต้ม น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล น้ำพุทราต้มเองใส่น้ำผึ้ง แครอทปั่น มันต้ม แม่ผมเกลียดการกินขนมซองๆมาก ในขนาดที่ว่า ทุกครั้งที่ผมอยากกิน (ไม่ได้กินบ่อย)
ผมต้องแอบเอาเข้าบ้านแล้วเอาไปซ่อน เวลาจะทิ้งต้องแอบทิ้งไม่ให้เค้าเห็นซอง แม่บอกว่ามันมีโซเดียม จะเป็นโรคไต ถ้าเป็นแล้วเค้าต้องมาดูแล ลำบากคนอื่น (แต่แม่โอเคกับปลาเส้น ซึ่งผมดูส่วนผสมแล้ว โซเดียมสูงกว่าเลย์รสธรรมดามา) ผมเคยบอกแม่แล้ว แม่ก็ไม่เชื่อ บอกว่าปลาเส้นโอเค) ในความชีวจิตแต่แกก็ชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือข้างทาง ซึ่งผมว่าเค็มมาก และสกปรกมากๆ ด้วย แต่แกไม่สนใจ ชอบชวนผมไปกิน แม่ไม่ให้กินปลาร้า ซึ่งถ้าผมจะกินต้องแอบกินตลอด บอกว่าปลาร้าสกปรก ของหมักดอง แต่แม่ก็ยังกินผักกาดดองแบบจีน กินมะม่วงแช่อิ่ม???? วันนี้ผมซื้อหนังปลาแซลมอนมา คิดว่ามันราคาแพงหน่อย ของดีไม่น่าจะโดนว่า แต่ก็โดนว่าอีก ซึ่งผมอดกลั้นมาตั้งแต่เมื่อคืน และเมื่อเช้าแล้ว ผมโดนบ่นไป2รอบ เรื่องกินขนมกรอบๆ จะเป็นโรคไต (ซึ่งขนมซองๆผมบอกได้เลยว่าผมกินเดือนนึงประมาณ 3-4 ซอง ไม่ได้กินแบบทุกวัน กินปริมาณน้อยให้หายอยาก แล้วก็ไปกินถั่ว เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เกรโนล่า อยู่แล้ว) แต่นั่นแหละ แม่ผมเห็นขนมซองๆทีไร ก็ต้องเทศน์สักกันต์
วันนี้ผมโดนด่าอีกจนฟิวส์ขาด ผมทุบหน้าอกตัวเอง แล้วบอกว่าถ้าไม่หยุดพูดจะทุบอีก ผมทุบไป3ครั้ง และหลบไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำร้ายตัวเอง ผมเคยทำมาแล้วตอนเด็กๆคือการทุบตีตัวเอง เอากำปั้นทุบหัวตัวเองแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ (ผมไม่เคยโมโหแล้วทำร้ายใคร และไม่ทำลายข้าวของ ผมขอทำตัวเอง) เค้าบอกว่าจะเอาหนังปลาที่ผมซื้อไปให้ญาติอายุ70กิน??? และบอกว่า เค้าแก่แล้ว กินได้??? ผมถามว่าจะให้เค้าตายพรุ่งนี้เลยหรอ ผมกินไม่ได้ แต่คนแก่ป่วยออดๆแอดๆ กินได้ ผมงงตรรกะ ตรรกะทุกอย่างคือพ่อแม่ผมสร้างขึ้นเองแล้วบังคับให้ผมเชื่อ??? ไม่มีทฤษฎีอะไรรับรองเลย
ผมซึ่งเป็นโรคกังวลอยู่แล้วบางทีโดนแกปั่น ผมตรวจสุขภาพออกมา ปัสสาวะไม่ผ่าน (ภายหลังรู้ว่าเพราะทานน้ำน้อย) แต่โดนแม่บ่นจนผมกังวล เครียดว่าตัวเองจะเป็นโรคไต
ทำไมชีวิตของชนชั้นกลางชีวิตหนึ่งมันถึงยากขนาดนี้? ทั้งๆที่ผมไม่เคยอดมื้อกินมื้อ มีห้องแอร์นอน แต่ทำไมเหมือนผมอยู่ในกรงขังของบริบททางสังคมที่ไม่สามารถปลดแอกตัวเองออกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องอาหาร เรื่องหน้าตาในสังคม พ่อแม่ผมบงการและจัดฉากให้หมด ผมต้องเล่นไปตามเกม ผมคิดไม่ถึงเลยถ้าวันนึงผมไม่เอาถ่าน ทำผู้หญิงท้อง เป็นเด็กแว้น เป็นเพศที่สาม(ผมไม่ได้รังเกียจเพศที่สามนะครับ แต่พ่อแม่ผมไม่ยอมรับแน่นอน) ผมจะเป็นยังไงต่อไป ขนาดผมทำดี พยายามจะอยู่ในมาตรฐานที่เค้าตั้งไว้ ยังรู้สึกเหมือนโดนกักขังขนาดนี้ ตอนที่แม่บอกว่า ถ้าผมป่วยเป้นโรคไตเพราะกินขนม เค้าจะต้องลำบากมาดูแล
มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากพูดแต่ไม่ได้พูด ว่า "ถ้าถึงวันนั้นไม้ขอฆ่าตัวตาย ไม้ไม่รอให้ถึงวันนั้นหรอก" ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตที่อยู่มันมีความสุขอะไร (ผมเคยบอกแม่ว่าอยากตายครั้งแรกตอนม.2 จนแม่ต้องพาไปหาหมอ)
ผมอยู่ในกฎเกณฑ์ของครอบครัวที่บอกว่า ต้องแสดงตามนั้นตามนี้ ต้องทำงานให้มีหน้ามีตา ต้องวางตัว ต้องโกหกเพื่อรักษาภาพ ต้องทำเหมือนตัวเองรวย
สรุปคุณค่าของชีวิตผมคืออะไร ผมเป้นเพียงเสื้อผ้าอาภรณ์ของพ่อแม่ที่เค้าใส่เพื่ออวดคน ว่าลูกฉันจบมหาลัยดัง ทำงานที่ดีๆ ได้คะแนนTOEIC สูง
พ่อแม่พูดตลอดว่าเค้าเป็นพ่อแม่ที่เปิดใจ ตามใจลูก ทำอะไรก็ได้ ไม่เคยบังคับแต่การไม่บังคับของเขาคือการบังคับผ่านการไม่ยอมรับ ไม่ให้ราคาเรา ผมเองก็อ่อนแอ ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีแฟน สุดท้ายก็ต้องการกำลังใจจากพวกเขา
ในสังคม ผมรู้สึกผมเป็นเพียงแค่แกะตัวนึงในฝูง ที่กำลังถูกต้อนไปโรงฆ่าสัตว์
ผมต้องทำตัวให้ได้ตามมาตรฐานของครอบครัว ทำงานดี เรียนดี ดูดี สูตรของการประสบความสำเร็จมีหลายทาง
ผมมองดังนี้ ถ้าผมประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จย่อมแลกมาด้วยความกดดัน ผมอาจจะกดดันและเครียดเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ นำไปสู่การเส้นเลือดในสมองแตกตอนอายุมากขึ้น ถ้าผมไม่ประสบความสำเร็จ และผมเฟลอาจนำไปสู่การที่ผมตัดสินใจฆ่าตัวตายเหมือนโลกนี้ไม่มีทางอื่นให้เลือก ให้ผมเลือกเพียงว่าจะตายตอนนี้ หรือทนทรมานต่อ เพื่อชะลอความตายไปอีก
อยากมาบ่นแค่นี้ครับ ไปกินยาต่อละ
เดือนหน้าก็ต้องหาหมอ
ผมย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้เป็นซึมเศร้า
และยังไม่อยากตาย
แต่ผมคิดว่าถ้าวันนึงต้องฆ่าตัวตายก็ไม่แปลกครับ