(สามารถอ่านวีรกรรมของผมตอนไปปี 2017 ได้ที่นี่ฮะ -
https://ppantip.com/topic/38496564)
หลังจากการไปทริปตอนปี 2017 ซึ่งเปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ เพราะว่าเป็นทริปที่ไม่มีเพื่อนที่พูดญี่ปุ่นได้ไปด้วย เป็นครั้งแรกที่นำทางคนอื่น และก็ได้เจอในสิ่งที่ไม่เคยเห็น และเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมคิดได้ว่า จะต้องกลับไปอีก
แต่เนื่องจากผมไม่ใช่คนมีเงิน ไม่สามารถไปบ่อยๆ ได้ และอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมยังไม่เคยเจอเลย จากการไปต่างประเทศมาแล้ว 5 รอบคือ.... ไม่เคยเจอหิมะเลย ทั้งๆ ที่ผมเกลียดอากาศร้อน ชอบอากาศหนาว (คือทั้งบ้านมีผมชอบอยู่คนเดียว จนโดนบอกบ่อยๆ ว่าหิมะมันอันตราย) ด้วยความที่ผมเคยคิดตั้งแต่ตอนจบทริป 2017 ผมจะกลับไปอีกครั้ง ผมจึงได้คิดจะกลับไปอีกครั้ง
แล้วรอบนี้ บ้ากว่าเดิม
ช่วงเวลาเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่ผมทำงานเยอะ (ด้วยเงินอันกระต๋อย) ผมเกิดอาการเครียด ประกอบกับเจอคนใน FACEBOOK ไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเอารูปมาอวด ผมเลยอยากจะไปด้วย แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของผมก็คือ ไปเจอหิมะให้ได้ แต่หลังจากที่เจอเพื่อนใน FACEBOOK ไปเที่ยวแล้วเจอซากุระมา ผมก็คิดไปคิดมาว่า เราก็ไม่ได้มีเงินไปเที่ยวได้บ่อยๆ ไปทั้งที ขอไปรอบเดียวแล้วให้เจอทั้งซากุระแล้วก็เจอหิมะด้วยเลยดีกว่า
(จนได้ตั้งกระทู้ตามนี้ -
https://ppantip.com/topic/37859814 )
และเมื่อเงินผมพร้อมซื้อตั๋วเครื่องบิน (แต่ไม่พร้อมทั้งทริป) โปรโมชั่นแอร์เอเชียออกพอดี ผมจึงตั้งเป้าว่าจะจอง แต่พอเช็คราคาคนเดียวแล้ว ปรากฎว่าที่พักแบบมีห้องส่วนตัว ราคาแพง แต่ถ้าไปสองคนจะถูกกว่า ผมก็เลยหาเหยื่อ... เอ้ย หาเพื่อนที่เคยร่วมทริปไปรอบที่แล้ว ถามว่า สนใจจะไปด้วยไหม?
ปฏิเสธ 3 คน แต่คนที่ 4 บอกว่าไปด้วย ผมเลยบอกว่า งั้นโอนเงินมาเลย จะได้จองเลย
ใช่... ผมไปบังคับเขาให้เขามีเวลาคิดแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วเขาก็โอนเงินมาจริงๆ! (ซึ่งเขาก็บอกออกมาตรงๆ ว่า เขาก็กำลังอยากไปอีกรอบเหมือนกันอยู่พอดี)
แต่เนื่องจากเขาโอนช้าไปนิดเดียว โปรแอร์เอเชียหายไป ราคาพุ่งขึ้น ณ เวลานั้นมีสายการบินที่ราคาโอเคที่สุดก็คือ มาเลเซียแอร์ไลน์ แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงเรียงนามของสายการบินนี้ ทำให้เพื่อนผมไม่มีใครอยากไปสายการบินนี้กัน แต่ด้วยการที่ผมไม่เคยจองช่วงที่มีหิมะ ผมไม่รู้ว่าช่วงที่ผมไปจะถูกหรือแพง ผมก็เลยถามเพื่อนผมคนนี้ แล้วก็ตัดสินใจจองกันเลย... ที่พักและตั๋วเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ราคาพิเศษ!!
หลังจากนั้นสองวันต่อมา แอร์เอเชียเล่นปล่อยราคาโปรออกมาอีกรอบแถมดันถูกกว่าเดิม
ผ่านไปอีก 2 เดือนกว่าๆ แอร์เอเชียเปิดเส้นทางใหม่ ไปนาโกย่า
ไทยไลออนแอร์ ก็เปิดเส้นทางบินตรง
สกู๊ต ก็ลดราคาโปรสู้อีก
อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม....
--------------------------------------------------
(*** คลิปแบบจัดเต็มครับ โดยทั้งบทความและคลิปจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่เล่าแตกต่างกัน *** )
ทริปรอบนี้ มีผมกับเพื่อนเดินทางกันสองคน จึงทำให้การวางแผนอะไรง่าย
เดิมที ผมวางแผนแบบสิ้นคิดมาก คือไป 5 วัน เลยวางแผนแบบง่ายๆ ว่า เที่ยวในเมือง 2 วัน ซื้อของ ช๊อปปิ้ง อีกสามวันคือไปนอกเมือง หิมะวันนึง ซากุระอีกวัน และวันที่เหลืออีกวันไปไหนก็ได้ คือไม่มีอย่างอื่นคิดในหัวเลย ในใจมีแต่ซากุระกับหิมะอย่างเดียว
แล้วก็ไปไล่อ่านบทความรีวิว ไปดูคลิป YOUTUBE คนที่ไปดูซากุระ ดูหิมะแบบบ้าคลั่ง ชนิดที่เรียกว่าเหมือนเสพย์ติด วันไหนไม่ได้ดูเหมือนจะลงแดง คือ ตัวผมอายุก็เข้าเลข 3 (ณ วันที่เขียนบทความ) แล้ว มันก็ตลกดี ที่ผมตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
ไปๆ มาๆ ด้วยการที่ผมไปแค่ 5 วัน (เพราะเดือนมีนาคม ผมจัดงานอีเวนท์ จะไปยาวๆ ก็ใช่ที) ก็เริ่มีความคิดมาว่า ไปๆ ก็ทั้งที และก็ไม่ได้ไปบ่อยๆ จะไปแค่นี้เองเหรอ?
ทันใดนั้น ก็เหลือบไปเห็นว่า มีโปรโมชั่นโรงแรมที่ติดลานสกีสำหรับคนไทยมา
บวกกับ ตอนนั้นผมวางแผนจะไปคุซัทสึ ออนเซ็น แต่ด้วยระยะทางที่ไกลมาก ผมกลัวเรื่องเวลา ก็เลยเปลี่ยนแผนจากคุซัทสึ แล้วก็ไปที่นี่แทน เพราะก็ใกล้ลานสกี GALA ที่ผมจะไปด้วย
และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้อีกวันคุ้มกว่าเดิมไปซะ โดยการถามเพื่อนว่า เฮ้ย วันแรก ไปดิสนีย์แลนด์กันเลยไหม? ที่นี่ไม่เคยไปเลย
เพื่อนบอก ไป
แน่นอนว่า จากเดิมที่กะจะไปแบบเอาประหยัด รอบนี้เลยกลายเป็นเอาคุ้มที่สุดซะงั้น
และนั่นแหละที่ทำให้ทริปนี้บ้าที่สุด
ซึ่งก็เสียดายว่า ไม่สามารถทำได้ครบในรายการที่วางแผนเอไว้เช่นกัน
---------------------------------------
หมายเหตุก่อนอ่านต่อ : ทางผมได้รับเครื่องสมาร์ทโฟน Honor 10 Lite มารีวิวด้วย ในบางภาพของการเดินทางนี้จะมีภาพที่ถ่ายด้วย Honor 10 Lite แทรกมาด้วยนะครับ
และแล้วก็มาถึง วันที่พวกผมรอคอย คือวันเดินทาง
ด้วยความตื่นเต้น (?) ผมได้เดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาที่กำหนด ส่วนตัวผมก็เลยลงมาแลกเงินด้านล่าง ซึ่งค่าเงินเรทของซุปเปอร์ริทสีส้มจะไม่ได้แตกต่างจากสาขาด้านนอก สำหรับการเดินทางงวดนี้ผมได้มีการแบ่งเงินเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั่นก็คือแลกเป็นเงินสดไป และอีกส่วนคือ ใส่ไว่ใน กรุงไทย Travel Card โดยเงินค่าที่พักที่ยังไม่ได้จ่ายกับเงินซื้อของบางส่วนผมจะเก็บไว้ในนั้นแยกกันครับ (ปล. ผมไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆ จากทาง กรุงไทย นะฮะ
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมได้ใช้ซิมของ DTAC Go Inter ซึ่งไม่เคยใช้มาก่อน แต่ที่เอามาลองใช้นั่นก็เพราะ เขามีโปรพร้อมกับประกันเดินทาง และส่วนลดค่าแท็กซี่ Grab มาสนามบิน 50% (ตอนแรกๆ ผมว่าจะใช้แอร์พอร์ตลิ้งไป แต่ผมมีกระเป๋าไปเยอะมาก (กระเป๋าลาก 2 + กระเป๋าสะพาย 1 + กระเป๋ากล้องอีก 3) เลยไปแท็กซี่ดีกว่า (เหตุที่มีกระเป๋าลากงอกเพิ่มมาอีกใบ เพราะว่าน้องสาวผมไปเรียนที่นู่น จะกลับวันเดียวกับผม และฝั่งนั้นกระเป๋าไม่พอ เลยขอให้ผมเอากระเป๋ามาด้วย) ส่วนเพื่อนผมไปใช้บริการ พ็อคเกจไวไฟเอา
หลังจากโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เลยชวนเพื่อนผมไปกินอาหารกันก่อน โดยร้านอาหารที่ผมพาไป ผมก็เพิ่งไปครั้งแรก นั่นก็คือเป็นร้านอาหาร (ไม่) ลับ ของสนามบิน ซ่อนอยู่ตรงโซนเรียกแท็กซี่ ด้านในนี้มีอาหารจานละ 40 - 50 บาท ตามราคามาตราฐานแบบไทยๆ (แต่ก่อนถ้าไม่มีคนมาบ่นๆ ว่าอาหารสนามบินแพง ที่นี่จะมีคนรู้จักไม่กี่คนเอง) ด้านในนี้มีชานมไข่มุกขายด้วยนะครับ ก็แอบซ่อนอยู่ด้านในหลืบเช่นกัน (ชมได้ตามคลิปครับ โดยคลิปนี้ผมทดลองเอามือถือหมี่โป๊ะโกะถ่ายแล้วตัดต่อในมือถือครั้งแรก)
มีผีน้อยโดดร่มที่เกาหลีใต้เยอะจนถึงกับต้องมีศูนย์ดูแลให้โดยเฉพาะเลยเหรอเนี่ย!!
เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่จะเอาพวกผมไปหย่อนก่อนที่กัวลาลัมเปอร์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องไปยังญี่ปุ่นครับ
เพื่อการเอาตัวรอด! ขอกรอกนํ้าให้เต็มก่อนขึ้นเครื่อง
สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่ผมขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ โดยส่วนตัวผมก็ถือว่าโอเคอยู่ในระดับของสายการบิน ฟูลเซอร์วิส ขนาดที่นั่งนั้นก็ให้กว้างพอๆ กับของเวียดนามแอร์ไลน์ และผมเจออีกหนึ่งกฎก็คือ ตอนเครื่องบินขึ้นกับลง พนักงานจะบังคับให้ปิดมือถือไปเลย (คือเปิดโหมดการบินก็ไม่ได้) คงเพราะว่าต้องการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด หลังจากเหตุการณ์อย่างที่ทุกท่านทราบนั่นแหละครับ
อาหารบนเครื่องมื้อแรก ซึ่งส่วนตัวผม ผมรู้สึกว่า ของเวียดนามแอร์ไลน์ทำอร่อยกว่าเย้อ
หลังจากเครื่องบินลงแล้ว พวกผมต้องไปนั่งรถรางของสนามบิน เพื่อไปยังอาคารผู้โดยสารอีกที่หนึ่ง ตอนแรกๆ ผมก็คิดว่าคล้ายๆ กับของที่สิงคโปร์ แต่รถรางของที่นี่ไปได้เร็วกว่ามาก และอาคารผู้โดยสารก็ใหญ่และกว้างมากด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้ผมเจอหายนะอย่างแรกที่เกิดขึ้นในการเดินทางละครับ
ผมลืมกระเป๋า
ด้วยการที่ผมมีกระเป๋าสะพายเยอะมาก, กำลังมึนๆ และมัวแต่โฟกัสเรื่องเอามือถือเอามาถ่ายวีดีโอเก็บไว้ เลยลืมไปว่าลืมกระเป๋าไว้บนเครื่องบิน รู้ตัวก็คือตอนกำลังจะเข้าด่านสแกนที่เข้าไปนั่งรอเครื่องบินนั่นแหละ และผมมีเวลารอเครื่องบินตามกำหนดการคือชั่วโมงเดียว
ผมรีบบอกเพื่อน ฝากกระเป๋าแล้ววิ่งกลับไปยังอาคารผู้โดยสารเดิมที่ผมลงเครื่องบินมาเลยครับ (ต้องขึ้นรถรางกลับไปยังอาคารเดิมด้วย) และวิ้งเข้าไปยังทางออกที่ออกมา ซึ่งมีบันไดเลื่อนบังคับขึ้นอย่างเดียว แต่ผมฝืนวิ่งลงไป (บันไดเลื่อนพอรู้ว่ามีคนฝืนวิ่งก็หยุด) แล้วก็เจอพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสองคน เหมือนกำลังรอผมกลับมาเอาของอยู่
ตอนผมอยู่บนเครื่องบิน ผมนั่งคิดเล่นๆ ในใจว่า ผมไม่ได้ไปต่างประเทศมาตั้งเป็นปี และชีวิตประจำวันของผมแทบไม่ได้พูดอังกฤษเลย ผมยังคิดๆ เลยว่าผมจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไหม คำตอบก็คือ ตอนที่ไปแสดงตัวเองว่าเป็นเจ้าของกระเป๋านี่ ผมพูดอังกฤษปร๋อเลย ถ้าจะให้แปลบทสนทนาเป็นไทยก็
จนท. - มาเอากระเป๋าใช่ไหมครับ?
ผม - ใช่ ใช่ นี่ของผม ผมสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คือกระเป๋าของผม (เข้าใจที่เขาถามได้ทันที 100% โดยไม่ต้องนั่งคิด)
จนท. - โว้โว้โว้ ใจเย็นๆ ครับ ใจเย็นๆ กระเป๋าของคุณอยู่แน่นอน ผมเปิดกระเป๋าดูเพื่อเช็คดูว่าข้างในมีอะไรบ้าง แต่ไม่ได้เอาอะไรไปนะครับ
ผม - ครับ ครับผม ผม ผมยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของผมแน่นอนครับ (พูดไปหอบไป)
จนท. เปิดกระเป๋าออกมาแล้วชี้ให้ผมดูของด้านใน
จนท. - โอเค มีโน๊ตบุ๊คอยู่เครื่อง และ Ipad อยู่อีกอัน ถูกไหมครับ?
ผม - ใช่ครับ ใช่เลย
จนท. - โอเค ไม่ต้องห่วง คุณจะบินไปนาริตะใช่ไหม? ยังมีเวลาอยู่ครับ ใจเย็นๆ นะครับ หายใจลึกๆ นั่นแหละครับ แบบนั้น ไม่ต้องกังวลนะครับ
จนท. อีกคน - เดี๋ยวช่วยเซ็นรับของหน่อยนะคะ
ผมนี่แบบว่า ยกมือไหว้ขอบคุณเขาแบบชาวไทยสวยๆ (แต่บอกออกมาเป็นภาษาอังกฤษ) เลยครับ จากนั้นผมก็ได้ของรักของหวงผมกลับมา เดินกลับไปขึ้นรถราง กลับไปยัง Gate ที่รอเครื่องไปนาริตะ ด้วยสภาพนี่คือเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว (เพราะขาไปคือวิ่งไป) เหงื่อออกจนแบบว่าไม่กล้านั่งที่มีผู้โดยสารคนอื่นนั่งอยู่ข้างๆ เลยครับ
ตอนผมบินไปรอบปี 2017 ผมก็ดันลืมกระเป๋ากล้องไว้ตรงสนามบินสุวรรณภูมิ (ที่มีพาสสปอร์ตอยู่ในนั้น ซึ่งฝรั่งที่นั่งข้างๆ เขาช่วยเฝ้าให้ รอบนี้ดันลืมไว้ที่มาเลเซีย! โชคดีมากที่เจอ เจ้าหน้าที่นิสัยดี และโชคดีที่ไม่เผลอบินไปญี่ปุ่นแล้ว
ขอโทษค้าบบบ จะไม่ลืมแล้วค้าบบบบ
แต่ถึงแม้ว่าด้วยการที่ผมต้องเสียเวลาวิ่งกลับไปเอากระเป๋าแล้ววิ่งกลับมา (ข้ามอาคารคนละอาคาร) แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะถ่ายเก็บบรรยากาศใน GATE ที่รอเครื่องบินไปยังนาริตะ โดยจุดที่นั่งรอนั้นจะมีทั้งหมดสองชั้นเลย ชั้นบนนั้นจะมีห้องนํ้า ซึ่งเก้าอี้ก็จะดูดี เดาไม่ยากว่าข้างบนนั้นสำหรับผู้โดยสารที่นั่งชั้นธุรกิจแน่นอน
สำหรับชั้นล่างนั้นที่มีคนเยอะกว่า ก็เดาได้ไม่ยากอีกว่านั่นนะคือชั้นประหยัดที่พวกกระเป๋าอยู่แน่นอน
เที่ยวญี่ปุ่นฉบับไม่มีล่าม ทริป 5 วันเอาคุ้ม ตอนแรก - เริ่มเดินทางกับมาเลเซียแอร์ไลน์
(สามารถอ่านวีรกรรมของผมตอนไปปี 2017 ได้ที่นี่ฮะ - https://ppantip.com/topic/38496564)
หลังจากการไปทริปตอนปี 2017 ซึ่งเปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ เพราะว่าเป็นทริปที่ไม่มีเพื่อนที่พูดญี่ปุ่นได้ไปด้วย เป็นครั้งแรกที่นำทางคนอื่น และก็ได้เจอในสิ่งที่ไม่เคยเห็น และเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมคิดได้ว่า จะต้องกลับไปอีก
แต่เนื่องจากผมไม่ใช่คนมีเงิน ไม่สามารถไปบ่อยๆ ได้ และอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมยังไม่เคยเจอเลย จากการไปต่างประเทศมาแล้ว 5 รอบคือ.... ไม่เคยเจอหิมะเลย ทั้งๆ ที่ผมเกลียดอากาศร้อน ชอบอากาศหนาว (คือทั้งบ้านมีผมชอบอยู่คนเดียว จนโดนบอกบ่อยๆ ว่าหิมะมันอันตราย) ด้วยความที่ผมเคยคิดตั้งแต่ตอนจบทริป 2017 ผมจะกลับไปอีกครั้ง ผมจึงได้คิดจะกลับไปอีกครั้ง
แล้วรอบนี้ บ้ากว่าเดิม
ช่วงเวลาเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่ผมทำงานเยอะ (ด้วยเงินอันกระต๋อย) ผมเกิดอาการเครียด ประกอบกับเจอคนใน FACEBOOK ไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเอารูปมาอวด ผมเลยอยากจะไปด้วย แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของผมก็คือ ไปเจอหิมะให้ได้ แต่หลังจากที่เจอเพื่อนใน FACEBOOK ไปเที่ยวแล้วเจอซากุระมา ผมก็คิดไปคิดมาว่า เราก็ไม่ได้มีเงินไปเที่ยวได้บ่อยๆ ไปทั้งที ขอไปรอบเดียวแล้วให้เจอทั้งซากุระแล้วก็เจอหิมะด้วยเลยดีกว่า
(จนได้ตั้งกระทู้ตามนี้ - https://ppantip.com/topic/37859814 )
และเมื่อเงินผมพร้อมซื้อตั๋วเครื่องบิน (แต่ไม่พร้อมทั้งทริป) โปรโมชั่นแอร์เอเชียออกพอดี ผมจึงตั้งเป้าว่าจะจอง แต่พอเช็คราคาคนเดียวแล้ว ปรากฎว่าที่พักแบบมีห้องส่วนตัว ราคาแพง แต่ถ้าไปสองคนจะถูกกว่า ผมก็เลยหาเหยื่อ... เอ้ย หาเพื่อนที่เคยร่วมทริปไปรอบที่แล้ว ถามว่า สนใจจะไปด้วยไหม?
ปฏิเสธ 3 คน แต่คนที่ 4 บอกว่าไปด้วย ผมเลยบอกว่า งั้นโอนเงินมาเลย จะได้จองเลย
ใช่... ผมไปบังคับเขาให้เขามีเวลาคิดแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วเขาก็โอนเงินมาจริงๆ! (ซึ่งเขาก็บอกออกมาตรงๆ ว่า เขาก็กำลังอยากไปอีกรอบเหมือนกันอยู่พอดี)
แต่เนื่องจากเขาโอนช้าไปนิดเดียว โปรแอร์เอเชียหายไป ราคาพุ่งขึ้น ณ เวลานั้นมีสายการบินที่ราคาโอเคที่สุดก็คือ มาเลเซียแอร์ไลน์ แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงเรียงนามของสายการบินนี้ ทำให้เพื่อนผมไม่มีใครอยากไปสายการบินนี้กัน แต่ด้วยการที่ผมไม่เคยจองช่วงที่มีหิมะ ผมไม่รู้ว่าช่วงที่ผมไปจะถูกหรือแพง ผมก็เลยถามเพื่อนผมคนนี้ แล้วก็ตัดสินใจจองกันเลย... ที่พักและตั๋วเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ราคาพิเศษ!!
หลังจากนั้นสองวันต่อมา แอร์เอเชียเล่นปล่อยราคาโปรออกมาอีกรอบแถมดันถูกกว่าเดิม
ผ่านไปอีก 2 เดือนกว่าๆ แอร์เอเชียเปิดเส้นทางใหม่ ไปนาโกย่า
ไทยไลออนแอร์ ก็เปิดเส้นทางบินตรง
สกู๊ต ก็ลดราคาโปรสู้อีก
อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม....
--------------------------------------------------
(*** คลิปแบบจัดเต็มครับ โดยทั้งบทความและคลิปจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่เล่าแตกต่างกัน *** )
ทริปรอบนี้ มีผมกับเพื่อนเดินทางกันสองคน จึงทำให้การวางแผนอะไรง่าย
เดิมที ผมวางแผนแบบสิ้นคิดมาก คือไป 5 วัน เลยวางแผนแบบง่ายๆ ว่า เที่ยวในเมือง 2 วัน ซื้อของ ช๊อปปิ้ง อีกสามวันคือไปนอกเมือง หิมะวันนึง ซากุระอีกวัน และวันที่เหลืออีกวันไปไหนก็ได้ คือไม่มีอย่างอื่นคิดในหัวเลย ในใจมีแต่ซากุระกับหิมะอย่างเดียว
แล้วก็ไปไล่อ่านบทความรีวิว ไปดูคลิป YOUTUBE คนที่ไปดูซากุระ ดูหิมะแบบบ้าคลั่ง ชนิดที่เรียกว่าเหมือนเสพย์ติด วันไหนไม่ได้ดูเหมือนจะลงแดง คือ ตัวผมอายุก็เข้าเลข 3 (ณ วันที่เขียนบทความ) แล้ว มันก็ตลกดี ที่ผมตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
ไปๆ มาๆ ด้วยการที่ผมไปแค่ 5 วัน (เพราะเดือนมีนาคม ผมจัดงานอีเวนท์ จะไปยาวๆ ก็ใช่ที) ก็เริ่มีความคิดมาว่า ไปๆ ก็ทั้งที และก็ไม่ได้ไปบ่อยๆ จะไปแค่นี้เองเหรอ?
ทันใดนั้น ก็เหลือบไปเห็นว่า มีโปรโมชั่นโรงแรมที่ติดลานสกีสำหรับคนไทยมา
บวกกับ ตอนนั้นผมวางแผนจะไปคุซัทสึ ออนเซ็น แต่ด้วยระยะทางที่ไกลมาก ผมกลัวเรื่องเวลา ก็เลยเปลี่ยนแผนจากคุซัทสึ แล้วก็ไปที่นี่แทน เพราะก็ใกล้ลานสกี GALA ที่ผมจะไปด้วย
และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้อีกวันคุ้มกว่าเดิมไปซะ โดยการถามเพื่อนว่า เฮ้ย วันแรก ไปดิสนีย์แลนด์กันเลยไหม? ที่นี่ไม่เคยไปเลย
เพื่อนบอก ไป
แน่นอนว่า จากเดิมที่กะจะไปแบบเอาประหยัด รอบนี้เลยกลายเป็นเอาคุ้มที่สุดซะงั้น
และนั่นแหละที่ทำให้ทริปนี้บ้าที่สุด
ซึ่งก็เสียดายว่า ไม่สามารถทำได้ครบในรายการที่วางแผนเอไว้เช่นกัน
---------------------------------------
หมายเหตุก่อนอ่านต่อ : ทางผมได้รับเครื่องสมาร์ทโฟน Honor 10 Lite มารีวิวด้วย ในบางภาพของการเดินทางนี้จะมีภาพที่ถ่ายด้วย Honor 10 Lite แทรกมาด้วยนะครับ
และแล้วก็มาถึง วันที่พวกผมรอคอย คือวันเดินทาง
ด้วยความตื่นเต้น (?) ผมได้เดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาที่กำหนด ส่วนตัวผมก็เลยลงมาแลกเงินด้านล่าง ซึ่งค่าเงินเรทของซุปเปอร์ริทสีส้มจะไม่ได้แตกต่างจากสาขาด้านนอก สำหรับการเดินทางงวดนี้ผมได้มีการแบ่งเงินเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั่นก็คือแลกเป็นเงินสดไป และอีกส่วนคือ ใส่ไว่ใน กรุงไทย Travel Card โดยเงินค่าที่พักที่ยังไม่ได้จ่ายกับเงินซื้อของบางส่วนผมจะเก็บไว้ในนั้นแยกกันครับ (ปล. ผมไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆ จากทาง กรุงไทย นะฮะ
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมได้ใช้ซิมของ DTAC Go Inter ซึ่งไม่เคยใช้มาก่อน แต่ที่เอามาลองใช้นั่นก็เพราะ เขามีโปรพร้อมกับประกันเดินทาง และส่วนลดค่าแท็กซี่ Grab มาสนามบิน 50% (ตอนแรกๆ ผมว่าจะใช้แอร์พอร์ตลิ้งไป แต่ผมมีกระเป๋าไปเยอะมาก (กระเป๋าลาก 2 + กระเป๋าสะพาย 1 + กระเป๋ากล้องอีก 3) เลยไปแท็กซี่ดีกว่า (เหตุที่มีกระเป๋าลากงอกเพิ่มมาอีกใบ เพราะว่าน้องสาวผมไปเรียนที่นู่น จะกลับวันเดียวกับผม และฝั่งนั้นกระเป๋าไม่พอ เลยขอให้ผมเอากระเป๋ามาด้วย) ส่วนเพื่อนผมไปใช้บริการ พ็อคเกจไวไฟเอา
หลังจากโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เลยชวนเพื่อนผมไปกินอาหารกันก่อน โดยร้านอาหารที่ผมพาไป ผมก็เพิ่งไปครั้งแรก นั่นก็คือเป็นร้านอาหาร (ไม่) ลับ ของสนามบิน ซ่อนอยู่ตรงโซนเรียกแท็กซี่ ด้านในนี้มีอาหารจานละ 40 - 50 บาท ตามราคามาตราฐานแบบไทยๆ (แต่ก่อนถ้าไม่มีคนมาบ่นๆ ว่าอาหารสนามบินแพง ที่นี่จะมีคนรู้จักไม่กี่คนเอง) ด้านในนี้มีชานมไข่มุกขายด้วยนะครับ ก็แอบซ่อนอยู่ด้านในหลืบเช่นกัน (ชมได้ตามคลิปครับ โดยคลิปนี้ผมทดลองเอามือถือหมี่โป๊ะโกะถ่ายแล้วตัดต่อในมือถือครั้งแรก)
มีผีน้อยโดดร่มที่เกาหลีใต้เยอะจนถึงกับต้องมีศูนย์ดูแลให้โดยเฉพาะเลยเหรอเนี่ย!!
เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่จะเอาพวกผมไปหย่อนก่อนที่กัวลาลัมเปอร์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องไปยังญี่ปุ่นครับ
เพื่อการเอาตัวรอด! ขอกรอกนํ้าให้เต็มก่อนขึ้นเครื่อง
สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่ผมขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ โดยส่วนตัวผมก็ถือว่าโอเคอยู่ในระดับของสายการบิน ฟูลเซอร์วิส ขนาดที่นั่งนั้นก็ให้กว้างพอๆ กับของเวียดนามแอร์ไลน์ และผมเจออีกหนึ่งกฎก็คือ ตอนเครื่องบินขึ้นกับลง พนักงานจะบังคับให้ปิดมือถือไปเลย (คือเปิดโหมดการบินก็ไม่ได้) คงเพราะว่าต้องการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด หลังจากเหตุการณ์อย่างที่ทุกท่านทราบนั่นแหละครับ
อาหารบนเครื่องมื้อแรก ซึ่งส่วนตัวผม ผมรู้สึกว่า ของเวียดนามแอร์ไลน์ทำอร่อยกว่าเย้อ
หลังจากเครื่องบินลงแล้ว พวกผมต้องไปนั่งรถรางของสนามบิน เพื่อไปยังอาคารผู้โดยสารอีกที่หนึ่ง ตอนแรกๆ ผมก็คิดว่าคล้ายๆ กับของที่สิงคโปร์ แต่รถรางของที่นี่ไปได้เร็วกว่ามาก และอาคารผู้โดยสารก็ใหญ่และกว้างมากด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้ผมเจอหายนะอย่างแรกที่เกิดขึ้นในการเดินทางละครับ
ผมลืมกระเป๋า
ด้วยการที่ผมมีกระเป๋าสะพายเยอะมาก, กำลังมึนๆ และมัวแต่โฟกัสเรื่องเอามือถือเอามาถ่ายวีดีโอเก็บไว้ เลยลืมไปว่าลืมกระเป๋าไว้บนเครื่องบิน รู้ตัวก็คือตอนกำลังจะเข้าด่านสแกนที่เข้าไปนั่งรอเครื่องบินนั่นแหละ และผมมีเวลารอเครื่องบินตามกำหนดการคือชั่วโมงเดียว
ผมรีบบอกเพื่อน ฝากกระเป๋าแล้ววิ่งกลับไปยังอาคารผู้โดยสารเดิมที่ผมลงเครื่องบินมาเลยครับ (ต้องขึ้นรถรางกลับไปยังอาคารเดิมด้วย) และวิ้งเข้าไปยังทางออกที่ออกมา ซึ่งมีบันไดเลื่อนบังคับขึ้นอย่างเดียว แต่ผมฝืนวิ่งลงไป (บันไดเลื่อนพอรู้ว่ามีคนฝืนวิ่งก็หยุด) แล้วก็เจอพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสองคน เหมือนกำลังรอผมกลับมาเอาของอยู่
ตอนผมอยู่บนเครื่องบิน ผมนั่งคิดเล่นๆ ในใจว่า ผมไม่ได้ไปต่างประเทศมาตั้งเป็นปี และชีวิตประจำวันของผมแทบไม่ได้พูดอังกฤษเลย ผมยังคิดๆ เลยว่าผมจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไหม คำตอบก็คือ ตอนที่ไปแสดงตัวเองว่าเป็นเจ้าของกระเป๋านี่ ผมพูดอังกฤษปร๋อเลย ถ้าจะให้แปลบทสนทนาเป็นไทยก็
จนท. - มาเอากระเป๋าใช่ไหมครับ?
ผม - ใช่ ใช่ นี่ของผม ผมสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คือกระเป๋าของผม (เข้าใจที่เขาถามได้ทันที 100% โดยไม่ต้องนั่งคิด)
จนท. - โว้โว้โว้ ใจเย็นๆ ครับ ใจเย็นๆ กระเป๋าของคุณอยู่แน่นอน ผมเปิดกระเป๋าดูเพื่อเช็คดูว่าข้างในมีอะไรบ้าง แต่ไม่ได้เอาอะไรไปนะครับ
ผม - ครับ ครับผม ผม ผมยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของผมแน่นอนครับ (พูดไปหอบไป)
จนท. เปิดกระเป๋าออกมาแล้วชี้ให้ผมดูของด้านใน
จนท. - โอเค มีโน๊ตบุ๊คอยู่เครื่อง และ Ipad อยู่อีกอัน ถูกไหมครับ?
ผม - ใช่ครับ ใช่เลย
จนท. - โอเค ไม่ต้องห่วง คุณจะบินไปนาริตะใช่ไหม? ยังมีเวลาอยู่ครับ ใจเย็นๆ นะครับ หายใจลึกๆ นั่นแหละครับ แบบนั้น ไม่ต้องกังวลนะครับ
จนท. อีกคน - เดี๋ยวช่วยเซ็นรับของหน่อยนะคะ
ผมนี่แบบว่า ยกมือไหว้ขอบคุณเขาแบบชาวไทยสวยๆ (แต่บอกออกมาเป็นภาษาอังกฤษ) เลยครับ จากนั้นผมก็ได้ของรักของหวงผมกลับมา เดินกลับไปขึ้นรถราง กลับไปยัง Gate ที่รอเครื่องไปนาริตะ ด้วยสภาพนี่คือเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว (เพราะขาไปคือวิ่งไป) เหงื่อออกจนแบบว่าไม่กล้านั่งที่มีผู้โดยสารคนอื่นนั่งอยู่ข้างๆ เลยครับ
ตอนผมบินไปรอบปี 2017 ผมก็ดันลืมกระเป๋ากล้องไว้ตรงสนามบินสุวรรณภูมิ (ที่มีพาสสปอร์ตอยู่ในนั้น ซึ่งฝรั่งที่นั่งข้างๆ เขาช่วยเฝ้าให้ รอบนี้ดันลืมไว้ที่มาเลเซีย! โชคดีมากที่เจอ เจ้าหน้าที่นิสัยดี และโชคดีที่ไม่เผลอบินไปญี่ปุ่นแล้ว
ขอโทษค้าบบบ จะไม่ลืมแล้วค้าบบบบ
แต่ถึงแม้ว่าด้วยการที่ผมต้องเสียเวลาวิ่งกลับไปเอากระเป๋าแล้ววิ่งกลับมา (ข้ามอาคารคนละอาคาร) แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะถ่ายเก็บบรรยากาศใน GATE ที่รอเครื่องบินไปยังนาริตะ โดยจุดที่นั่งรอนั้นจะมีทั้งหมดสองชั้นเลย ชั้นบนนั้นจะมีห้องนํ้า ซึ่งเก้าอี้ก็จะดูดี เดาไม่ยากว่าข้างบนนั้นสำหรับผู้โดยสารที่นั่งชั้นธุรกิจแน่นอน
สำหรับชั้นล่างนั้นที่มีคนเยอะกว่า ก็เดาได้ไม่ยากอีกว่านั่นนะคือชั้นประหยัดที่พวกกระเป๋าอยู่แน่นอน