สวัสดีครับ วันนี้อยากมาเล่าประสบการณ์ในฐานะที่เป็นทั้งผู้ตรวจประเมินระบบ และที่ปรึกษานะครับผม

ผมได้เข้ามาสู่แวดวงของการทำระบบคุณภาพหรือ ISO มาเป็นเวลาสามถึงสี่ปี และสิ่งที่อยากจะแชร์ให้กับทุกคนฟังคือการที่ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ท่านที่ปรึกษาคนเดิมๆ ทิ้งไว้ให้ผู้ประกอบการเคว้งคว้างทำต่อไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง ยิ่งทำยิ่งงงกันไปใหญ่

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนครับว่า ISO นั้นแม้จะเป็นมาตราฐานที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การทำระบบ ISO และเอามาตราฐานเป็นที่ตั้งแบบ 100%
เพราะมาตราฐานนั้นเขียนไว้กว้างมากๆ เพื่อให้ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม

ดังนั้นข้อกำหนดบางข้อ การตีความบางอย่าง อาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละอุตสาหกรรม ดังนั้นหน้าที่ของที่ปรึกษาคือการเข้าไปจับคู่งานของบริษัท กับข้อกำหนด ไม่ใช่นำข้อกำหนดเข้าไปยัดเยียดให้ทำ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการเข้าไปสร้างปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา

ผมชอบคำพูดนึงที่ผมจำไม่ได้ว่าท่านใดพูดเอาไว้มากครับ ว่า การทำงานอะไรก็ตาม จำเอาไว้ว่าหน้าที่ของเราคือแก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหา เพราะถ้าเราเข้าไปสร้างปัญหาแล้ว เค้าจะจ้างเราทำไม

เกริ่นกันมานาน แค่อยากจะสรุปประเด็นสั้นๆง่ายนี้ให้กับผู้ประกอบการหรือพนักงานของบริษัทที่ทำระบบได้เข้าใจตามรายละเอียดข้างล่างครับ

1. ระบบคุณภาพนั้นคือการมองสิ่งที่องค์กรทำอยู่แล้ว เปรียบเทียบกับข้อกำหนดของระบบ และปรับใช้งาน ไม่ใช่ทำงานซ้ำซ้อนเพิ่มเติม
2. การทำระบบคุณภาพ ยังไงก็เป็นสิ่งที่ทีมงานต้องเหนื่อยเพิ่มในตอนแรก แต่ในระยะยาวจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด
3. การทำระบบคุณภาพ ไม่ใช่จ้างคนนอกเข้ามาทำทุกอย่างให้ เพื่อให้ตรวจผ่าน เมื่อตรวจแล้วเราเองกลับทำต่อและรักษาระบบไม่ได้
4. ข้อกำหนดของระบบมีความสำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่าข้อกำหนดที่ลูกค้ามีให้กับเรา เพราะถ้าไม่มีลูกค้า ระบบก็ไม่มีความหมาย
5. เวลาจากการเริ่มทำระบบจนถึงได้รับการรับรองไม่ควรเกิน 5 เดือน ไม่อย่างนั้นคนจะเริ่มล้าและไม่อยากทำ

สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจทั้งผู้ประกอบการ ทั้งพนักงานที่กำลังทำระบบ หรือคิดจะทำนะครับ ขอให้รู้ว่าถ้าเราเริ่มทำแล้วมันดูแล้วยากเกินไป วุ่นวายเกินไป แปลว่ามีประเด็นอะไรผิดพลาดในแผนการทำระบบของเราแล้วครับ

ถ้าอยากได้ข้อมูลเพื่มเติม ไม่ได้ขายคอร์สนะครับ แค่อยากแบ่งบัน เข้าไปดูได้ในเพจ www.facebook.com/qualityeasy นะครับผม ผมจะทยอยลงสาระน่ารู้ไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ