เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเจ้าของกระทู้ได้ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา จึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากเพื่อนๆค่ะ
เริ่มจากเมื่อกลางปี 2018 เจ้าของกระทู้มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการหนึ่ง ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปอยู่ที่ CA,USA ในฐานะครูอาสาสอนภาษาไทยให้เด็กไทยในอเมริกา (ด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ พอจะถูๆ ไถๆ กับฝรั่งได้บ้าง) แต่ด้วยตารางงานค่อนข้างแน่นทำให้มีเวลาได้ออกไปเที่ยวไม่มากนัก จึงอยากกลับไปเที่ยวอีก โดยเฉพาะที่ San Francisco เป็นเมืองที่น่าเที่ยวมาก เสียดายที่ตอนอยู่ที่นู่นมีเวลาเที่ยวใน San Francisco แค่นิดเดียว
หลังจากกลับมาที่ไทยเจ้าของกระทู้ก็กลับมาทำงานตามปกติและวางแผนไว้ว่าช่วงปิดเทอมเดือนเมษายน 2019 จะกลับไปเที่ยวอีก จึงเริ่มหาข้อมูลการเดินทาง สถานที่ที่จะไป จองแรมโรมผ่าน Booking ไว้ เพราะสะดวกสามารถยกเลิกได้ฟรี เมื่อข้อมูลการเดินทาง เอกสาร และประมาณค่าใช้จ่ายพร้อมเจ้าของกระทู้ก็ได้สมัครกรอก DS 160 เองเพื่อนัดสัมภาษณ์วีซ่า โดยมีข้อมูลคราวๆ ที่กรอกไปดังนี้
1. ขอวีซ่า B1/B2 เพื่อจะเดินทางไปเที่ยว เดินทางคนเดียว (เพื่อนไม่ว่าง อีกทั้งเคยไปมาแล้วคิดว่าน่าจะรอด 555)
* ในช่องนี้ตอนที่ขอวีซ่าไปกับโครงการเจ้าของกระทู้ขอวีซ่าเป็น B1/B2 แต่ได้วีซ่าประเภท B1 ครั้งนี้มีช่องถามว่า คุณจะขอวีซ่าแบบเดิมไหม เลยตอบว่าไม่ และขอเป็น B1/B2 ไป
2. ไป 12 วัน เที่ยวใน San Francisco 1 อาทิตย์ จะซื้อทัวร์ไปเที่ยว Yosemite 1 วัน ที่เหลือก็จะเที่ยวเมืองรอบๆ San Francisco
3. สถานะโสด อายุ 20 ปลายๆ ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดค่ะ มีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 120,000 บาท (ยังไม่รวมเงินเดือนของเดือนมีนาคมและเงินสดอีก 1,000 USD) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ประมาณไว้ว่าไม่เกิน 90,000 บาท
4. ในช่องกรอกอาชีพเลือกเป็น Government เพราะรับราชการครู มาเกือบจะ 4 ปีแล้วค่ะ เงินเดือน 19,920 บาท อธิบายหน้าที่การงานในช่องที่เขาให้มากเยอะพอสมควรค่ะ
** ตอนที่ขอวีซ่าไปกับโครงการเจ้าของกระทู้เลือกเป็น Education และในช่องอธิบายว่าเป็นครู (เพราะเข้าใจว่ามันเใช้ด้วยกันได้ และตอนนั้นยังไม่รู้ว่า Government คืออะไร เพิ่งจะมารู้ทีหลังภาษาอังกฤษเพลียไปอีกค่ะ)
5. กรอกไปว่าไม่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ที่นั่น เพราะตอนอยู่ที่อเมริกาไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยกรอกไปว่าไม่รู้จักใครค่ะ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ถามกลัวตอบไม่ได้ ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ในอเมริกากรอกเป็นสถานทูตไทยในอเมริกาไปค่ะ
6. ที่พักใน San Francisco ส่วนใหญ่จองเป็น Hostel ค่ะ เป็น share room ราคาต่อคืนไม่แพงมาก ส่วนนอกเมืองก็จองเป็นโรงแรมทั่วๆไป
7. เคยเดินทางไป ฮ่องกง และ อเมริกามาแล้ว
หลังจากที่กรอก DS 160 จ่ายเงินและนัดวัดสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมตัว เตรียมเอกสาร ซ่อมตอบคำถามทุกวัน เครียดระดับ 10 กลัวไม่ผ่าน เพราะตั้งใจและจ่ายเงินค่าสมัครวีซ่า ค่าที่พัก ค่าเดินทางไปสัมภาษณ์ ไปเกือบ 10,000 บาท เจ้าของกระทู้เตรียมเอกสารที่จะนำไปในวันสัมภาษณ์วีซ่าดังนี้
1. DS 160
2. ใบยืนยันการนัดสัมภาษณ์
3. ใบเสร็จจ่ายเงินค่าวีซ่าจากธนาคารกรุงศรี
4. passport (ปี 2017 ไปเที่ยวฮ่องกง ปี 2018 ได้วีซ่า B1 ไปอยู่อเมริกา 3 เดือน)
5. รูปถ่าย
6. ใบรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ (ระบุที่ทำงานเวลาทำงาน เงินเดือน หน้าที่ และผอ.รับรองว่าจะกลับมาทำงาน)
7. ใบรับรองเงินจากธนาคาร
8. Statement ของบัญชีหลักย้อนหลัง 6 เดือน
9. แผนการเดินทางระบุไฟลท์บิน สถานที่ท่องเที่ยว วิธีการเดินทางไปแต่ละที่ ที่พักแต่ละคืน ระบุงบประมาณทั้งหมดตลอดทริป
10. สำเนาบัตรข้าราชการ
11. บัตรประชาชน (ใช้ฝากโทรศัพท์มือถือ)
12. สำเนาทะเบียนบ้าน
13. ใบกำกับการเสียภาษี
14. ใบจองโรงแรม
วันสัมภาษณ์วีซ่า
เจ้าของกระทู้เดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานี เพลินจิต จากนั้นนั่งรถพี่วินให้พี่วินพาไปฝากกระเป๋าเป้กับคุณลุงหน้า 7-11 ค่าฝากกระเป๋า 100 บาท แล้วนั่งพี่วินไปลงหน้าสถานทูต ถึงสถานทูตประมาณ 6.20 น. ซึ่งเจ้าของกระทู้ได้คิวนัดสัมภาษณ์วีซ่ารอบ 7.00 น. ซึ่งเป็นรอบเช้าสุด เมื่อมาถึงหน้าสถานทูตก็จะมีเจ้าหน้าที่แรกตรวจใบนัดสัมภาษณ์และ passport จากนั้นก็เข้าไปในอาคารจะมีเจ้าหน้าที่รับฝากโทรศัพท์มือถือและscan ร่างกายเหมือนเวลาไปสนามบิน เมื่อเรียบร้อยแล้วก็หยิบเอกสารและกระเป๋าถือของตัวเองเดินไปรอเจ้าหน้าที่เรียกตรวจเอกสารอีกรอบ ขั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่จะเรียกเป็นรอบที่นัดสัมภาษณ์นะคะ โชคดีที่เจ้าของกระทู้นัดรอบเช้าสุดเลยไม่ต้องรอเรียกนาน หลังจากยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว เราจะได้โค้ดไปรษณีย์สำหรับติดตาม passpost ที่สถานทูตจะส่งกลับมาให้ถ้าได้รับวีซ่าค่ะ เราต้องจดโค้ดนี้ไว้ทุกคนนะคะ
จากนั้นก็เดินเข้ามาในตัวอาคารซึ่งเป็นอาคารสำหรับการสัมภาษณ์วีซ่าค่ะ ลักษณะคล้ายกับห้องที่มีช่องจ่ายยาตามโรงพยาบาลค่ะ เมื่อเข้ามาแล้วให้เรายืนต่อแถวรอตรวจเอกสารอีกรอบ ในขั้นตอนนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่คนไทยซักถามประวัติเราคราวๆค่ะ
เจ้าของกระทู้ : สวัสดีค่ะ ยื่น passport และ DS 160 ให้
เจ้าหน้าที่คนไทย : สวัสดีค่ะ เคยเปลี่ยนชื่อนามสกุลมาก่อนไหมคะ
เจ้าของกระทู้ : เคยเปลี่ยนตอนอายุ 2 ขวบค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : ชื่ออะไรคะ พอจะสะกดเป็นภาษาอังกฤษได้ไหมคะ
เจ้าของกระทู้ : สะกดไป ไม่แน่ใจนะคะ (ไม่เคยรู้ด้วยว่าชื่อนี้สะกดยังไง เลยสะกดไปตามตัวเลย ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด)
เจ้าหน้าที่คนไทย : จะไปทำอะไรคะ
เจ้าของกระทู้ : จะไปเที่ยวค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : ไปเที่ยว! ไม่ได้ไปเป็นครูอาสาหรือคะ
เจ้าของกระทู้ : ไปมาแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : กลับมาเมื่อไหร่คะ
เจ้าของกระทู้ : กันยายน 2018 ค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : สแกนลายนิ้วที่เครื่องด้านหน้าค่ะ
เจ้าของกระทู้ : สแกนลายนิ้วมือ แต่มือไหลออกเยอะสแกนไม่ติด เจ้าหน้าที่เลยบอกให้เช็ดมือแล้วสแกนใหม่ (ก็คนมันตื่นเต้น 555)
เจ้าหน้าที่คนไทย : เรียบร้อยค่ะ แล้วยื่นเอกสารคืนให้
จากนั้นเดินไปต่อแถวรอเจ้าหน้าที่ต่างชาติอีกคนเรียกสแกนลายนิ้วมืออีกรอบ ไม่ต้องกังวลนะคะเจ้าหน้าต่างชาติทุกคนพูดไทยได้ เมื่อสแกนลายนิ้วมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเข้าแถวรอสัมภาษณ์วีซ่าค่ะ ระหว่างรอเจ้าหน้าที่มาประจำช่องสัมภาษณ์ เจ้าของกระทู้ตื่นเต้นมากเลยชวนพี่ๆที่ยืนใกล้กันคุย ซักถามกันคราวๆ ว่าจะไปไหนไปทำอะไร และก็ให้กำลังใจกันและกัน 555 ซักพักเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ก็เริ่มมาประจำตำแหน่งของตัวเอง วันนั้นมีเจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์วีซ่าชั่วคราวอยู่ 4 ช่อง มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นหญิงสาวชาวเอเชีย 1 คน เป็นคุณลุงฝรั่งท่าทางใจดี 1 คน ฝรั่งวัยกลางคนอีก 2 คน รู้สึกวันนั้นจะไม่เห็นเจ้าหน้าที่ผิวสีเลยค่ะ
ระหว่างที่รอคิวก็มีทั้งคนผ่านและไม่ผ่าน จำได้มีผู้ชายคนหนึ่งไปสัมภาษณ์คนเดียว ปรากฏว่าไม่ผ่าน แต่เท่าที่สังเกตส่วนใหญ่จะผ่าน (คำว่าส่วนใหญ่หมายถึงคนที่สัมภาษณ์ก่อนเจ้าของกระทู้นะคะ ประมาณ 10 คน มีไม่ผ่าน 2-3 คนนี่แหละค่ะ) ส่วนตัวเจ้าของกระทู้อยากจะสัมภาษณ์กับคุณลุงฝรั่งนะคะดูสบายๆไม่เครียดแต่ก็ไม่สมหวังเพราะเมื่อถึงคิวเจ้าของกระทู้ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชียว่าและเรียกเจ้าของกระทู้ไปT^T เลยทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปนึกถึงคำที่เพื่อนที่ได้วีซ่าแล้ว บอกไว้ว่าให้ทักทายเป็นภาษาไทยไว้ก่อนเลยเพราะเพื่อนก็สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยและได้วีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีมาครองเรียบร้อย
ตอนสัมภาษณ์
เจ้าของกระทู้ : สวัสดีค่ะ ยกมือไหว้และซีกยิ้มสวยให้ หัวใจเต้นประหนึ่งกลองเพล
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : #%@!#$%%&*
เจ้าของกระทู้ : 0_0 What ? ถามออกไปด้วยอาการงงๆ ลืมคิดประโยคสุภาพไปเลย กรรม! คิดในใจว่าถามแล้วหรอคะ ไหนมาเป็นภาษาอังกฤษรัวเลย พูดเบาด้วย อาย ฟาง มาย ทานนนน
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า จะไปอเมริกาทำไม
เจ้าของกระทู้ : ด้วยอารามตื่นฝรั่ง ลืมประโยคที่ซ่อมมาจนหมดสิ้น เลยตอบเป็นภาษาอังกฤษไปว่า ไปเที่ยวช่วง Vacation จะไป San Francisco 7 วัน ไป Yosemite และเมืองใกล้ๆ บอกชื่อเมืองไป
(เราพอจะฟังและพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ไม่ได้คล่องหรือเก่งขนาดนั้น)
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : พิมพ์อะไรไม่รู้ซักพัก แล้วถามต่อเป็นภาษาอังกฤษว่า จะไปเที่ยวกับใคร
เจ้าของกระทู้ : ตอบเป็นภาษาอังกฤษไปว่า โอ้ว ฉันจะไปเที่ยวคนเดียวค่ะ
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : พิมพ์อะไรไม่รู้ซักพักใหญ่ แล้วพูดว่า เสียใจด้วยคูรไม่ได้รับวีซ่า พร้อมยื่นกระดาษแผ่นสีขาวที่บอกเหตุผลว่าคุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
เจ้าของกระทู้ : 0_0 อึ้ง พูดไม่ออก รับ passportคืน กล่าวขอบคุณเสียงอ่อย รู้สึกงง เสียใจ สงสัย ตีกันเต็มไปหมด
จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็มารับโทรศัพท์คืนแล้วเดินออกมาหน้าสถานทูตด้วยความรู้สึกเสียใจผิดหวัง สงสัย เสียดายเงิน และเจ็บใจ รู้สึกน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้เลยรีบเดินไปที่ห้างใกล้ๆ ไปร้องไห้ในห้องน้ำเป็นชั่วโมง ไม่เข้าใจ ถามแค่ 2 คำถาม เอกสารไม่ดู การงานก็ไม่ถามทำไมถึงตัดสินเราแล้วว่าไม่มีคุณสมบัติ ทั้งที่เราก็เคยไปและกลับมาตามกำหนด เงินการครอบคลุมค่าใช้จ่าย การงานก็เชื่อถือได้ นึกไม่ออกเลยจริงๆหรือเพราะเป็นสาวโสดเดินทางคนเดียว อายุน้อยหรือค่ะ อยากขอความคิดเห็นจากทุกคนหน่อยค่ะว่าน่าจะเกิดจากอะไร ข้อมูลไม่เพียงพอ หรือมีข้อผิดพลาดตรงไหน จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไข เพราะตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะขอใหม่อีกรอบ จะได้ไม่เสียใจอีกค่ะ
***ขอเพิ่มเติมข้อมูลบ้างส่วนในประเด็นที่มีคนสงสัยนะคะ ในที่นี้ของเปลี่ยนคนสรรพนามแทนตัวเป็นคำว่า "เรา" เพื่อความกระชับค่ะ
- เรื่องเงิน ที่ว่า"มีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 120,000 บาท (ยังไม่รวมเงินเดือนของเดือนมีนาคมและเงินสดอีก 1,000 USD) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ประมาณไว้ว่าไม่เกิน 90,000 บาท" ข้อมูลต้องนี้จะเห็นว่า หลังจากไปเที่ยว ยังมีเงินสำหรับดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไม่ลำบาก เพราะยังเหลืออีกประมาณ 60,000 บาท หรือมากว่านั้น เพราะงบ 90,000 บาท ได้คำนวณเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ไม่จำเป็นไว้แล้ว 1,000 USD
- ด้วยโครงการที่เราไปมีลักษณะการทำงาน และความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากเด็ก work ออแพ หรือคนที่ไปเรียน คือ อยู่กับคนไทย นักเรียนร้อยละ 80 เกิดจากพ่อแม่คนไทย ที่เหลือเป็นลูกครึ่งไทย เวลาสอนเราพูดภาษาไทยตลอด ถ้าเด็กพูดอังกฤษมาก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้าง เวลาไปเที่ยวหรือออกไปทำธุระข้างนอกก็มีคนไทยพาไป แต่แน่นอนเราสามารถพูดคุยตอบโต้ในประโยคพื้นฐานได้ แต่ไม่ได้พูดฉะฉาน คล่องแคล่ว ไปข้างนอกเราสามารถสั่งอาหาร ถามทาง ซื้อของ ได้ สกุลเงินก็ใช้จ่ายได้ไม่ผิด พูดง่ายๆ ตอนอยู่ 3 แทบจะไม่ได้พูดหรือฝึกภาษาอังกฤษมากนักเลย
ป.ล. ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ตั้งกระทู้ แต่อดสงสัยไม่ไหวและอยากแชร์ให้คนที่กำลังจะขอวีซ่าได้เก็บเป็นข้อมูลเผื่อจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านคนอื่นๆค่ะ อีกทั้งนี่เป็นกระทู้แรกแรกของเจ้าของกระทู้ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด เจ้าของกระทู้ต้องขออภัยและน้อมรับทุกคำติชอบนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบกระทู้ค่ะ
ข้าราชการครูขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา B1/B2 เดือนมีนาคม 2019 (ไม่ผ่าน)
เริ่มจากเมื่อกลางปี 2018 เจ้าของกระทู้มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการหนึ่ง ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปอยู่ที่ CA,USA ในฐานะครูอาสาสอนภาษาไทยให้เด็กไทยในอเมริกา (ด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ พอจะถูๆ ไถๆ กับฝรั่งได้บ้าง) แต่ด้วยตารางงานค่อนข้างแน่นทำให้มีเวลาได้ออกไปเที่ยวไม่มากนัก จึงอยากกลับไปเที่ยวอีก โดยเฉพาะที่ San Francisco เป็นเมืองที่น่าเที่ยวมาก เสียดายที่ตอนอยู่ที่นู่นมีเวลาเที่ยวใน San Francisco แค่นิดเดียว
หลังจากกลับมาที่ไทยเจ้าของกระทู้ก็กลับมาทำงานตามปกติและวางแผนไว้ว่าช่วงปิดเทอมเดือนเมษายน 2019 จะกลับไปเที่ยวอีก จึงเริ่มหาข้อมูลการเดินทาง สถานที่ที่จะไป จองแรมโรมผ่าน Booking ไว้ เพราะสะดวกสามารถยกเลิกได้ฟรี เมื่อข้อมูลการเดินทาง เอกสาร และประมาณค่าใช้จ่ายพร้อมเจ้าของกระทู้ก็ได้สมัครกรอก DS 160 เองเพื่อนัดสัมภาษณ์วีซ่า โดยมีข้อมูลคราวๆ ที่กรอกไปดังนี้
1. ขอวีซ่า B1/B2 เพื่อจะเดินทางไปเที่ยว เดินทางคนเดียว (เพื่อนไม่ว่าง อีกทั้งเคยไปมาแล้วคิดว่าน่าจะรอด 555)
* ในช่องนี้ตอนที่ขอวีซ่าไปกับโครงการเจ้าของกระทู้ขอวีซ่าเป็น B1/B2 แต่ได้วีซ่าประเภท B1 ครั้งนี้มีช่องถามว่า คุณจะขอวีซ่าแบบเดิมไหม เลยตอบว่าไม่ และขอเป็น B1/B2 ไป
2. ไป 12 วัน เที่ยวใน San Francisco 1 อาทิตย์ จะซื้อทัวร์ไปเที่ยว Yosemite 1 วัน ที่เหลือก็จะเที่ยวเมืองรอบๆ San Francisco
3. สถานะโสด อายุ 20 ปลายๆ ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดค่ะ มีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 120,000 บาท (ยังไม่รวมเงินเดือนของเดือนมีนาคมและเงินสดอีก 1,000 USD) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ประมาณไว้ว่าไม่เกิน 90,000 บาท
4. ในช่องกรอกอาชีพเลือกเป็น Government เพราะรับราชการครู มาเกือบจะ 4 ปีแล้วค่ะ เงินเดือน 19,920 บาท อธิบายหน้าที่การงานในช่องที่เขาให้มากเยอะพอสมควรค่ะ
** ตอนที่ขอวีซ่าไปกับโครงการเจ้าของกระทู้เลือกเป็น Education และในช่องอธิบายว่าเป็นครู (เพราะเข้าใจว่ามันเใช้ด้วยกันได้ และตอนนั้นยังไม่รู้ว่า Government คืออะไร เพิ่งจะมารู้ทีหลังภาษาอังกฤษเพลียไปอีกค่ะ)
5. กรอกไปว่าไม่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ที่นั่น เพราะตอนอยู่ที่อเมริกาไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยกรอกไปว่าไม่รู้จักใครค่ะ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ถามกลัวตอบไม่ได้ ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ในอเมริกากรอกเป็นสถานทูตไทยในอเมริกาไปค่ะ
6. ที่พักใน San Francisco ส่วนใหญ่จองเป็น Hostel ค่ะ เป็น share room ราคาต่อคืนไม่แพงมาก ส่วนนอกเมืองก็จองเป็นโรงแรมทั่วๆไป
7. เคยเดินทางไป ฮ่องกง และ อเมริกามาแล้ว
หลังจากที่กรอก DS 160 จ่ายเงินและนัดวัดสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมตัว เตรียมเอกสาร ซ่อมตอบคำถามทุกวัน เครียดระดับ 10 กลัวไม่ผ่าน เพราะตั้งใจและจ่ายเงินค่าสมัครวีซ่า ค่าที่พัก ค่าเดินทางไปสัมภาษณ์ ไปเกือบ 10,000 บาท เจ้าของกระทู้เตรียมเอกสารที่จะนำไปในวันสัมภาษณ์วีซ่าดังนี้
1. DS 160
2. ใบยืนยันการนัดสัมภาษณ์
3. ใบเสร็จจ่ายเงินค่าวีซ่าจากธนาคารกรุงศรี
4. passport (ปี 2017 ไปเที่ยวฮ่องกง ปี 2018 ได้วีซ่า B1 ไปอยู่อเมริกา 3 เดือน)
5. รูปถ่าย
6. ใบรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ (ระบุที่ทำงานเวลาทำงาน เงินเดือน หน้าที่ และผอ.รับรองว่าจะกลับมาทำงาน)
7. ใบรับรองเงินจากธนาคาร
8. Statement ของบัญชีหลักย้อนหลัง 6 เดือน
9. แผนการเดินทางระบุไฟลท์บิน สถานที่ท่องเที่ยว วิธีการเดินทางไปแต่ละที่ ที่พักแต่ละคืน ระบุงบประมาณทั้งหมดตลอดทริป
10. สำเนาบัตรข้าราชการ
11. บัตรประชาชน (ใช้ฝากโทรศัพท์มือถือ)
12. สำเนาทะเบียนบ้าน
13. ใบกำกับการเสียภาษี
14. ใบจองโรงแรม
วันสัมภาษณ์วีซ่า
เจ้าของกระทู้เดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานี เพลินจิต จากนั้นนั่งรถพี่วินให้พี่วินพาไปฝากกระเป๋าเป้กับคุณลุงหน้า 7-11 ค่าฝากกระเป๋า 100 บาท แล้วนั่งพี่วินไปลงหน้าสถานทูต ถึงสถานทูตประมาณ 6.20 น. ซึ่งเจ้าของกระทู้ได้คิวนัดสัมภาษณ์วีซ่ารอบ 7.00 น. ซึ่งเป็นรอบเช้าสุด เมื่อมาถึงหน้าสถานทูตก็จะมีเจ้าหน้าที่แรกตรวจใบนัดสัมภาษณ์และ passport จากนั้นก็เข้าไปในอาคารจะมีเจ้าหน้าที่รับฝากโทรศัพท์มือถือและscan ร่างกายเหมือนเวลาไปสนามบิน เมื่อเรียบร้อยแล้วก็หยิบเอกสารและกระเป๋าถือของตัวเองเดินไปรอเจ้าหน้าที่เรียกตรวจเอกสารอีกรอบ ขั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่จะเรียกเป็นรอบที่นัดสัมภาษณ์นะคะ โชคดีที่เจ้าของกระทู้นัดรอบเช้าสุดเลยไม่ต้องรอเรียกนาน หลังจากยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว เราจะได้โค้ดไปรษณีย์สำหรับติดตาม passpost ที่สถานทูตจะส่งกลับมาให้ถ้าได้รับวีซ่าค่ะ เราต้องจดโค้ดนี้ไว้ทุกคนนะคะ
จากนั้นก็เดินเข้ามาในตัวอาคารซึ่งเป็นอาคารสำหรับการสัมภาษณ์วีซ่าค่ะ ลักษณะคล้ายกับห้องที่มีช่องจ่ายยาตามโรงพยาบาลค่ะ เมื่อเข้ามาแล้วให้เรายืนต่อแถวรอตรวจเอกสารอีกรอบ ในขั้นตอนนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่คนไทยซักถามประวัติเราคราวๆค่ะ
เจ้าของกระทู้ : สวัสดีค่ะ ยื่น passport และ DS 160 ให้
เจ้าหน้าที่คนไทย : สวัสดีค่ะ เคยเปลี่ยนชื่อนามสกุลมาก่อนไหมคะ
เจ้าของกระทู้ : เคยเปลี่ยนตอนอายุ 2 ขวบค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : ชื่ออะไรคะ พอจะสะกดเป็นภาษาอังกฤษได้ไหมคะ
เจ้าของกระทู้ : สะกดไป ไม่แน่ใจนะคะ (ไม่เคยรู้ด้วยว่าชื่อนี้สะกดยังไง เลยสะกดไปตามตัวเลย ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด)
เจ้าหน้าที่คนไทย : จะไปทำอะไรคะ
เจ้าของกระทู้ : จะไปเที่ยวค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : ไปเที่ยว! ไม่ได้ไปเป็นครูอาสาหรือคะ
เจ้าของกระทู้ : ไปมาแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : กลับมาเมื่อไหร่คะ
เจ้าของกระทู้ : กันยายน 2018 ค่ะ
เจ้าหน้าที่คนไทย : สแกนลายนิ้วที่เครื่องด้านหน้าค่ะ
เจ้าของกระทู้ : สแกนลายนิ้วมือ แต่มือไหลออกเยอะสแกนไม่ติด เจ้าหน้าที่เลยบอกให้เช็ดมือแล้วสแกนใหม่ (ก็คนมันตื่นเต้น 555)
เจ้าหน้าที่คนไทย : เรียบร้อยค่ะ แล้วยื่นเอกสารคืนให้
จากนั้นเดินไปต่อแถวรอเจ้าหน้าที่ต่างชาติอีกคนเรียกสแกนลายนิ้วมืออีกรอบ ไม่ต้องกังวลนะคะเจ้าหน้าต่างชาติทุกคนพูดไทยได้ เมื่อสแกนลายนิ้วมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเข้าแถวรอสัมภาษณ์วีซ่าค่ะ ระหว่างรอเจ้าหน้าที่มาประจำช่องสัมภาษณ์ เจ้าของกระทู้ตื่นเต้นมากเลยชวนพี่ๆที่ยืนใกล้กันคุย ซักถามกันคราวๆ ว่าจะไปไหนไปทำอะไร และก็ให้กำลังใจกันและกัน 555 ซักพักเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ก็เริ่มมาประจำตำแหน่งของตัวเอง วันนั้นมีเจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์วีซ่าชั่วคราวอยู่ 4 ช่อง มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นหญิงสาวชาวเอเชีย 1 คน เป็นคุณลุงฝรั่งท่าทางใจดี 1 คน ฝรั่งวัยกลางคนอีก 2 คน รู้สึกวันนั้นจะไม่เห็นเจ้าหน้าที่ผิวสีเลยค่ะ
ระหว่างที่รอคิวก็มีทั้งคนผ่านและไม่ผ่าน จำได้มีผู้ชายคนหนึ่งไปสัมภาษณ์คนเดียว ปรากฏว่าไม่ผ่าน แต่เท่าที่สังเกตส่วนใหญ่จะผ่าน (คำว่าส่วนใหญ่หมายถึงคนที่สัมภาษณ์ก่อนเจ้าของกระทู้นะคะ ประมาณ 10 คน มีไม่ผ่าน 2-3 คนนี่แหละค่ะ) ส่วนตัวเจ้าของกระทู้อยากจะสัมภาษณ์กับคุณลุงฝรั่งนะคะดูสบายๆไม่เครียดแต่ก็ไม่สมหวังเพราะเมื่อถึงคิวเจ้าของกระทู้ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชียว่าและเรียกเจ้าของกระทู้ไปT^T เลยทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปนึกถึงคำที่เพื่อนที่ได้วีซ่าแล้ว บอกไว้ว่าให้ทักทายเป็นภาษาไทยไว้ก่อนเลยเพราะเพื่อนก็สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยและได้วีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีมาครองเรียบร้อย
ตอนสัมภาษณ์
เจ้าของกระทู้ : สวัสดีค่ะ ยกมือไหว้และซีกยิ้มสวยให้ หัวใจเต้นประหนึ่งกลองเพล
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : #%@!#$%%&*
เจ้าของกระทู้ : 0_0 What ? ถามออกไปด้วยอาการงงๆ ลืมคิดประโยคสุภาพไปเลย กรรม! คิดในใจว่าถามแล้วหรอคะ ไหนมาเป็นภาษาอังกฤษรัวเลย พูดเบาด้วย อาย ฟาง มาย ทานนนน
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า จะไปอเมริกาทำไม
เจ้าของกระทู้ : ด้วยอารามตื่นฝรั่ง ลืมประโยคที่ซ่อมมาจนหมดสิ้น เลยตอบเป็นภาษาอังกฤษไปว่า ไปเที่ยวช่วง Vacation จะไป San Francisco 7 วัน ไป Yosemite และเมืองใกล้ๆ บอกชื่อเมืองไป
(เราพอจะฟังและพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ไม่ได้คล่องหรือเก่งขนาดนั้น)
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : พิมพ์อะไรไม่รู้ซักพัก แล้วถามต่อเป็นภาษาอังกฤษว่า จะไปเที่ยวกับใคร
เจ้าของกระทู้ : ตอบเป็นภาษาอังกฤษไปว่า โอ้ว ฉันจะไปเที่ยวคนเดียวค่ะ
เจ้าหน้าที่สาวชาวเอเชีย : พิมพ์อะไรไม่รู้ซักพักใหญ่ แล้วพูดว่า เสียใจด้วยคูรไม่ได้รับวีซ่า พร้อมยื่นกระดาษแผ่นสีขาวที่บอกเหตุผลว่าคุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
เจ้าของกระทู้ : 0_0 อึ้ง พูดไม่ออก รับ passportคืน กล่าวขอบคุณเสียงอ่อย รู้สึกงง เสียใจ สงสัย ตีกันเต็มไปหมด
จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็มารับโทรศัพท์คืนแล้วเดินออกมาหน้าสถานทูตด้วยความรู้สึกเสียใจผิดหวัง สงสัย เสียดายเงิน และเจ็บใจ รู้สึกน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้เลยรีบเดินไปที่ห้างใกล้ๆ ไปร้องไห้ในห้องน้ำเป็นชั่วโมง ไม่เข้าใจ ถามแค่ 2 คำถาม เอกสารไม่ดู การงานก็ไม่ถามทำไมถึงตัดสินเราแล้วว่าไม่มีคุณสมบัติ ทั้งที่เราก็เคยไปและกลับมาตามกำหนด เงินการครอบคลุมค่าใช้จ่าย การงานก็เชื่อถือได้ นึกไม่ออกเลยจริงๆหรือเพราะเป็นสาวโสดเดินทางคนเดียว อายุน้อยหรือค่ะ อยากขอความคิดเห็นจากทุกคนหน่อยค่ะว่าน่าจะเกิดจากอะไร ข้อมูลไม่เพียงพอ หรือมีข้อผิดพลาดตรงไหน จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไข เพราะตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะขอใหม่อีกรอบ จะได้ไม่เสียใจอีกค่ะ
***ขอเพิ่มเติมข้อมูลบ้างส่วนในประเด็นที่มีคนสงสัยนะคะ ในที่นี้ของเปลี่ยนคนสรรพนามแทนตัวเป็นคำว่า "เรา" เพื่อความกระชับค่ะ
- เรื่องเงิน ที่ว่า"มีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 120,000 บาท (ยังไม่รวมเงินเดือนของเดือนมีนาคมและเงินสดอีก 1,000 USD) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ประมาณไว้ว่าไม่เกิน 90,000 บาท" ข้อมูลต้องนี้จะเห็นว่า หลังจากไปเที่ยว ยังมีเงินสำหรับดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไม่ลำบาก เพราะยังเหลืออีกประมาณ 60,000 บาท หรือมากว่านั้น เพราะงบ 90,000 บาท ได้คำนวณเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ไม่จำเป็นไว้แล้ว 1,000 USD
- ด้วยโครงการที่เราไปมีลักษณะการทำงาน และความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากเด็ก work ออแพ หรือคนที่ไปเรียน คือ อยู่กับคนไทย นักเรียนร้อยละ 80 เกิดจากพ่อแม่คนไทย ที่เหลือเป็นลูกครึ่งไทย เวลาสอนเราพูดภาษาไทยตลอด ถ้าเด็กพูดอังกฤษมาก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้าง เวลาไปเที่ยวหรือออกไปทำธุระข้างนอกก็มีคนไทยพาไป แต่แน่นอนเราสามารถพูดคุยตอบโต้ในประโยคพื้นฐานได้ แต่ไม่ได้พูดฉะฉาน คล่องแคล่ว ไปข้างนอกเราสามารถสั่งอาหาร ถามทาง ซื้อของ ได้ สกุลเงินก็ใช้จ่ายได้ไม่ผิด พูดง่ายๆ ตอนอยู่ 3 แทบจะไม่ได้พูดหรือฝึกภาษาอังกฤษมากนักเลย
ป.ล. ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ตั้งกระทู้ แต่อดสงสัยไม่ไหวและอยากแชร์ให้คนที่กำลังจะขอวีซ่าได้เก็บเป็นข้อมูลเผื่อจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านคนอื่นๆค่ะ อีกทั้งนี่เป็นกระทู้แรกแรกของเจ้าของกระทู้ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด เจ้าของกระทู้ต้องขออภัยและน้อมรับทุกคำติชอบนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบกระทู้ค่ะ