ตามหัวข้อเลยคือไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรือนักคณิตศาสตร์แค่อ่าน พรบ.ส.ส.มาตรา 128 แล้วทำตามที่เขาบอกไว้มันก็ได้จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อละแต่ก็มีคนพยายามจะคิดวิธีอื่นแล้วบอกว่ามันถูก ข้อสังเกตที่ผมอยากจะบอกว่ามันคีย์สำคัญของพรบ.นี้ที่ถ้าทำความเข้าใจก็จะไม่ได้คิดวิธีอื่นเลยมี 2 ข้อ
1.พรบ.นี้เขียนบอกขั้นตอนและวิธีการไว้หมดแล้วเกือบสมบูรณ์แล้วคำนวนตามหัวข้อในพรบ.คือ 1-2-3-5-4-7-4 ก็จะได้ละ ถ้าสังเกตให้ดีเขาจะเขียนเอาไว้หมดเลยว่าเมื่อต้องการให้เราบวกลบคูนหารอะไรจะบอกมาเลย เช่นตั้งแต่ข้อ1นําคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหารด้วย500 แบบนี้ อันไหนทีไม่ได้บอกให้ไปคิดแสดงว่าไม่จำเป็นต้องไปคิดให้เขาแต่ก็จะมีบางคนบอกว่าต้องเอาตัวเลขมากปรับซึ่งไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่เขียนไว้เลย ถ้ามันจะมีส่วนไหนที่ไม่ได้บอกบอกแล้ว กกต.ต้องกำหนดมาผมมองตรงที่ข้อ1ที่หารแล้วตัวเลขออกมาที่ 71,065.29 จะใช้ทศนิยมกี่ตำแหน่งไม่ได้บอกไว้ สรุปคือมันมีวิธิการและขั้นตอนหมดแล้วไม่มีควรวิธีอื่น
2.อยู่ในข้อ4 ให้จัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจะได้รับให้ครบหนึ่งร้อยห้าสิบคน โดยจัดสรรให้พรรคการเมืองตามผลลัพธ์ตาม (3) เป็นจํานวนเต็มก่อน สังเกตคำนี้ที่ว่าให้เป็นจำนวนเต็มก่อน ไม่ได้ให้เอาทศนิยมมา ไม่ได้ให้ปรับขึ้นลง ว่าง่ายๆคือพรรคไหนมี 71,065.29 คะแนนครบก็เอาไป1ที่นั้งจนกว่าจะครบ 150 ที่นั้ง ส่วนเศษแยกไว้ก่อนถ้ายังได้ไม่ครบ 150 ค่อยเอามาเติมให้ครบตามลำดับใครที่มีมากกว่า คือพรบ.ให้ความสำคัญต่อ 71,065 เสียงก่อนซึ่งมันก็ชัดและง่าย ส่วน3-6หมื่นก็รอถ้าจนกว่าจะถือคิวตามลำดับ
การคิดแบบอีกวิธีที่ไปเอาเสียงพรรคเล็กมาคิดรวมด้วยนั้นไปถูกต้องตามที่เขียนไว้ในพรบ.นี้และพรรคเล็กได้ ส.ส.1เสียงเต็มไปหมดเรียกว่าใครตั้งพรรคลงสมัครเลือกตั้งลงปารตี้ลิสต์อันดับ1ก็มีโอกาสได้เป็นส.ส.เลยสมัครหน้าคงตั้งพรรคกันเต็มไปหมดอย่าเลยแค่นี้ก็ตั้งรัฐบาลยากอยู่แล้ว
ข้อสังเกตที่อยากให้แก้ไขในรัฐธรรมนูญูและพรบ.ประกอบเรื่องส.ส.บัญชีรายชื่อนี้คือในข้อ 5 ตอนท้ายที่ว่า และให้นําจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำกว่าจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (2) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจํานวนที่จะพึงมีได้ตาม (2) เพราะถ้าอ่านแค่จะเข้าใจว่าพรรคที่คำนวนมาแล้วไม่ถึง1คน พรรค3-6หมื่นจะคำนวนได้ 0.99จะไม่มีสิทธิได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย และมันจะมีผลการเลือกตั้งบางรูปแบบที่จะทำให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึง 150 ซึ่งอาจเป็นปัญหา แต่ผมเองเข้าใจว่าคนเขียนนั้นได้พยายามจะขยายความในมาตรา 128 ข้อ 2 ไว้แล้วว่า นําผลลัพธ์ตาม (1) ไปหารจํานวนคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรค
ที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทุกเขต จํานวนที่ได้รับให้ถือเป็นจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้เบื้องต้น และเมื่อได้คํานวณตาม (5) (6) หรือ (7) ถ้ามีแล้ว จึงให้ถือว่าเป็นจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้
ความเข้าใจผมคือพึมีเบื้องต้นคือตัวเองที่คิดมามีทศนิยมนั้นจะ แต่พึงมีได้มันเป็นจำนวนเต็มซึ่งถ้าไปเข้าเงือนไขการคำนวนตาม4แล้วแล้วไม่ถึง150 พวกเศษจะถูกปัดมาเป็น 1 และเป็นจำนวนพึงมีได้ที่ถูกต้อง ข้อให้ไปเขียนให้ชัดเจนกว่านี้ถ้าจะใช้กฎหมายนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์คิดไม่ยากแต่มีคนจะทำให้ยาก
1.พรบ.นี้เขียนบอกขั้นตอนและวิธีการไว้หมดแล้วเกือบสมบูรณ์แล้วคำนวนตามหัวข้อในพรบ.คือ 1-2-3-5-4-7-4 ก็จะได้ละ ถ้าสังเกตให้ดีเขาจะเขียนเอาไว้หมดเลยว่าเมื่อต้องการให้เราบวกลบคูนหารอะไรจะบอกมาเลย เช่นตั้งแต่ข้อ1นําคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหารด้วย500 แบบนี้ อันไหนทีไม่ได้บอกให้ไปคิดแสดงว่าไม่จำเป็นต้องไปคิดให้เขาแต่ก็จะมีบางคนบอกว่าต้องเอาตัวเลขมากปรับซึ่งไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่เขียนไว้เลย ถ้ามันจะมีส่วนไหนที่ไม่ได้บอกบอกแล้ว กกต.ต้องกำหนดมาผมมองตรงที่ข้อ1ที่หารแล้วตัวเลขออกมาที่ 71,065.29 จะใช้ทศนิยมกี่ตำแหน่งไม่ได้บอกไว้ สรุปคือมันมีวิธิการและขั้นตอนหมดแล้วไม่มีควรวิธีอื่น
2.อยู่ในข้อ4 ให้จัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจะได้รับให้ครบหนึ่งร้อยห้าสิบคน โดยจัดสรรให้พรรคการเมืองตามผลลัพธ์ตาม (3) เป็นจํานวนเต็มก่อน สังเกตคำนี้ที่ว่าให้เป็นจำนวนเต็มก่อน ไม่ได้ให้เอาทศนิยมมา ไม่ได้ให้ปรับขึ้นลง ว่าง่ายๆคือพรรคไหนมี 71,065.29 คะแนนครบก็เอาไป1ที่นั้งจนกว่าจะครบ 150 ที่นั้ง ส่วนเศษแยกไว้ก่อนถ้ายังได้ไม่ครบ 150 ค่อยเอามาเติมให้ครบตามลำดับใครที่มีมากกว่า คือพรบ.ให้ความสำคัญต่อ 71,065 เสียงก่อนซึ่งมันก็ชัดและง่าย ส่วน3-6หมื่นก็รอถ้าจนกว่าจะถือคิวตามลำดับ
การคิดแบบอีกวิธีที่ไปเอาเสียงพรรคเล็กมาคิดรวมด้วยนั้นไปถูกต้องตามที่เขียนไว้ในพรบ.นี้และพรรคเล็กได้ ส.ส.1เสียงเต็มไปหมดเรียกว่าใครตั้งพรรคลงสมัครเลือกตั้งลงปารตี้ลิสต์อันดับ1ก็มีโอกาสได้เป็นส.ส.เลยสมัครหน้าคงตั้งพรรคกันเต็มไปหมดอย่าเลยแค่นี้ก็ตั้งรัฐบาลยากอยู่แล้ว
ข้อสังเกตที่อยากให้แก้ไขในรัฐธรรมนูญูและพรบ.ประกอบเรื่องส.ส.บัญชีรายชื่อนี้คือในข้อ 5 ตอนท้ายที่ว่า และให้นําจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำกว่าจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (2) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจํานวนที่จะพึงมีได้ตาม (2) เพราะถ้าอ่านแค่จะเข้าใจว่าพรรคที่คำนวนมาแล้วไม่ถึง1คน พรรค3-6หมื่นจะคำนวนได้ 0.99จะไม่มีสิทธิได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย และมันจะมีผลการเลือกตั้งบางรูปแบบที่จะทำให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึง 150 ซึ่งอาจเป็นปัญหา แต่ผมเองเข้าใจว่าคนเขียนนั้นได้พยายามจะขยายความในมาตรา 128 ข้อ 2 ไว้แล้วว่า นําผลลัพธ์ตาม (1) ไปหารจํานวนคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรค
ที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทุกเขต จํานวนที่ได้รับให้ถือเป็นจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้เบื้องต้น และเมื่อได้คํานวณตาม (5) (6) หรือ (7) ถ้ามีแล้ว จึงให้ถือว่าเป็นจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้
ความเข้าใจผมคือพึมีเบื้องต้นคือตัวเองที่คิดมามีทศนิยมนั้นจะ แต่พึงมีได้มันเป็นจำนวนเต็มซึ่งถ้าไปเข้าเงือนไขการคำนวนตาม4แล้วแล้วไม่ถึง150 พวกเศษจะถูกปัดมาเป็น 1 และเป็นจำนวนพึงมีได้ที่ถูกต้อง ข้อให้ไปเขียนให้ชัดเจนกว่านี้ถ้าจะใช้กฎหมายนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า