ลิเวอร์พูล หรือ แมนฯ ซิตี้?
ก่อนอื่นผมมีประสบการณ์สยองขวัญในโลกลูกหนังมาเล่าให้อ่านกันครับ
เหตุเกิดเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย ในขณะที่เกมพรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ที่แอนฟิลด์ กำลังจะจบลงด้วยการเสมอกันอยู่รอมร่อ
ทันใด สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "เด็กหงส์" ก็คำรามสะใจพลางแสยะยิ้มอย่างสยดสยองออกมา เมื่อลิเวอร์พูลเอาความปราชัยไปยัดเยียดให้สเปอร์สอย่างใจร้ายและโรคจิต แถมเลือดเย็นดีนักแล

เรียนตามตรงว่ามันช่างทำร้ายจิตใจอันอ่อนไหวและเปราะบางของท่านผู้ชมทางบ้านประเภทเด็กผีอย่างผมยิ่งนัก
พุทโธ่...ก็ลูกโขกของ โม ซาลาห์ นะสิครับท่าน
เรียนตามตรงว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไร และไม่ได้หนีมือ อูโก้ โยริส นายทวารของสเปอร์สซะด้วย
จังหวะนั้นนายทวารระดับแชมป์โลกตั้งใจจะรับแน่นอนครับ ไม่ได้เจตนาปัดออก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามตำราทุกอย่าง ในเมื่อลูกไม่ได้พุ่งแรงเกินกว่าจะไขว่คว้าเอาไว้ได้นี่หว่า
ปัญหาคือพอรับแล้ว ลูก (ฟุตบอล) มันดันไม่รักดีจึงลื่นทะลักหลุดออกจากอุ้งมือแล้วกระเด้งไปกระแทกหน้าแข้งของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ กระดอนกลับมาหา โดยตัวเองก็ตะปบเอาไว้ไม่อยู่
แล้วฟุตบอลลูกกลมๆ ก็ค่อยๆ กลิ้งข้ามเส้นประตูเข้าไปอย่างเย้ยหยัน
เรียนตามตรงว่ามันสยองขวัญเสียจนต้องบ้วนโทโสออกมาจากรูปากว่า...อ้ายฟายยยย และขอโทษ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่พลพรรคหงส์แดงได้ประตูชัยในลักษณะนี้นะครับ-ขอบอก
เท่าที่จำได้ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง
ล่าสุดเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนนี่เองในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือน ฟูแล่ม
เหลือเวลาแค่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น โดยที่เกมยังเสมอกันอยู่ด้วยสกอร์ 1-1 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น โม ซาลาห์ นี่แหละที่ยิงแบบปั่นๆ ซึ่งบอลก็ไม่ได้หนีมือ เซร์คิโอ ริโก้ นายทวารของเจ้าถิ่นอะไรมากมาย
นายทวารชาวสเปนผู้นี้พยายามจะรับเข้ามือนะครับ ไม่ได้ชกหรือทุบออกไปให้ไกลๆ แต่มันดันกระฉอกไปเข้าทาง ซาดิโอ มาเน่
จังหวะนั้น ดาวเตะผิวหมึกของลิเวอร์พูลยังสับไกยิงไม่ได้ในทันทีนะครับ จังหวะมันบังคับให้ต้องแตะบอลออกไปทางขวาของตัวเองก่อน และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ เซร์คิโอ ริโก้ เกิดอาการตกใจจนทำมือลั่นไปเหนี่ยว ซาดิโอ มาเน่ ล้มคว่ำในเขตโทษ...ซะอย่างนั้น
แล้วยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นในศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่แอนฟิลด์ ได้ไหมครับ?
เหตุเกิดในช่วงทดเจ็บ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ หวดบอลแบบส่งๆ บอลลอยโด่งแล้วกำลังจะตกลงบนหลังคาประตู
จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารของเอฟเวอร์ตัน เห็นบอลที่ลอยมาแล้วก็รำพึงรำพันพลางยักไหล่ในใจว่า "หวานหมู" แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
แทนที่จะปัดให้ข้ามคานออกไป นายทวารมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษพยายามจะสปริงตัวขึ้นไปรับลูกแล้วดึงมาเข้าซอง เพื่อทำลายเวลาไปในตัว แถมไม่ต้องเสียลูกเตะมุมด้วย
พลันที่บอลมันปลิ้นหลุดมือแล้วตกลงมาตรงหน้า ดิว็อค โอริกี้ พอดิบพอดี...ซะอย่างนั้น!!!
เหยดดดดดด...เปี๊ยดดดดดด!!!...นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะครับ
มันเป็นอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล สำแดงให้เห็นถึง...ถึง...ถึง...ถึงอะไรดีล่ะ อืมมมมม...คือถ้าให้ใช้คำแบบสวยๆ ด้วยศัพท์แบบเป็นวิชาการ ก็คงต้องบอกว่า...คุณสมบัติของทีมที่จะประสบความสำเร็จ
ในเกมที่กำลังจะเด๊ดห่าก็สามารถเอาตัวรอดกลับมาจากป่าช้าได้สำเร็จ เช่นเดียวกันในเกมที่กำลังจะเสมอกันอยู่รอมร่อ คุณสามารถพลิกสถานการณ์กลับเป็นผู้ชนะได้อย่างไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่จริงๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าพลพรรคหงส์แดงได้ประตูชัยแบบนี้อีกแล้ว แถมมันเกิดขึ้นอย่างซ้ำไปซ้ำมาจนน่าสงสัยเหมือนกันว่าฤดูกาลนี้คนบนฟ้าอาจไปแทงพนันว่าลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในอัตรา 3-1 เอาไว้หรือเปล่า?
ลักษณะการกะซวกชัยของลิเวอร์พูลชัดเจนมากนะครับว่าอุดมด้วยความดราม่า และมีเรื่องราวให้เล่าขาน
นับตั้งแต่พลาดท่าพ่ายแพ้ แมนฯ ซิตี้ เป็นเกมแรกของฤดูกาล ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำสถิติชนะ 7 นัด เสมอ 4 นัดในพรีเมียร์ลีก โดยที่จำเป็นต้องงัด "คุณสมบัติของแชมป์" ออกมาใช้บ่อยมาก ซึ่งหากวิเคราะห์และเจาะลึกลงไปในรายละเอียดด้วยเหตุผลของฟุตบอลล้วนๆ คุณจะพบว่าฟอร์มการเล่นของลิเวอร์พูลนั้นค่อนข้างฝืด กว่าจะชนะแต่ละครั้งสร้างความอัดอั้นและตันตูดให้บรรดา เดอะ ค็อป อย่างจงหนัก
ยกตัวอย่างเกมที่บุกไปเยือนทีมท้ายตารางอย่าง ฟูแล่ม
กองหลังและนายทวารระดับโลกอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลีสซง เบ็คเกอร์ แสดงความผิดพลาดออกมาจนถูกตีเสมอ ขณะที่เกมรุกก็ดูจะติดๆ ขัดๆ อย่างไรชอบกล
หรือเกมล่าสุดที่เกือบดับคาบ้าน หลังปล่อยให้สเปอร์สบุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียวในครึ่งหลัง ทั้งๆ ที่ตัวเองคุมเกมได้เหนือกว่าอย่างชัดเจนในครึ่งแรก
ฟอร์มการเล่นของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ดูจะพื้นๆ หรือเรียกอีกอย่างว่า "ดาดๆ ไปหน่อย" แต่กลับได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตลอด หรือฟอร์มการทำลายตาข่ายของ โม ซาลาห์ ที่ตกลงอย่างน่าเกลียด แถมเหมือนเล่นเพื่อตัวเองอีกต่างหาก (หลักฐานคือจังหวะที่หลุดไปแบบ 2 ต่อ 1 ในเกมล่าสุดที่หากจ่ายให้ ซาดิโอ มาเน่ โอกาสได้ประตูสูงมาก แต่เลือกที่จะยิงเอง เพียงเพราะยิงไม่ได้ติดต่อกันมาหลายนัด)
สุดท้ายต้องมากระ
กระสนในช่วงท้ายเกม
เมื่อเทียบกับคู่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง แมนฯ ซิตี้ ก็จะมองเห็นถึงความแตกต่าง
คือทีมปลาฉลามสีฟ้าจะเดินหน้าฆ่าคู่แข่งแบบม้วนเดียวจบ หรือมักจะกดไม่เหลือซากด้วยความเหนือชั้นกว่า
จุดนี้ขออนุญาตยกเกมที่ทั้งคู่บุกไปเยือน คราเวน ค็อทเทจ เป็นตัวเปรียบเทียบอีกครั้ง
กว่าลิเวอร์พูลจะควักชัยชนะกลับออกมาเล่นเอาหืดจับ เพราะดันทะลึ่งโดนตีเสมอจนต้องมาดิ้นรนในช่วงท้าย ผิดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่สามารถเช็กบิลล์คู่แข่งทีมเดียวกันได้แบบไม่ระบมหัวแม่ตีน ก่อนถอนคันเร่ง เพื่อถนอมเรี่ยวแรงและถนอมตัวผู้เล่นได้อีก
นับตั้งแต่อุบัติเหตุที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ควบตะบึงไปข้างหน้าแบบเต็มพิกัด กะซวกชัยได้ 7 นัดติดต่อกันพลางกระหน่ำไป 18 ดอกเน้นๆ ด้วยฟอร์มการเล่นที่เปล่งปลั่งอย่างน่าสยดสยอง
แมนฯ ซิตี้ บดขยี้คู่แข่งด้วยลำแข้งอันยอดเยี่ยมของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งดวง และไม่ต้องทำเรื่องขอ "คุณสมบัติของแชมป์" มาใช้เป็นกรณีพิเศษด้วย
แน่นอนครับว่าในภาพรวม แมนฯ ซิตี้ มีความสมบูรณ์แบบมากกว่า แถมได้เปรียบตรงที่แข่งน้อยกว่า 1 นัด
กระทั่งเห็นการทำลูกหลุดมือของ อูโก้ โยริส แล้วกระเด้งขาเพื่อนร่วมทีมกระดอนเข้าประตูตัวเองนั่นแหละ
มันบอกผมว่าลำพังแค่ความสมบูรณ์แบบของ แมนฯ ซิตี้ คงไม่เพียงพอแล้วล่ะ
เพราะดูเหมือนใครบางคนผู้มีอำนาจสูงสุดอยู่บนสวรรค์เลือกข้างลิเวอร์พูลอย่างชัดเจน ประหนึ่งมี 250 เสียงจาก ส.ว. เป็นฝ่ายเดียวกัน
สู้กับทีมแบบนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาดนะครับ
หาก แมนฯ ซิตี้ อยากจะป้องกันแชมป์ก็ต้องเร่งเครื่องเป็น 2 เท่าพลางกดปุ่มเทอร์โบพ่นไนตรัสออกจากรูดาร์กซ์ เพื่อทิ้งคู่ขับเคี่ยวของตัวเองขาดลอยในช่วงทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย
แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้จึงจะมี 2 สไตล์
ถ้าลิเวอร์พูลมันก็จะเป็นแชมป์ที่อุดมด้วยความดราม่ามากกว่า
ถ้า แมนฯ ซิตี้ มันก็จะเป็นแชมป์ที่แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมมากกว่า
ทีนี้ถามว่า "เขา" จะเลือกใคร???
อืมมมมมมมม...นะ
อนึ่ง "เขา" ในที่นี้ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่านะครับ แต่สิ่งที่มองไม่เห็นก็มิได้หมายความว่ามันไม่มี
เรียนตามตรงว่าผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติสักเท่าไหร่
แต่ชะรอยว่าทีมที่จะพุ่งเข้าเส้นชัยก่อนมันจะค่อยๆ ถูๆ ไถๆ ไปบนความทุลักทุเลและกระชากอารมณ์แบบสุดฤทธิ์
บอ.บู๋
https://www.siamsport.co.th/column/detail/71381
ปล. แกอวนแก้เคร็ดหรือเปล่า เพราะตั้งแต่อวยลิ้วพูล มานอูก็เล่นดีขึ้นผิดหูผิดตา
......... คุณสมบัติของทีมที่จะประสบความสำเร็จ.... บทความอวยลิ้วพูลโดย บอ.บู๋เพื่อนมานอู.....^^
ก่อนอื่นผมมีประสบการณ์สยองขวัญในโลกลูกหนังมาเล่าให้อ่านกันครับ
เหตุเกิดเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย ในขณะที่เกมพรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ที่แอนฟิลด์ กำลังจะจบลงด้วยการเสมอกันอยู่รอมร่อ
ทันใด สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "เด็กหงส์" ก็คำรามสะใจพลางแสยะยิ้มอย่างสยดสยองออกมา เมื่อลิเวอร์พูลเอาความปราชัยไปยัดเยียดให้สเปอร์สอย่างใจร้ายและโรคจิต แถมเลือดเย็นดีนักแล

เรียนตามตรงว่ามันช่างทำร้ายจิตใจอันอ่อนไหวและเปราะบางของท่านผู้ชมทางบ้านประเภทเด็กผีอย่างผมยิ่งนัก
พุทโธ่...ก็ลูกโขกของ โม ซาลาห์ นะสิครับท่าน
เรียนตามตรงว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไร และไม่ได้หนีมือ อูโก้ โยริส นายทวารของสเปอร์สซะด้วย
จังหวะนั้นนายทวารระดับแชมป์โลกตั้งใจจะรับแน่นอนครับ ไม่ได้เจตนาปัดออก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามตำราทุกอย่าง ในเมื่อลูกไม่ได้พุ่งแรงเกินกว่าจะไขว่คว้าเอาไว้ได้นี่หว่า
ปัญหาคือพอรับแล้ว ลูก (ฟุตบอล) มันดันไม่รักดีจึงลื่นทะลักหลุดออกจากอุ้งมือแล้วกระเด้งไปกระแทกหน้าแข้งของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ กระดอนกลับมาหา โดยตัวเองก็ตะปบเอาไว้ไม่อยู่
แล้วฟุตบอลลูกกลมๆ ก็ค่อยๆ กลิ้งข้ามเส้นประตูเข้าไปอย่างเย้ยหยัน
เรียนตามตรงว่ามันสยองขวัญเสียจนต้องบ้วนโทโสออกมาจากรูปากว่า...อ้ายฟายยยย และขอโทษ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่พลพรรคหงส์แดงได้ประตูชัยในลักษณะนี้นะครับ-ขอบอก
เท่าที่จำได้ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง
ล่าสุดเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนนี่เองในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือน ฟูแล่ม
เหลือเวลาแค่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น โดยที่เกมยังเสมอกันอยู่ด้วยสกอร์ 1-1 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น โม ซาลาห์ นี่แหละที่ยิงแบบปั่นๆ ซึ่งบอลก็ไม่ได้หนีมือ เซร์คิโอ ริโก้ นายทวารของเจ้าถิ่นอะไรมากมาย
นายทวารชาวสเปนผู้นี้พยายามจะรับเข้ามือนะครับ ไม่ได้ชกหรือทุบออกไปให้ไกลๆ แต่มันดันกระฉอกไปเข้าทาง ซาดิโอ มาเน่
จังหวะนั้น ดาวเตะผิวหมึกของลิเวอร์พูลยังสับไกยิงไม่ได้ในทันทีนะครับ จังหวะมันบังคับให้ต้องแตะบอลออกไปทางขวาของตัวเองก่อน และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ เซร์คิโอ ริโก้ เกิดอาการตกใจจนทำมือลั่นไปเหนี่ยว ซาดิโอ มาเน่ ล้มคว่ำในเขตโทษ...ซะอย่างนั้น
แล้วยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นในศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่แอนฟิลด์ ได้ไหมครับ?
เหตุเกิดในช่วงทดเจ็บ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ หวดบอลแบบส่งๆ บอลลอยโด่งแล้วกำลังจะตกลงบนหลังคาประตู
จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารของเอฟเวอร์ตัน เห็นบอลที่ลอยมาแล้วก็รำพึงรำพันพลางยักไหล่ในใจว่า "หวานหมู" แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
แทนที่จะปัดให้ข้ามคานออกไป นายทวารมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษพยายามจะสปริงตัวขึ้นไปรับลูกแล้วดึงมาเข้าซอง เพื่อทำลายเวลาไปในตัว แถมไม่ต้องเสียลูกเตะมุมด้วย
พลันที่บอลมันปลิ้นหลุดมือแล้วตกลงมาตรงหน้า ดิว็อค โอริกี้ พอดิบพอดี...ซะอย่างนั้น!!!
เหยดดดดดด...เปี๊ยดดดดดด!!!...นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะครับ
มันเป็นอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล สำแดงให้เห็นถึง...ถึง...ถึง...ถึงอะไรดีล่ะ อืมมมมม...คือถ้าให้ใช้คำแบบสวยๆ ด้วยศัพท์แบบเป็นวิชาการ ก็คงต้องบอกว่า...คุณสมบัติของทีมที่จะประสบความสำเร็จ
ในเกมที่กำลังจะเด๊ดห่าก็สามารถเอาตัวรอดกลับมาจากป่าช้าได้สำเร็จ เช่นเดียวกันในเกมที่กำลังจะเสมอกันอยู่รอมร่อ คุณสามารถพลิกสถานการณ์กลับเป็นผู้ชนะได้อย่างไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่จริงๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าพลพรรคหงส์แดงได้ประตูชัยแบบนี้อีกแล้ว แถมมันเกิดขึ้นอย่างซ้ำไปซ้ำมาจนน่าสงสัยเหมือนกันว่าฤดูกาลนี้คนบนฟ้าอาจไปแทงพนันว่าลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในอัตรา 3-1 เอาไว้หรือเปล่า?
ลักษณะการกะซวกชัยของลิเวอร์พูลชัดเจนมากนะครับว่าอุดมด้วยความดราม่า และมีเรื่องราวให้เล่าขาน
นับตั้งแต่พลาดท่าพ่ายแพ้ แมนฯ ซิตี้ เป็นเกมแรกของฤดูกาล ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำสถิติชนะ 7 นัด เสมอ 4 นัดในพรีเมียร์ลีก โดยที่จำเป็นต้องงัด "คุณสมบัติของแชมป์" ออกมาใช้บ่อยมาก ซึ่งหากวิเคราะห์และเจาะลึกลงไปในรายละเอียดด้วยเหตุผลของฟุตบอลล้วนๆ คุณจะพบว่าฟอร์มการเล่นของลิเวอร์พูลนั้นค่อนข้างฝืด กว่าจะชนะแต่ละครั้งสร้างความอัดอั้นและตันตูดให้บรรดา เดอะ ค็อป อย่างจงหนัก
ยกตัวอย่างเกมที่บุกไปเยือนทีมท้ายตารางอย่าง ฟูแล่ม
กองหลังและนายทวารระดับโลกอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลีสซง เบ็คเกอร์ แสดงความผิดพลาดออกมาจนถูกตีเสมอ ขณะที่เกมรุกก็ดูจะติดๆ ขัดๆ อย่างไรชอบกล
หรือเกมล่าสุดที่เกือบดับคาบ้าน หลังปล่อยให้สเปอร์สบุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียวในครึ่งหลัง ทั้งๆ ที่ตัวเองคุมเกมได้เหนือกว่าอย่างชัดเจนในครึ่งแรก
ฟอร์มการเล่นของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ดูจะพื้นๆ หรือเรียกอีกอย่างว่า "ดาดๆ ไปหน่อย" แต่กลับได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตลอด หรือฟอร์มการทำลายตาข่ายของ โม ซาลาห์ ที่ตกลงอย่างน่าเกลียด แถมเหมือนเล่นเพื่อตัวเองอีกต่างหาก (หลักฐานคือจังหวะที่หลุดไปแบบ 2 ต่อ 1 ในเกมล่าสุดที่หากจ่ายให้ ซาดิโอ มาเน่ โอกาสได้ประตูสูงมาก แต่เลือกที่จะยิงเอง เพียงเพราะยิงไม่ได้ติดต่อกันมาหลายนัด)
สุดท้ายต้องมากระกระสนในช่วงท้ายเกม
เมื่อเทียบกับคู่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง แมนฯ ซิตี้ ก็จะมองเห็นถึงความแตกต่าง
คือทีมปลาฉลามสีฟ้าจะเดินหน้าฆ่าคู่แข่งแบบม้วนเดียวจบ หรือมักจะกดไม่เหลือซากด้วยความเหนือชั้นกว่า
จุดนี้ขออนุญาตยกเกมที่ทั้งคู่บุกไปเยือน คราเวน ค็อทเทจ เป็นตัวเปรียบเทียบอีกครั้ง
กว่าลิเวอร์พูลจะควักชัยชนะกลับออกมาเล่นเอาหืดจับ เพราะดันทะลึ่งโดนตีเสมอจนต้องมาดิ้นรนในช่วงท้าย ผิดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่สามารถเช็กบิลล์คู่แข่งทีมเดียวกันได้แบบไม่ระบมหัวแม่ตีน ก่อนถอนคันเร่ง เพื่อถนอมเรี่ยวแรงและถนอมตัวผู้เล่นได้อีก
นับตั้งแต่อุบัติเหตุที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ควบตะบึงไปข้างหน้าแบบเต็มพิกัด กะซวกชัยได้ 7 นัดติดต่อกันพลางกระหน่ำไป 18 ดอกเน้นๆ ด้วยฟอร์มการเล่นที่เปล่งปลั่งอย่างน่าสยดสยอง
แมนฯ ซิตี้ บดขยี้คู่แข่งด้วยลำแข้งอันยอดเยี่ยมของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งดวง และไม่ต้องทำเรื่องขอ "คุณสมบัติของแชมป์" มาใช้เป็นกรณีพิเศษด้วย
แน่นอนครับว่าในภาพรวม แมนฯ ซิตี้ มีความสมบูรณ์แบบมากกว่า แถมได้เปรียบตรงที่แข่งน้อยกว่า 1 นัด
กระทั่งเห็นการทำลูกหลุดมือของ อูโก้ โยริส แล้วกระเด้งขาเพื่อนร่วมทีมกระดอนเข้าประตูตัวเองนั่นแหละ
มันบอกผมว่าลำพังแค่ความสมบูรณ์แบบของ แมนฯ ซิตี้ คงไม่เพียงพอแล้วล่ะ
เพราะดูเหมือนใครบางคนผู้มีอำนาจสูงสุดอยู่บนสวรรค์เลือกข้างลิเวอร์พูลอย่างชัดเจน ประหนึ่งมี 250 เสียงจาก ส.ว. เป็นฝ่ายเดียวกัน
สู้กับทีมแบบนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาดนะครับ
หาก แมนฯ ซิตี้ อยากจะป้องกันแชมป์ก็ต้องเร่งเครื่องเป็น 2 เท่าพลางกดปุ่มเทอร์โบพ่นไนตรัสออกจากรูดาร์กซ์ เพื่อทิ้งคู่ขับเคี่ยวของตัวเองขาดลอยในช่วงทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย
แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้จึงจะมี 2 สไตล์
ถ้าลิเวอร์พูลมันก็จะเป็นแชมป์ที่อุดมด้วยความดราม่ามากกว่า
ถ้า แมนฯ ซิตี้ มันก็จะเป็นแชมป์ที่แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมมากกว่า
ทีนี้ถามว่า "เขา" จะเลือกใคร???
อืมมมมมมมม...นะ
อนึ่ง "เขา" ในที่นี้ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่านะครับ แต่สิ่งที่มองไม่เห็นก็มิได้หมายความว่ามันไม่มี
เรียนตามตรงว่าผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติสักเท่าไหร่
แต่ชะรอยว่าทีมที่จะพุ่งเข้าเส้นชัยก่อนมันจะค่อยๆ ถูๆ ไถๆ ไปบนความทุลักทุเลและกระชากอารมณ์แบบสุดฤทธิ์
บอ.บู๋
https://www.siamsport.co.th/column/detail/71381
ปล. แกอวนแก้เคร็ดหรือเปล่า เพราะตั้งแต่อวยลิ้วพูล มานอูก็เล่นดีขึ้นผิดหูผิดตา