ไฟป่าเป็นเรื่องธรรมชาติ70% หมอกควันมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

ช่วงนี้กระแสหมอกควันจากไฟป่ากำลังดัง ผู้คนต่างโทษคนโน้นคนนี้เต็มไปหมด
ส่วนตัวเกิดและโตในภาคเหนือแถบเขตติดกับป่าเห็นวิถีชีวิตและปรากฎการณ์ไฟป่าและหมอกควันเป็นปกติ
เพิ่งจะมีกระแสรุนแรงมากขึ้นมาไม่นานหลังจากไฟป่าที่อินโดนีเซียทะลักมาที่กรุงเทพเป็นเหตุให้คนกรุงเทพช็อก
และแอนตี้หมอกควันเป็นอย่างมากออกข่าวใหญ่โต รณรงค์กันใส่ผ้าปิดจมูกและเจรจากับทางการอินโดนีเซียสารพัด
และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากนั้นไม่กี่เดือนก็เข้าฤดูไฟป่าภาคเหนือจึงเป็นเรื่องที่รุนแรงขึ้นมาทันที หลังจากนั้นเป็นต้นมา
ไฟป่าและหมอกควันจึงถูกยกขึ้นมาเป็นปัญหามาโดยตลอด

ภาพตัดไปที่วิถีชีวิตคนชนบทภาคเหนือที่มีบ้านใต้ถุนสูงเลี้ยงวัวไว้ด้านล่างสุมควันไฟไล่ริ้นไล่ยุงกันทั้งปี
ขณะที่วิถีชีวิตยามเย็นของแม่อุ้ยกวาดใบในบริเวณบ้านเผากันเป็นกิจวัตร ไม่ได้มีใครรู้สึกว่าควันไฟเป็นปัญหา
เพราะเมื่อย่างเข้าเดือน 7 (เหนือ) หรือปลายมีนาคมเข้าสู่เมษายน จะมีลมหลวงหรือพายุฤดูร้อนมาเก็บกวาด
เป็นวัฎรจักรของธรรมชาติในแถบนี้  จะเห็นได้จากพงศาวดาร จดหมายเหตุต่างๆ ในล้านนาไม่ปรากฎ
ปัญหาไฟป่าและควันไฟเลย

หากมาดูข้อมูลจะพบว่าไฟป่ามีอิทธิพลของธรรมชาติของภูมิภาคนี้ค่อนข้างมาก โดยมีปัจจัยหลักๆ ดังนี้
1) ละติจูด สังเกตแผนที่แสดงไฟป่าเมื่อเปรียบเทียบประเทศเพื่อนบ้านจะพบมากในพม่า ลาวตอนเหนือ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับภาคเหนือของไทย กลับกันลาวภาคกลางและใต้ รวมถึงเขมรจุดสีแดงจะห่างหายไปเนื่องจากภูมิประเทศ ลักษณะป่า และลมทะเลนั่นเอง
2) ประเภทของป่า ซึ่งภาคเหนือส่วนใหญ่จะเป็นป่าผลัดใบ เช่น ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ เมื่อเทียบภาคกลาง ภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นป่าไม่ผลัดใบ
3) ระยะห่างของทะเล และทิศทางของลมทะเล  สังเกตภูมิประเทศที่มีทิศทางของลมทะเลพัดเข้าฝั่งส่งผลให้พื้นที่ตามแนวชายมีความชื้นสูง
ส่วนใหญ่จะเป็นป่าดงดิบ ป่าไม่ผลัดใบ จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า
4) ภาวะโลกร้อน เมื่อโลกร้อนขึ้นยิ่งทำให้ไฟป่ามีมากขึ้นเช่นกัน

ส่วนสาเหตุของคนเจ็บป่วยในช่วงนี้ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใดเนื่องจากเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลจากหน้าหนาวเข้าสู่หน้าร้อน
ลองเปรียบเทียบข้อมูลเชิงสถิติย้อนหลัง20ปีดูนะครับ  ปัจจัยหลักไม่ได้มาจากหมอกควันอย่างเดียวเนื่องจากคนเดียวนี้ดูแลตัวเองมากขึ้น
ถึงขั้นอนามัยจัดจนร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อม  และประชากรที่อพยพมาจากภาคอื่นก็จะมีภูมิน้อยกว่าคนในพิ้นที่

ส่วนตัวมองว่าวิถีชีวิตปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากจึงต้องปรับไปตามยุคสมัยจำเป็นต้องรักษาสุขภาพอนามัยด้วยการใส่ผ้าปิดจมูกบ้าง
แต่ก็ไม่ได้เชียร์ให้มีการเผาเสรีเช่นในอดีต แต่อยากให้คนเข้าใจว่าแท้ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติเป็นหลักอย่าไปสร้างวาทะกรรม
หาแพะหรือทุ่มงบประมาณมหาศาลมาละลายแม่น้ำหลายๆเรื่องทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลยเพราะมนุษย์ไม่สามารถสู้ธรรมชาติได้เลย
อย่างน้อยวิธีแก้ปัญหาของรัฐควรมีการศึกษาและใช้ได้ดีในหลายประเทศมีเปอร์เซ็นปัญหาลดลงได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เน้นแก้ปัญหา
โดยสร้างภาพแต่ไม่หวังผล หากเป็นแบบนั้นรอสักหน่อยก็จะมีพายุฤดูร้อนมาเก็บกวาดไม่ต้องเปลืองงบประมาณอะไรเลย

สุดท้าย เราควรเข้าใจบริบทของปัญหาก่อนที่จะบอกว่าอะไรคือปัญหา

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่