แสงกระสือ กระสือที่มีแสง
กระสือเวอร์ชั่นที่จำได้แม่นและตราตรึงอยู่ในความทรงจำดีที่สุดคือเวอร์ชั่นละครช่อง 7 สี ปี พ.ศ. 2537 ที่มี ต้อม รัชนีกร รับบทหญิงสาวที่ตอนกลางคืนถอดหัวและเครื่องในลอยไปลอยมาได้ในอากาศ หลังจากนั้นก็มีเวอร์ชั่นหนังและละครออกมาอีกไม่กี่เรื่องแต่ก็ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เรียกว่าประสบความสำเร็จจนสามารถสร้างการจดจำให้กับคนดูได้เท่าเวอร์ชั่นละครช่อง 7 สีเรื่องนี้
กระสืออยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานด้วยความเชื่อเรื่องผีสางที่เล่าสืบต่อกันมาจนถูกนำไปสร้างเป็นหนังและละคร แม้ปัจจุบันความเชื่อเรื่องกระสือจะเรียกได้ว่าแทบจะหมดไปแล้วก็ตาม แต่ในพื้นที่ห่างไกลบางแห่งอาจจะยังมีเรื่องแบบนี้หลงเหลืออยู่ ดังเช่นที่เราได้เห็นข่าวปอบออกอาละวาดหรือแม้แต่การตายพร้อมๆกันของคนในหมู่บ้านหลายคนจนต้องมีการนำสิ่งของบางอย่างมาไว้ที่หน้าบ้านเพื่อไม่ให้คนในบ้านถูกเอาชีวิตไปตามความเชื่อ
เพราะทุกที่มีตำนาน
แสงกระสือเป็นหนังที่หยิบตำนานผีกระสือมาเล่าด้วยเนื้อหาที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรจากที่เราคุ้นเคยนัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศสถานที่ที่เลือกใช้ก็เป็นบ้านนอกคอกนาแบบที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ มีบ้านไม้ ทุ่งนา ผู้คนในหมู่บ้านรู้จักกันดี ใครเป็นอะไรทำอะไรก็จะถึงหูกันไม่ยาก สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำภาพของเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาเกี่ยวกระสือว่าจะเกิดขึ้นแต่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้
แม้ว่าจะไม่ได้มีความแปลกใหม่ชวนหวือหวาในการหยิบตำนานกระสือมาบอกเล่าในครั้งนี้ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้เยอะด้วยการเลือกเล่าเรื่องราวเดิมๆเหล่านี้ให้ออกมาน่าดูน่าติดตามแบบที่ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ อย่างเช่นการเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่เกี่ยวข้องกับกระสือมาในรูปแบบของรักสามเส้าที่เป็นเส้นเรื่องหลักของหนัง แม้ว่าท้ายสุดแล้วจะยังทำได้ไม่สุดพอที่จะทำให้คนดูรู้สึกเศร้าซึ้งร่วมกับตัวละครได้แต่ก็จัดว่าน่าประทับใจอยู่ดี นักแสดงหลักทั้งสามคนทำได้ดี แม้จะมีนักแสดงที่ค่อนข้างใหม่อย่าง มินนี่ ภัณฑิรา กับ เกรท สพล ก็ไม่ทำให้รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด ในขณะที่ โอบ นิธิ ทำได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว
ความเป็นไปของคนในหมู่บ้านที่ต้องหวาดผวากับเรื่องของกระสือจนนำไปสู่การตามล่าในจุดนี้เราชอบความสมจริงในทุกด้านที่ถูกถ่ายทอดออกมา นักแสดงสมทบทุกคนเล่นออกมาเป็นธรรมชาติดีเยี่ยม แต่ที่ทำให้ถึงกับร้องว้าวคือการกลับมาเล่นหนังอีกครั้งของ สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ที่เมื่อก่อนนั้นเล่นหนังไทยบ่อยมากแล้วก็หายหน้าหายตาไปจนกระทั่งมาโผล่ในหนังเรื่องนี้ แล้วนี่ก็เป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีเสียด้วยเพราะเล่นน้อยถ่อยหนักจนทำให้รู้สึกเหมือนตัวละครนี้จ้องจะกินหัวคนดูก็ว่าได้
จุดที่ไปไกลกว่าคาดนิดหน่อยก็คือช่วงท้ายที่เหมือนหลุดจากขอบเขตหนังกระสือชาวบ้านไปสู่การเป็นหนังอสูรกายซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไรและก็ทำได้สนุกใช้ได้ บางคนดูแล้วถึงกับอยากให้มีหนังรวมภูตผีปีศาจแบบไทยๆออกมาเลยด้วยซ้ำ
งานสร้างทุกด้านของหนังต้องบอกว่าดีงามไปหมด ไม่ว่าจะฉาก สถานที่ อุปกรณ์เข้าฉาก มันสวยงามสมจริงไปหมด นี่แอบจับผิดอยู่ตลอดก็ยังหาไม่เจอ ดนตรีประกอบก็ดี งานซีจีก็ถือว่าผ่านแม้โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบรูปลักษณ์ของกระสือเท่าไรนักเพราะมันไม่สมจริงและดูยังไม่เนียนตาดี
เราแอบเสียดายที่บทหนังซึ่งก็ดี มีการตีความฉีกจากของเดิมอยู่บ้างและเล่าเรื่องราวได้ค่อนข้างกลมกล่อม แต่มันยังไปไม่สุด ไม่เนี้ยบ ไม่บาดลึกพอ เราเลยไม่ซึ้งกับตอนจบเท่าที่ควร
ขบเคี้ยวหนัง
#แสงกระสือ
[CR] แสงกระสือ กระสือที่มีแสง
กระสือเวอร์ชั่นที่จำได้แม่นและตราตรึงอยู่ในความทรงจำดีที่สุดคือเวอร์ชั่นละครช่อง 7 สี ปี พ.ศ. 2537 ที่มี ต้อม รัชนีกร รับบทหญิงสาวที่ตอนกลางคืนถอดหัวและเครื่องในลอยไปลอยมาได้ในอากาศ หลังจากนั้นก็มีเวอร์ชั่นหนังและละครออกมาอีกไม่กี่เรื่องแต่ก็ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เรียกว่าประสบความสำเร็จจนสามารถสร้างการจดจำให้กับคนดูได้เท่าเวอร์ชั่นละครช่อง 7 สีเรื่องนี้
กระสืออยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานด้วยความเชื่อเรื่องผีสางที่เล่าสืบต่อกันมาจนถูกนำไปสร้างเป็นหนังและละคร แม้ปัจจุบันความเชื่อเรื่องกระสือจะเรียกได้ว่าแทบจะหมดไปแล้วก็ตาม แต่ในพื้นที่ห่างไกลบางแห่งอาจจะยังมีเรื่องแบบนี้หลงเหลืออยู่ ดังเช่นที่เราได้เห็นข่าวปอบออกอาละวาดหรือแม้แต่การตายพร้อมๆกันของคนในหมู่บ้านหลายคนจนต้องมีการนำสิ่งของบางอย่างมาไว้ที่หน้าบ้านเพื่อไม่ให้คนในบ้านถูกเอาชีวิตไปตามความเชื่อ
เพราะทุกที่มีตำนาน
แสงกระสือเป็นหนังที่หยิบตำนานผีกระสือมาเล่าด้วยเนื้อหาที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรจากที่เราคุ้นเคยนัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศสถานที่ที่เลือกใช้ก็เป็นบ้านนอกคอกนาแบบที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ มีบ้านไม้ ทุ่งนา ผู้คนในหมู่บ้านรู้จักกันดี ใครเป็นอะไรทำอะไรก็จะถึงหูกันไม่ยาก สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำภาพของเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาเกี่ยวกระสือว่าจะเกิดขึ้นแต่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้
แม้ว่าจะไม่ได้มีความแปลกใหม่ชวนหวือหวาในการหยิบตำนานกระสือมาบอกเล่าในครั้งนี้ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้เยอะด้วยการเลือกเล่าเรื่องราวเดิมๆเหล่านี้ให้ออกมาน่าดูน่าติดตามแบบที่ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ อย่างเช่นการเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่เกี่ยวข้องกับกระสือมาในรูปแบบของรักสามเส้าที่เป็นเส้นเรื่องหลักของหนัง แม้ว่าท้ายสุดแล้วจะยังทำได้ไม่สุดพอที่จะทำให้คนดูรู้สึกเศร้าซึ้งร่วมกับตัวละครได้แต่ก็จัดว่าน่าประทับใจอยู่ดี นักแสดงหลักทั้งสามคนทำได้ดี แม้จะมีนักแสดงที่ค่อนข้างใหม่อย่าง มินนี่ ภัณฑิรา กับ เกรท สพล ก็ไม่ทำให้รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด ในขณะที่ โอบ นิธิ ทำได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว
ความเป็นไปของคนในหมู่บ้านที่ต้องหวาดผวากับเรื่องของกระสือจนนำไปสู่การตามล่าในจุดนี้เราชอบความสมจริงในทุกด้านที่ถูกถ่ายทอดออกมา นักแสดงสมทบทุกคนเล่นออกมาเป็นธรรมชาติดีเยี่ยม แต่ที่ทำให้ถึงกับร้องว้าวคือการกลับมาเล่นหนังอีกครั้งของ สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ที่เมื่อก่อนนั้นเล่นหนังไทยบ่อยมากแล้วก็หายหน้าหายตาไปจนกระทั่งมาโผล่ในหนังเรื่องนี้ แล้วนี่ก็เป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีเสียด้วยเพราะเล่นน้อยถ่อยหนักจนทำให้รู้สึกเหมือนตัวละครนี้จ้องจะกินหัวคนดูก็ว่าได้
จุดที่ไปไกลกว่าคาดนิดหน่อยก็คือช่วงท้ายที่เหมือนหลุดจากขอบเขตหนังกระสือชาวบ้านไปสู่การเป็นหนังอสูรกายซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไรและก็ทำได้สนุกใช้ได้ บางคนดูแล้วถึงกับอยากให้มีหนังรวมภูตผีปีศาจแบบไทยๆออกมาเลยด้วยซ้ำ
งานสร้างทุกด้านของหนังต้องบอกว่าดีงามไปหมด ไม่ว่าจะฉาก สถานที่ อุปกรณ์เข้าฉาก มันสวยงามสมจริงไปหมด นี่แอบจับผิดอยู่ตลอดก็ยังหาไม่เจอ ดนตรีประกอบก็ดี งานซีจีก็ถือว่าผ่านแม้โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบรูปลักษณ์ของกระสือเท่าไรนักเพราะมันไม่สมจริงและดูยังไม่เนียนตาดี
เราแอบเสียดายที่บทหนังซึ่งก็ดี มีการตีความฉีกจากของเดิมอยู่บ้างและเล่าเรื่องราวได้ค่อนข้างกลมกล่อม แต่มันยังไปไม่สุด ไม่เนี้ยบ ไม่บาดลึกพอ เราเลยไม่ซึ้งกับตอนจบเท่าที่ควร
ขบเคี้ยวหนัง
#แสงกระสือ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้