รีวิว เล็กน้อย (ไม่สปอยล์)
หากจะเทียบกับหนังที่ใกล้เคียงกัน คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเทียบเคียงกับหนังเรื่อง Get out (2017) ของผู้กำกับคนเดียวกันนี้ โดย Get out จะเน้นความระทึก ตื่นเต้น ปนตลก มากกว่า สามารถดูโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ Us (2019) แม้ว่าจะเป็นหนังระทึกขวัญ แต่พวกฉากแนวตื่นเต้น ฉาก Jump scare คงจะไม่เยอะเท่า แต่หนังกลับซ่อนรายละเอียดให้ตีความเยอะกว่ามากๆ
โดยหนึ่งใน Signature ของผกก.อย่าง Jordan Peele อย่างหนึ่งนั้นคือ 'สัตว์' อย่างในเรื่อง Get out กวางเป็นสัตว์ที่ให้สัญลักษณ์ว่าเป็นผู้ถูกล่าหรือเหยื่อ และครั้งนี้ใน Us ก็เช่นกัน กระต่ายเป็นสัตว์ที่ถูกหยิบยกมาแทนสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง
โดยรวมแล้ว Us (2019) ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมาก ก็สนุกในระดับ 6-7 แต่ถ้าดูในระดับคิดอะไรมาก โหหห หนังเรื่องนี้สุดจริงๆ ผกก.ซ่อนอะไรไว้เยอะมาก ผู้ชมที่คิดมากอย่างเราๆ ต้องค่อยๆแกะปม ปริศนาของ Jordan ออกที่ละปมๆ เป็นหนังที่ดีมากอีกเรื่องนึงเลยครับ...
ถ้าพร้อมแล้ว ลองอ่านสปอยล์และการตีความกันดูครับ (ทั้งที่รวบรวมมาจากหลายแหล่งและที่ตีความเองนะครับ)
สปอยล์เนื้อเรื่อง & ตีความ
เกริ่นก่อนว่า ผู้กำกับเรื่องนี้เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับสื่อ Rolling Stone ว่าเขาได้แรงบันดาลใจในการเขียนบทเรื่องนี้จาก The Twilight Zone ปี 1960 ตอนที่ชื่อว่า “Mirror Image” ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของ doppelganger หรือร่างปีศาจเงาที่เหมือนตัวเอง เพราะฉะนั้นหลักการและเหตุผลของหนังเรื่องนี้ จะเป็นหลักการแบบ The Twilight Zone นะครับ
- เปิดเรื่องด้วยข้อความที่เขียนไว้ว่า “อุโมงค์ใต้ดินมีอยู่มากมาย บ้างก็ถูกทิ้งร้าง....บ้างก็มีไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง” ซักพักนึง ฉากก็ตัดมาที่กระต่ายในกรง พร้อมเพลงประกอบหลอนๆ
*สปอยล์ & ตีความ*
โดยตรงนี้จงใจจะบอกกับผู้ชมว่านี่คือการโปรเจคการโคลนนิ่งมนุษย์ที่ล้มเหลวของรัฐบาล คนที่เป็นตัวโคลนถูกรัฐบาลกักขังไว้ในอุโมงค์ใต้ดินทั่วอเมริกา คนที่เป็นตัวโคลน จะไม่สามารถพูดได้ ในเรื่องนี้จะถูกเรียกว่า “เงา” แต่จะจิตใจและการกระทำจะสามารถเชื่อมโยงถึงกัน จะสังเกตได้ว่ามีเพียงนางเอกเสื้อแดงคนเดียวที่สามารถพูดคุยได้ เพราะเธอเป็นคนที่มาจากโลกข้างบน แม้จะไม่เป็นธรรมชาติ เพราะไม่มีโอกาสได้พูด นางเอกเต้นบัลเล่ต์ได้ทั้งตัวจริงและตัวปลอม ลูกชายที่ชอบเล่นกลไฟ (ทำให้ร่างโคลนชอบเล่นไฟเช่นกัน และถูกไฟคลอกบริเวณหน้า) สองสาวฝาแฝดที่ชอบตีลังกา
ส่วนตัวกระต่ายนั้น หากคิดในเชิงเหตุผลคืออาหารของพวกเงาที่อยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน แต่หากคิดในเชิงสัญลักษณ์มันคือสัญลักษณ์แห่งการถูกทดลอง การโคลน และการขยายพันธุ์
- Adelaide Wilson นางเอกวัยเด็ก ได้ดูรายการทีวีบางอย่าง ก่อนที่พ่อแม่จะพาเธอไปเที่ยวหาดและสวนสนุกซานตาครูซ ซึ่งในตอนที่พ่อเธอไม่ทันสังเกต เธอได้เดินเข้าไปในบ้านกระจก (Mirror House) และพบว่ามีตัวเธอเองอีกคนอยู่ในบ้านกระจกแห่งนี้
*สปอยล์ & ตีความ*
เปิดเรื่องเป็นฉากนางเอกวัยเด็กกำลังดูทีวี ซึ่งมีข่าวที่เกี่ยว “การจับมือรอบอเมริกา (Hands Across America)” ซึ่งเด็กในตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นการแคมเปญหาเงินเพื่อคนไร้บ้านในปี 1986 ซึ่งแรกเริ่มตั้งเป้าไว้ว่าจะมีการร่วมกันจับมือระหว่างชาวอเมริกัน 50 ล้านคน แต่โปรเจคนี้ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะมีคนเข้าร่วมเพียง 16 ล้านคน นั่นเป็นภาพจำสุดท้ายบนจอทีวีของนางเอกวัยเด็ก (ผู้กำกับมีการใส่สติ๊กเกอร์หลังรถเป็นรูปพ่อแม่และลูกๆที่จับมือกันสี่คนอีกด้วย) นางเอกในวัยเด็กคิดว่านั้นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นพวกพ้อง
เมื่อ Adelaide ตัวจริง เดินเข้าไปในบ้านกระจก บังเอิญตรงกับจังหวะที่ไฟดับพอดี ทำให้ Adelaide ร่างเงารู้สึกถึงการมาเยือนของเธอ และสามารถขึ้นมาจากบันไดเลื่อนทางเชื่อมอุโมงค์และโลกข้างบน (ปกติเป็นบันไดเลื่อนแบบ one-way เลื่อนลงเท่านั้น ไม่สามารถขึ้นได้แต่เพราะไฟดับทำให้บันไดไม่ทำงาน) Adelaide ร่างจริงและร่างปลอมจึงได้เจอหน้ากันครั้งแรก ตัวจริงได้ถูกร่างเงาของเธอสับเปลี่ยนตัว นางเอก(ตัวปลอม) วัยเด็กจึงออกมาสู่บนโลกข้างบน และได้เจอกับพ่อแม่ ในตอนแรกนั้น เธอ (ตัวปลอม) ไม่สามารถพูดได้ พ่อแม่คิดว่าเกิดจากอาการช็อคที่เดินหายไปจากพ่อแม่ จึงต้องหาทางรักษาโดยการวาดรูป ดนตรีและการเต้นบัลเล่ต์ตามที่หมอแนะนำ แต่จริงๆแล้วร่างเงาไม่มีสามารถในด้านความคิดมากเท่าตัวจริง เราจะเห็นได้จากที่นางเอก พยายามดีดนิ้วสอนลูกให้เข้าจังหวะเพลง แต่ดูค่อมๆจังหวะ และฉากที่เปรียบเทียบการเต้นบัลเล่ต์ นางเอก(ตัวจริง)ที่เต้นอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินสามารถเต้นได้งดงามกว่าตัวปลอมที่เต้นอยู่บนเวที
- 30 ปีผ่านไป นางเอกที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้กลับมาเยือนหาดซานตา ครูซอีกครั้ง เธอรู้สึกได้ทันทีว่า ‘พวกเขา’ จะต้องมาหาพวกเธอแน่ๆ ทั้งการลางบอกเหตุ Jeremiah 11:11 ทั้งการสัมผัสได้ถึงตัวเธออีกคนนึง
*สปอยล์ & ตีความ*
Jeremiah 11:11 ป้ายที่ชายฮิปปี้ถืออยู่ ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลเยเรมีย์บทที่ 11 วรรคที่ 11 ซึ่งมีคำกล่าวดังนี้ “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขา ซึ่งเขาหนีไม่พ้น ถึงเขาจะร้องทุกข์ต่อเรา เราก็จะไม่ฟังเขา" ที่มีนัยยะถึงการเตือนชาวยิวผู้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในบาบีโลน พระเจ้าจะไม่แยแสพวกเขาอีกต่อไป หากพวกเขายังสวดให้พระเจ้าองค์อื่นๆ หากเปรียบเทียบกับโลกปัจจุบัน คนหันไปให้ความศรัทธาและลุ่มหลงกับเงินตราและเทคโนโลยีมากเกิน (ทั้งมือถือที่ลูกสาวใช้ติดต่อตลอด ไวไฟที่ลูกๆต้องการใช้ บ้านของเพื่อนนางเอกที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามีที่ดื่มไวน์สบายใจและขี้เกียจ เรือ รถ และอื่นๆ) ในฉากที่เพื่อนนางเอกจะถูกฆ่าตาย เธอได้ร้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจ แต่แล้วเสียงของเธอก็ไปไม่ถึงความช่วยเหลือนั้น เหมือนกับพระเจ้าที่ไม่แยแสชาวยิวที่บูชาพระเจ้าผิดองค์นั่นเอง
- จุดประสงค์ของพวกชุดแดง ร่างเงา นั้นคือ?
*สปอยล์ & ตีความ*
แน่นอนว่าเป็นแผนของ Adelaide ตัวจริงที่เป็นผู้นำกลุ่มให้ขึ้นมาสังหารหมู่ร่างจริงชาวอเมริกัน หากอ้างอิงตาม Jeremiah 11:11 พวกเขาจะขึ้นมาแทนที่ร่างจริงทั้งหมด การได้สังหารร่างจริงของตนถึงว่าบรรลุผล พวกเขาจึงต้องแสดงสัญลักษณ์โดยการยืนจับมือกันรอบอเมริกา นางเอกตัวปลอมเมื่อรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงบอกให้สามีขับรถไปเม็กซิโก เพราะไม่มีสถานที่ไหนในอเมริกาปลอดภัยต่อไปอีกแล้ว
- ฉากสุดท้าย นางเอกตามลงไปในอุโมงค์ใต้ดินเพื่อนำลูกชายกลับคืนมา และเมื่อได้ลูกชายกลับมาแล้ว ฉากที่นางเอกมองหน้าลูกชายเหมือนจะมีนัยยะอะไรบางอย่าง??
*สปอยล์ & ตีความ*
ลูกชายที่ชื่อ Jason ถูกลักพาตัวหายไป แน่นอนว่านางเอกหรือ Adelaide ตัวปลอม รู้สถานที่ที่จะไปเจอกับลูกชายแน่นอน คือบ้านกระจกนั่นเอง รวมถึงห้องลับที่จะเชื่อมต่อระหว่างโลกข้างบนและโลกข้างล่าง โดยทางเข้านั่นจะสังเกตได้ว่าเป็นบันไดเลื่อนลงเท่านั้น เมื่อลงไปจะพบว่ากระต่ายในกรงถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด อันนี้อาจจะตีความได้ถึงตัวทดลองที่ถูกปลดปล่อยให้มีอิสระ
นางเอกทั้งร่างจริงและเงาได้พบกันในห้อง (เรียน) อธิบายถึงจุดมุ่งหมายของแผนการ โดยอาวุธที่พวกร่างเงาใช้คือ กรรไกรทองคำ อาจจะหมายถึงสัญลักษณ์ของการตัด แยกความเชื่อมโยงระหว่างตัวจริงและเงา ให้ออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ส่วนฉากต่อสู้กันนั้น เราจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า นางเอกในชุดแดงสามารถหลบการเคลื่อนไหวได้ และได้เปรียบในการต่อสู้อยู่ตลอด เพราะเธอคือมนุษย์ข้างบน แต่ท้ายสุดแล้วเธอก็พลาดท่า ก่อนตายนางเอกชุดแดงได้พยายามผิวปากเป็นครั้งสุดท้าย นางเอกร่างเงารู้ว่าตนเองแพ้ตัวจริงทุกอย่าง แม้กระทั่งการผิวปากก็ไม่สามารถทำได้ จึงรีบลงมือรัดคอ เมื่อฆ่าตัวจริงได้สำเร็จ เธอจึงหัวเราะด้วยความสะใจ
นางเอกได้ช่วยลูกชายได้สำเร็จ และได้ส่งยิ้มให้ลูกชายเหมือนจะมีนัยยะอะไรบางอย่าง พร้อมออกรถไป แน่นอนว่าลูกชายอาจจะรู้แล้วว่าแม่ของเขาคือ ร่างเงา ที่เคยใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน แต่จริงๆแล้ว Jason เอง อาจจะเป็นเด็กชายที่เกิดจากอุโมงค์ใต้ดินด้วยก็เป็นได้
ข้อสังเกตที่ 1 เขาไม่เก่งเรื่องการเข้าจังหวะเพลง สังเกตได้จากตอนดีดนิ้วบนรถ
ข้อสังเกตที่ 2 คือเมื่อ Jason และครอบครัวมาถึงบ้านพักตากอากาศ เขาวิ่งไปหาเครื่องเล่นกลที่เคยเล่นไว้เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วเป็นอย่างแรก แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเล่นเครื่องเล่นนี้ได้ จนเขาได้เจอกับ Jason ตัวจริง เมื่อตัวจริงอยู่ใกล้ ทำให้เขาสามารถเล่นเครื่องเล่นกลนี้ได้ เพราะความสามารถของตัวจริงเด่นกว่า
ข้อสังเกตที่ 3 สมาชิกในครอบครัวมีการพูดว่า Jason ทำตัวแปลกไปหลังจากที่คุณยายเสียไป ทั้งการเข้าสังคม ทั้งคำพูดหยาบๆที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน โดยเฉพาะพี่สาวที่พูดว่าเมื่อฤดูร้อนที่แล้วที่มาบ้านพักตากอากาศหลังนี้ มีช่วงหนึ่งที่จู่ๆ Jason ก็หายตัวไป แต่ต่อมาก็พบในห้องที่เขาชอบเข้าไปแอบ (ห้องปิดตายจากข้างใน) ซึ่งอนุมานได้ว่าคุณยายได้เสียชีวิตหลังจากการมาเยือนบ้านพักตากอากาศได้ไม่นาน ลูกชายจึงมีท่าทีเปลี่ยนไป
ข้อสังเกตที่ 4 ตอนที่ทั้งครอบครัวกำลังเล่นอยู่ที่หาดชาย Jason ปลีกวิเวกไปเล่นกับกองทราย เด็กปกติที่เล่นกองทรายมักจะก่อปราสาททราย แต่แล้วเมื่อมีคนถาม Jason ว่ากำลังทำอะไร เขาบอกไปว่า กำลังสร้างอุโมงค์
ข้อสังเกตที่ 5 คือ Adelaide ไม่กล้าทำร้ายหรือทำอันตรายลูกชายตัวเอง แต่กลับพาเขาไปซ่อนในตู้ล็อกเกอร์แทน
ด้วยรวมๆแล้วนี่เป็นทฤษฎีล้วนๆนะครับ อาจจะไม่ใช่อย่างข้อสังเกตที่กล่าวมาก็เป็นได้
สุดท้ายแล้วคือ ชื่อเรื่อง “Us” คุณคิดว่าผู้กำกับอย่าง Jordan Peele จะแฝงความหมายอะไรกับคำๆนี้??
***ยังไงก็ขอฝากเพจด้วยนะครับ Facebook: Guru of Thrones
https://www.facebook.com/GuruofThrones/
สปอยล์ & ตีความ ภาพยนตร์เรื่อง Us: หลอน ลวง เรา (2019) ของ ผกก. Jordan Peele
หากจะเทียบกับหนังที่ใกล้เคียงกัน คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเทียบเคียงกับหนังเรื่อง Get out (2017) ของผู้กำกับคนเดียวกันนี้ โดย Get out จะเน้นความระทึก ตื่นเต้น ปนตลก มากกว่า สามารถดูโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ Us (2019) แม้ว่าจะเป็นหนังระทึกขวัญ แต่พวกฉากแนวตื่นเต้น ฉาก Jump scare คงจะไม่เยอะเท่า แต่หนังกลับซ่อนรายละเอียดให้ตีความเยอะกว่ามากๆ
โดยหนึ่งใน Signature ของผกก.อย่าง Jordan Peele อย่างหนึ่งนั้นคือ 'สัตว์' อย่างในเรื่อง Get out กวางเป็นสัตว์ที่ให้สัญลักษณ์ว่าเป็นผู้ถูกล่าหรือเหยื่อ และครั้งนี้ใน Us ก็เช่นกัน กระต่ายเป็นสัตว์ที่ถูกหยิบยกมาแทนสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง
โดยรวมแล้ว Us (2019) ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมาก ก็สนุกในระดับ 6-7 แต่ถ้าดูในระดับคิดอะไรมาก โหหห หนังเรื่องนี้สุดจริงๆ ผกก.ซ่อนอะไรไว้เยอะมาก ผู้ชมที่คิดมากอย่างเราๆ ต้องค่อยๆแกะปม ปริศนาของ Jordan ออกที่ละปมๆ เป็นหนังที่ดีมากอีกเรื่องนึงเลยครับ...
ถ้าพร้อมแล้ว ลองอ่านสปอยล์และการตีความกันดูครับ (ทั้งที่รวบรวมมาจากหลายแหล่งและที่ตีความเองนะครับ)
สปอยล์เนื้อเรื่อง & ตีความ
เกริ่นก่อนว่า ผู้กำกับเรื่องนี้เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับสื่อ Rolling Stone ว่าเขาได้แรงบันดาลใจในการเขียนบทเรื่องนี้จาก The Twilight Zone ปี 1960 ตอนที่ชื่อว่า “Mirror Image” ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของ doppelganger หรือร่างปีศาจเงาที่เหมือนตัวเอง เพราะฉะนั้นหลักการและเหตุผลของหนังเรื่องนี้ จะเป็นหลักการแบบ The Twilight Zone นะครับ
- เปิดเรื่องด้วยข้อความที่เขียนไว้ว่า “อุโมงค์ใต้ดินมีอยู่มากมาย บ้างก็ถูกทิ้งร้าง....บ้างก็มีไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง” ซักพักนึง ฉากก็ตัดมาที่กระต่ายในกรง พร้อมเพลงประกอบหลอนๆ
*สปอยล์ & ตีความ*
โดยตรงนี้จงใจจะบอกกับผู้ชมว่านี่คือการโปรเจคการโคลนนิ่งมนุษย์ที่ล้มเหลวของรัฐบาล คนที่เป็นตัวโคลนถูกรัฐบาลกักขังไว้ในอุโมงค์ใต้ดินทั่วอเมริกา คนที่เป็นตัวโคลน จะไม่สามารถพูดได้ ในเรื่องนี้จะถูกเรียกว่า “เงา” แต่จะจิตใจและการกระทำจะสามารถเชื่อมโยงถึงกัน จะสังเกตได้ว่ามีเพียงนางเอกเสื้อแดงคนเดียวที่สามารถพูดคุยได้ เพราะเธอเป็นคนที่มาจากโลกข้างบน แม้จะไม่เป็นธรรมชาติ เพราะไม่มีโอกาสได้พูด นางเอกเต้นบัลเล่ต์ได้ทั้งตัวจริงและตัวปลอม ลูกชายที่ชอบเล่นกลไฟ (ทำให้ร่างโคลนชอบเล่นไฟเช่นกัน และถูกไฟคลอกบริเวณหน้า) สองสาวฝาแฝดที่ชอบตีลังกา
ส่วนตัวกระต่ายนั้น หากคิดในเชิงเหตุผลคืออาหารของพวกเงาที่อยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน แต่หากคิดในเชิงสัญลักษณ์มันคือสัญลักษณ์แห่งการถูกทดลอง การโคลน และการขยายพันธุ์
- Adelaide Wilson นางเอกวัยเด็ก ได้ดูรายการทีวีบางอย่าง ก่อนที่พ่อแม่จะพาเธอไปเที่ยวหาดและสวนสนุกซานตาครูซ ซึ่งในตอนที่พ่อเธอไม่ทันสังเกต เธอได้เดินเข้าไปในบ้านกระจก (Mirror House) และพบว่ามีตัวเธอเองอีกคนอยู่ในบ้านกระจกแห่งนี้
*สปอยล์ & ตีความ*
เปิดเรื่องเป็นฉากนางเอกวัยเด็กกำลังดูทีวี ซึ่งมีข่าวที่เกี่ยว “การจับมือรอบอเมริกา (Hands Across America)” ซึ่งเด็กในตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นการแคมเปญหาเงินเพื่อคนไร้บ้านในปี 1986 ซึ่งแรกเริ่มตั้งเป้าไว้ว่าจะมีการร่วมกันจับมือระหว่างชาวอเมริกัน 50 ล้านคน แต่โปรเจคนี้ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะมีคนเข้าร่วมเพียง 16 ล้านคน นั่นเป็นภาพจำสุดท้ายบนจอทีวีของนางเอกวัยเด็ก (ผู้กำกับมีการใส่สติ๊กเกอร์หลังรถเป็นรูปพ่อแม่และลูกๆที่จับมือกันสี่คนอีกด้วย) นางเอกในวัยเด็กคิดว่านั้นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นพวกพ้อง
เมื่อ Adelaide ตัวจริง เดินเข้าไปในบ้านกระจก บังเอิญตรงกับจังหวะที่ไฟดับพอดี ทำให้ Adelaide ร่างเงารู้สึกถึงการมาเยือนของเธอ และสามารถขึ้นมาจากบันไดเลื่อนทางเชื่อมอุโมงค์และโลกข้างบน (ปกติเป็นบันไดเลื่อนแบบ one-way เลื่อนลงเท่านั้น ไม่สามารถขึ้นได้แต่เพราะไฟดับทำให้บันไดไม่ทำงาน) Adelaide ร่างจริงและร่างปลอมจึงได้เจอหน้ากันครั้งแรก ตัวจริงได้ถูกร่างเงาของเธอสับเปลี่ยนตัว นางเอก(ตัวปลอม) วัยเด็กจึงออกมาสู่บนโลกข้างบน และได้เจอกับพ่อแม่ ในตอนแรกนั้น เธอ (ตัวปลอม) ไม่สามารถพูดได้ พ่อแม่คิดว่าเกิดจากอาการช็อคที่เดินหายไปจากพ่อแม่ จึงต้องหาทางรักษาโดยการวาดรูป ดนตรีและการเต้นบัลเล่ต์ตามที่หมอแนะนำ แต่จริงๆแล้วร่างเงาไม่มีสามารถในด้านความคิดมากเท่าตัวจริง เราจะเห็นได้จากที่นางเอก พยายามดีดนิ้วสอนลูกให้เข้าจังหวะเพลง แต่ดูค่อมๆจังหวะ และฉากที่เปรียบเทียบการเต้นบัลเล่ต์ นางเอก(ตัวจริง)ที่เต้นอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินสามารถเต้นได้งดงามกว่าตัวปลอมที่เต้นอยู่บนเวที
- 30 ปีผ่านไป นางเอกที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้กลับมาเยือนหาดซานตา ครูซอีกครั้ง เธอรู้สึกได้ทันทีว่า ‘พวกเขา’ จะต้องมาหาพวกเธอแน่ๆ ทั้งการลางบอกเหตุ Jeremiah 11:11 ทั้งการสัมผัสได้ถึงตัวเธออีกคนนึง
*สปอยล์ & ตีความ*
Jeremiah 11:11 ป้ายที่ชายฮิปปี้ถืออยู่ ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลเยเรมีย์บทที่ 11 วรรคที่ 11 ซึ่งมีคำกล่าวดังนี้ “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขา ซึ่งเขาหนีไม่พ้น ถึงเขาจะร้องทุกข์ต่อเรา เราก็จะไม่ฟังเขา" ที่มีนัยยะถึงการเตือนชาวยิวผู้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในบาบีโลน พระเจ้าจะไม่แยแสพวกเขาอีกต่อไป หากพวกเขายังสวดให้พระเจ้าองค์อื่นๆ หากเปรียบเทียบกับโลกปัจจุบัน คนหันไปให้ความศรัทธาและลุ่มหลงกับเงินตราและเทคโนโลยีมากเกิน (ทั้งมือถือที่ลูกสาวใช้ติดต่อตลอด ไวไฟที่ลูกๆต้องการใช้ บ้านของเพื่อนนางเอกที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามีที่ดื่มไวน์สบายใจและขี้เกียจ เรือ รถ และอื่นๆ) ในฉากที่เพื่อนนางเอกจะถูกฆ่าตาย เธอได้ร้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจ แต่แล้วเสียงของเธอก็ไปไม่ถึงความช่วยเหลือนั้น เหมือนกับพระเจ้าที่ไม่แยแสชาวยิวที่บูชาพระเจ้าผิดองค์นั่นเอง
- จุดประสงค์ของพวกชุดแดง ร่างเงา นั้นคือ?
*สปอยล์ & ตีความ*
แน่นอนว่าเป็นแผนของ Adelaide ตัวจริงที่เป็นผู้นำกลุ่มให้ขึ้นมาสังหารหมู่ร่างจริงชาวอเมริกัน หากอ้างอิงตาม Jeremiah 11:11 พวกเขาจะขึ้นมาแทนที่ร่างจริงทั้งหมด การได้สังหารร่างจริงของตนถึงว่าบรรลุผล พวกเขาจึงต้องแสดงสัญลักษณ์โดยการยืนจับมือกันรอบอเมริกา นางเอกตัวปลอมเมื่อรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงบอกให้สามีขับรถไปเม็กซิโก เพราะไม่มีสถานที่ไหนในอเมริกาปลอดภัยต่อไปอีกแล้ว
- ฉากสุดท้าย นางเอกตามลงไปในอุโมงค์ใต้ดินเพื่อนำลูกชายกลับคืนมา และเมื่อได้ลูกชายกลับมาแล้ว ฉากที่นางเอกมองหน้าลูกชายเหมือนจะมีนัยยะอะไรบางอย่าง??
*สปอยล์ & ตีความ*
ลูกชายที่ชื่อ Jason ถูกลักพาตัวหายไป แน่นอนว่านางเอกหรือ Adelaide ตัวปลอม รู้สถานที่ที่จะไปเจอกับลูกชายแน่นอน คือบ้านกระจกนั่นเอง รวมถึงห้องลับที่จะเชื่อมต่อระหว่างโลกข้างบนและโลกข้างล่าง โดยทางเข้านั่นจะสังเกตได้ว่าเป็นบันไดเลื่อนลงเท่านั้น เมื่อลงไปจะพบว่ากระต่ายในกรงถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด อันนี้อาจจะตีความได้ถึงตัวทดลองที่ถูกปลดปล่อยให้มีอิสระ
นางเอกทั้งร่างจริงและเงาได้พบกันในห้อง (เรียน) อธิบายถึงจุดมุ่งหมายของแผนการ โดยอาวุธที่พวกร่างเงาใช้คือ กรรไกรทองคำ อาจจะหมายถึงสัญลักษณ์ของการตัด แยกความเชื่อมโยงระหว่างตัวจริงและเงา ให้ออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ส่วนฉากต่อสู้กันนั้น เราจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า นางเอกในชุดแดงสามารถหลบการเคลื่อนไหวได้ และได้เปรียบในการต่อสู้อยู่ตลอด เพราะเธอคือมนุษย์ข้างบน แต่ท้ายสุดแล้วเธอก็พลาดท่า ก่อนตายนางเอกชุดแดงได้พยายามผิวปากเป็นครั้งสุดท้าย นางเอกร่างเงารู้ว่าตนเองแพ้ตัวจริงทุกอย่าง แม้กระทั่งการผิวปากก็ไม่สามารถทำได้ จึงรีบลงมือรัดคอ เมื่อฆ่าตัวจริงได้สำเร็จ เธอจึงหัวเราะด้วยความสะใจ
นางเอกได้ช่วยลูกชายได้สำเร็จ และได้ส่งยิ้มให้ลูกชายเหมือนจะมีนัยยะอะไรบางอย่าง พร้อมออกรถไป แน่นอนว่าลูกชายอาจจะรู้แล้วว่าแม่ของเขาคือ ร่างเงา ที่เคยใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน แต่จริงๆแล้ว Jason เอง อาจจะเป็นเด็กชายที่เกิดจากอุโมงค์ใต้ดินด้วยก็เป็นได้
ข้อสังเกตที่ 1 เขาไม่เก่งเรื่องการเข้าจังหวะเพลง สังเกตได้จากตอนดีดนิ้วบนรถ
ข้อสังเกตที่ 2 คือเมื่อ Jason และครอบครัวมาถึงบ้านพักตากอากาศ เขาวิ่งไปหาเครื่องเล่นกลที่เคยเล่นไว้เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วเป็นอย่างแรก แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเล่นเครื่องเล่นนี้ได้ จนเขาได้เจอกับ Jason ตัวจริง เมื่อตัวจริงอยู่ใกล้ ทำให้เขาสามารถเล่นเครื่องเล่นกลนี้ได้ เพราะความสามารถของตัวจริงเด่นกว่า
ข้อสังเกตที่ 3 สมาชิกในครอบครัวมีการพูดว่า Jason ทำตัวแปลกไปหลังจากที่คุณยายเสียไป ทั้งการเข้าสังคม ทั้งคำพูดหยาบๆที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน โดยเฉพาะพี่สาวที่พูดว่าเมื่อฤดูร้อนที่แล้วที่มาบ้านพักตากอากาศหลังนี้ มีช่วงหนึ่งที่จู่ๆ Jason ก็หายตัวไป แต่ต่อมาก็พบในห้องที่เขาชอบเข้าไปแอบ (ห้องปิดตายจากข้างใน) ซึ่งอนุมานได้ว่าคุณยายได้เสียชีวิตหลังจากการมาเยือนบ้านพักตากอากาศได้ไม่นาน ลูกชายจึงมีท่าทีเปลี่ยนไป
ข้อสังเกตที่ 4 ตอนที่ทั้งครอบครัวกำลังเล่นอยู่ที่หาดชาย Jason ปลีกวิเวกไปเล่นกับกองทราย เด็กปกติที่เล่นกองทรายมักจะก่อปราสาททราย แต่แล้วเมื่อมีคนถาม Jason ว่ากำลังทำอะไร เขาบอกไปว่า กำลังสร้างอุโมงค์
ข้อสังเกตที่ 5 คือ Adelaide ไม่กล้าทำร้ายหรือทำอันตรายลูกชายตัวเอง แต่กลับพาเขาไปซ่อนในตู้ล็อกเกอร์แทน
ด้วยรวมๆแล้วนี่เป็นทฤษฎีล้วนๆนะครับ อาจจะไม่ใช่อย่างข้อสังเกตที่กล่าวมาก็เป็นได้
สุดท้ายแล้วคือ ชื่อเรื่อง “Us” คุณคิดว่าผู้กำกับอย่าง Jordan Peele จะแฝงความหมายอะไรกับคำๆนี้??
***ยังไงก็ขอฝากเพจด้วยนะครับ Facebook: Guru of Thrones
https://www.facebook.com/GuruofThrones/