เชื่อว่าหลายคนที่เลือกประชาธิปัตย์เลือกเพราะไม่ต้องการเผด็จการ ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ตะขิดตะขวงใจที่จะเลือกเพื่อไทยหรืออนาคตใหม่ ดังนั้น เขาจึงเลือกประชาธิปัตย์ เขารับได้ที่จะให้ประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลกับ พปชร. โดยหวังว่าคุณอภิสิทธิ์จะสามารถคุม สส. พปชร ได้ ให้ พปชร ยกมือให้อภิสิทธิ์เป็นนายก แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีความเสี่ยงที่ว่า ประชาธิปัตย์ อาจจะยกมือให้นายกคนปัจจุบันได้ หากประชาธิปัตย์ได้เสียงน้อย หรือ พรรคคุม สส. ไม่ได้ นั่นหมายความว่า คนที่เลือกทางนี้มีจุดยืนที่เป็นประชาธิปไตย และมีความเชื่อถือในตัวคุณอภิสิทธิ์ และคำพูดของคุณอภิสิทธิ์ กล้าเสี่ยงไปกับพรรคประชาธิปัตย์

แต่ก็เชื่อว่าอีกหลายคนเหมือนกัน เลือกประชาธิปัตย์เพราะไม่ต้องการทักษิณ เกลียดทักษิณ แต่ก็ตะขิดตะขวงใจที่จะเลือก พปชร เพราะรู้สึกว่า พปชร ไม่ค่อยต่างกับทักษิณเท่าไหร่ และพรรค พปชร ดูด สส. ฝั่งตรงข้ามไปเยอะ นอกจากนี้ดูจากผลงานปัจจุบันแล้ว ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่เลือก ดังนั้น เขาจึงเลือกประชาธิปัตย์ โดยหวังว่าจะให้ พปชร. หนุนอภิสิทธิ์ และร่วมต่อสู้คานอำนาจของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเสียงข้างมากมาโดยตลอด และโดยการนำของอภิสิทธิ์จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และไม่มีทักษิณด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มันมีความเสี่ยงที่ว่า ประชาธิปัตย์ ซึ่งอภิสิทธิ์ประกาศว่าไม่เอาเผด็จการ อาจจะไปอยู่กับฝ่ายเพื่อไทยได้ (มีคนคิดจริง ๆ) ดังนั้น คนที่เลือกทางนี้จะต้องมีความเชื่อถือในตัวคุณอภิสิทธิ์พอสมควร และกล้าเสี่ยงไปกับพรรคประชาธิปัตย์

ว่าโดยสรุป ในมุมมองของคนเลือกพรรคนี้ ในระบบประชาธิปไตย ที่พรรคชูเรื่องต้านเผด็จการ ต้านโกง มีคนสองกลุ่มคือ (ย้ำว่าตามกรอบความคิดของคนที่เลือกพรรคนี้) คนที่เลือกเพราะให้น้ำหนักเน้นเรื่องต้านเผด็จการ ก็กลัวว่า ประชาธิปัตย์จะไปส่งเสริมเผด็จการ ส่วนคนที่เลือกเพราะให้น้ำหนักเรื่องต้านโกงมากกว่า ก็กลัวว่า ประชาธิปัตย์จะไปส่งเสริมพรรคที่ตนมีภาพจำว่าเป็นพรรคโกง แต่ความกลัวของคนทั้งสองกลุ่มนั้น มีน้อยกว่าความกล้าที่จะเสี่ยงเพราะเห็นถึงทางออกของประเทศในแบบที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอ และความกลัวนั้นก็มีน้อยกว่าความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวคุณอภิสิทธิ์ และคำพูดที่คุณอภิสิทธิ์ได้ลั่นไว้ ดังนั้น พวกเขาเหล่านี้จึงได้เลือก คุณอภิสิทธิ์ เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีประมาณ 4 ล้านคน 

คำแนะนำสำหรับพรรคประชาธิปัตย์
คุณมาถูกทางแล้ว ทางที่ว่าก็คือ การชูอุดมการณ์ของพรรค และการเป็นผู้แทนและทางเลือกของคนกลุ่มหนึ่งผู้ซึ่งเห็นทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะพาประเทศก้าวไป เชื่อว่าแนวคิดนี้ที่คุณอภิสิทธิ์ได้ตั้งไข่ไว้แล้ว จะสามารถเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาวในประเทศนี้ ตอนนี้พรรคมี สส. ลดลง เป็นโอกาสให้ประชาธิปัตย์ทำการ purified ตัวเอง (ตอนนี้ก็ผ่านการ purified มาในระดับหนึ่งแล้วจากการเกิดของ พปชร) purified โดยเอาคนที่มาเข้าพรรคเพราะผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่สนใจอุดมการณ์และมีใจอันขัดต่ออุดมการณ์พรรคออก เอาคนใหม่ ๆ เข้า ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ของพรรคให้ทันสมัย ให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น ให้มีการเลือกหัวหน้าพรรคโดยสมาชิกพรรค (ซึ่งมีแล้ว) ให้มี primary vote แต่ยังคงคัดกรองคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันให้เข้ามาได้ นอกจากนี้ให้เพิ่มอำนาจหัวหน้าพรรคในการพูดสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องอ้างถึงการขอมติพรรค แต่หากหัวหน้าพรรคพูดอะไร ทำอะไรที่ขัดต่ออุดมการณ์พรรค ก็ให้กรรมการพรรคถอดถอนได้ ทั้งนี้ในทันที (หากไม่ทันที แสดงว่าสิ่งที่หัวหน้าพรรคพูดนั้นชอบแล้วด้วยอุดมการณ์) นี่จะทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ ของพรรครวดเร็วขึ้น และภาพลักษณ์ของหัวหน้าพรรคจะเข้มแข็งขึ้น การพูดจะดูมีพลัง และมีจุดยืนมากขึ้น นอกจากนี้พรรคควรลดการโจมตีพรรคฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากจะเป็นการดึงคนที่เกลียดฝ่ายนั้นเข้ามาสนับสนุนตนเอง ซึ่งได้ผลชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้าหากมีพรรคอื่นที่ดูเข้มแข็งกว่า ดูต่อกรกับพรรคนั้นได้มากกว่า คะแนนเสียงสนับสนุนส่วนนี้ก็พร้อมที่จะโบยบินจากพรรคประชาธิปัตย์ทันที การโจมตีนี่คือสิ่งที่ควรลด สิ่งที่ควรเพิ่ม เช่น การทำแบบที่คุณอภิสิทธิ์ทำวันนี้ การชูอุดมการณ์ การชี้ให้เห็นถึงทางเลือกที่ประเทศของเราจะไปต่อได้ การแปรความหมายของอุดมการณ์เพื่อสื่อสารออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น นโยบาย ต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พรรคสื่อออกมา ต้องอธิบายไปถึงต้นตอแห่งที่มาซึ่งเป็นอุดมการณ์ของพรรคได้ ย้ำ ๆ ๆ ๆ ถึงอุดมการณ์ของพรรค 

คำทำนายสำหรับพรรคประชาธิปัตย์
ผมไม่กล้าทำนายแล้ว เพราะจากครั้งก่อนที่ผมทายว่าอนาคตใหม่กับประชาธิปัตย์จะเป็นสองพรรคแรกที่ได้คะแนนสูสีกัน ผลออกมากลับไม่เป็นไปตามที่ผมทำนาย นั่นแสดงว่า ไม่มีใครสามารถเดาใจของประชาชนได้จริง ๆ