ถ้าปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเกณฑ์การให้รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ก็คงทำให้คนเข้าใจและเข้าถึงความพอเพียงได้ดีกว่านี้

  ตอนนี้เท่าที่ดูหลักเกณฑ์การให้รางวัลแก่หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะมีการพิจารณาจากการส่งเสริมอาชีพ การฝึกการบริหารชุมชนให้พึ่งพาตัวเองได้ หรือการที่ชุมชนปลอดยาเสพติด

ในปี 2561 ที่มีกิจกรรมส่งเสริมให้ประชาชนในหมู่บ้าน มีวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมสัมมนาอาชีพชุมชนเป็นรูปธรรม และต่อยอดได้ เช่นยกระดับรายได้ครัวเรือน มีกลุ่มอาชีพเสริม สามารถพัฒนาเป็นกลุ่มผู้ผลิต OTOP หรือสามารถเชื่อมโยงกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคี เป็นหมู่บ้านที่สามารถเป็นต้นแบบ ในการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเองได้ ปลอดยาเสพติด เป็นต้น
https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/717398

ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือว่าดีอยู่แล้ว แต่เมื่อพิจารณาตามหลักคุณธรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว น่าจะเพิ่มเกณฑ์พิจารณาการให้รางวัลเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินวิถีชีวิตตามหลักความพอเพียงมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

  ในที่นี้ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องอบายมุข 6 มาส่งเสริมกับหลักคุณธรรมของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งอบายมุขนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรละเว้น ไม่ให้เสื่อมถอยจากความเจริญในชีวิตและทำให้เรารู้จักประพฤติตนบนความพอเพียงได้ดียิ่ง ช่วยให้เรามีเงินเหลือเก็บ เหลือใช้ยามจำเป็น

1.การชอบเที่ยวกลางคืน หมายถึง การเที่ยวผับ บาร์ หรือสถานเริงรมณ์อื่นๆในเวลาวิกาล หรือเวลากลางคืน ซึ่งมีโทษดังนี้

- ทำให้เกิดโรคต่างๆ

- ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ขาดความอบอุ่น

- สิ้นเปลืองเงินทอง

- มักถูกใส่ความว่าเป็นคนร้ายหรือร่วมมือกับคนร้าย

- ไม่มีใครไว้วางใจ

- ได้รับความลำบาก

2.การชอบเที่ยวดูการละเล่น หมายถึง มีการละเล่นอะไร ที่ไหน เป็นต้องไปดูทุกครั้ง ดูอย่างพร่ำเพรื่อ เกินความจำเป็น มีโทษต่างๆดังนี้

- รำที่ไหน ไปที่นั่น

- ขับร้องที่ไหน ไปที่นั่น

- ประโคมที่ไหน ไปที่นั่น

- เสภาที่ไหน ไปที่นั่น

- เพลงที่ไหน ไปที่นั่น

- เถิดเทิงที่ไหน ไปที่นั่น

สุดท้ายจะกลายเป็นคนหมกมุ่นแต่เรื่องประเภทนี้

3.การเป็นนักเลงสุรา หมายถึง การติดสุราและของมึนเมาต่างๆ ผู้ที่ติดสิ่งเหล่านี้จะต้องดื่มและเสพเป็นประจำ ถือว่าเป็นภัยร้ายแรง เท่ากับตกนรกทั้งเป็น การเป็นนักเลงสุรา มีโทษดังนี้

- ทำให้เสียทรัพย์สิน

- ทำให้เสียสุขภาพและเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เช่นมะเร็งตับ พิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น

- ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท เพราะคุมสติไม่อยู่

- ทำให้เสียชื่อเสียงและได้รับคำติเตียน

- ทำให้ไม่รู้จักความละอาย

- บั่นทอนสติปัญญาให้เสื่อมลง

- ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิต

โทษของการเป็นนักเลงสุราข้อสุดท้ายนี้ มักจะพบเห็นบ่อยตามท้องถนน เพราะการเมาแล้วขับ และทั้งที่หลับใน ดังนั้นขอให้คนที่ติดสุราอยู่เลิกเถอะนะเพื่อตนเองและผู้อื่น

4.การเป็นนักเลงการพนัน หมายถึง การชอบเล่นการพนันขันต่อมีได้เสีย เช่น เล่นไพ่ เล่นหวย จนถึงขั้นที่เรียกว่า ผีพนันเข้าสิง การเป็นนักเลงการพนันมีโทษดังนี้

- เป็นหนทางของการก่อเวรซึ่งกันและกัน

- ทำให้เสียทรัพย์สิน

- ไม่มีใครไว้วางใจ

- ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย

- ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย

- ทำให้เป็นคนลุ่มหลง เล่นแล้วไม่หยุด

มีคนกล่าวไว้ว่า ไฟไหม้ 10 ครั้งยังไม่เท่าเล่นการพนันครั้งเดียว ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน เล่นการพนันไม่เหลืออะไรเลย เพราะเอาที่ดินไปพนัน แล้วเสีย หยุดการกระทำนี้เถอะเพราะมันไม่ทำให้ใขึ้นมาได้หรอก

5.การเกียจคร้านทำการงาน หมายถึง การไม่ขยันทำงานตามเวลาและหน้าที่รับผิดชอบ ปล่อยการงานให้คั่งค้าง เหมือน ดินพอกหางหมู มี 6 ประการดังนี้

- มักอ้างว่าหนาวเกินไป แล้วไม่ทำการงาน

- มักอ้างว่าร้อนเกินไป แล้วไม่ทำการงาน

- มักอ้างว่าเวลาเย็นเกินไป แล้วไม่ทำการงาน

-มักอ้างว่าเวลายังเช้าเกินไป แล้วไม่ทำการงาน

- มักอ้างว่าหิวเกินไป แล้วไม่ทำการงาน

- มักอ้างว่ากระหายเกินไป แล้วไม่ทำการงาน

ซึ่งส่งผลให้ได้รับโทษดังนี้

- หาความเจริญรุ่งเรืองไม่ได้

- ย่อมเสียประโยชน์ของตนไปอย่างน่าเสียดาย

- ทรัพย์สินเงินทองใหม่ก็ไม่เกิด ที่มีอยู่ก็มีแต่จะหมดไป

-  ทำให้คุณค่าของตนด้อยลงไปเพราะค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน

6.การคบคนชั่วเป็นมิตร หมายถึง การร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมเที่ยว ร่วมพวกหรือไปหาสู่กับคนชั่ว ซึ่งส่งผลให้ได้รับโทษ 6 ประการดังนี้

- ชักนำให้เป็นนักเลงการพนัน

- ชักนำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้

- ชักนำให้เป็นนักเลงสุรา

- ชักนำให้เป็นนักทำของปลอม หลอกลวงผู้อื่น

- ชักนำให้เป็นคนโกงซึ่งหน้า

- ชักนำให้เป็นนักเลงหัวไม้

  เมื่อดูจากหลักเกณฑ์การให้รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ณ ตอนนี้ ก็จะมีส่วนเชื่อมโยงกับการละเว้นอบายมุข 6 อยู่ในส่วนหนึ่ง

เช่น ส่งเสริมให้มีอาชีพ ให้บริหารชุมชนแบบพึ่งตนเองได้ ตรงกับการละเว้นอบายมุขข้อ 5 ไม่เกียจคร้านในการทำงาน  การปลอดยาเสพติด ก็ตรงกับกับละเว้นอบายมุขข้อ 3 การเป็นนักเลงสุรา

    ทีนี้ก็น่าจะเพิ่มรางวัลเกี่ยวกับการไม่เที่ยวกลางคืน(อบายมุขข้อ 1) หรือไม่เที่ยวดูการละเล่นต่างๆ(อบายมุขข้อ 2) ซึ่งสมัยนี้ก็คงเทียบกับ เข้าโรงหนังบ่อยๆ เที่ยวดูคอนเสิร์ตบ่อยๆ เที่ยวไปตามร้านคาราโอเกะบ่อยๆ ซึ่งหลายคนก็หมดเงินไปกับสิ่งเหล่านี้ จนเหลือเงินไว้ใช้ยามจำเป็นน้อยมาก บางคนทำให้สุขภาพแย่ มีความขยันในการทำงานน้อยลง  ชุมชนปลอดการพนัน(อบายมุขข้อ 4) มีพวกเล่นไพ่ เล่นไฮโลมั้ย หรือแม้กระทั่งว่าซื้อหวยจนแบบทุ่มหมดตัว พอไม่ได้ก็มานั่งเสียใจ ไม่มีเงินใช้ภายหลังหรือไม่   ชุมชนที่ปราศจากการคบคนไม่ดี (อบายมุขข้อ 6)เพราะคนไม่ดีสามารถนำเราไปทำสิ่งไม่ดีได้สารพัดรูปแบบ อาจพาเราหมดเนื้อหมดตัว ล่มจมก็ได้ แต่เกณฑ์การให้รางวัลน่าจะคล้ายๆหมู่บ้านศีล 5 ซึ่งเกณฑ์การให้ในข้อนี้อาจจะยากหน่อย และต้องพิจารณาละเอียด แต่ถ้าทำได้ก็ดีเยี่ยม

  ทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าทำได้ก็จะส่งเสริมหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่าด้วยหลักการความพอประมาณ  ความมีเหตุผล  การมีภูมิคุ้มกันที่ดี  เงื่อนไขความรู้  เงื่อนไขคุณธรรม ได้สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง อีกอย่างหนึ่งในการนำเสนออาชีพที่เกี่ยวกับความพอเพียง ก็ไม่ควรจะเสนออาชีพเกี่ยวกับการเกษตรอย่างเดียว ทุกอาชีพที่มีความซื่อสัตย์ ไม่โกงใคร ทำงานด้วยความสุจริต ได้เงินมารู้จักใช้จ่ายให้เหมาะสมแก่ฐานะที่ตัวเองมี ถือว่าคนในอาชีพนั้นได้ดำรงชีวิตที่อยู่บนเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว

  และการให้รางวัลความพอเพียงควรให้แก่คนหลากหลายฐานะ ผู้มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ

ผู้มีเงินเดือนหลายหมื่นถึงหลักแสน   จนไปถึงเจ้าของธุรกิจที่มีฐานะร่ำรวย เพราะข้อจำกัดและวิถีการดำเนินชีวิตทางการเงินของแต่ละฐานะนั้นไม่เหมือนกัน คนหาเช้ากินค่ำ รายได้ไม่มากดำเนินชีวิตถูกต้อง ก็ช่วยให้มีชีวิตที่อยู่สบายไม่เดือดร้อนเรื่องเงินก็ได้

  คนร่ำรวย ใช้เงินตามใจตัว สุดท้ายก็กลายเป็นคนตกอับก็มี

ชีวิต 4 นักธุรกิจดัง จาก "รวยแสนล้าน" สู่ล้มละลาย บางคนไร้ที่ซุกหัวนอน

https://www.thairath.co.th/content/1432038

อดีตดาราตกอับนั่งขอทาน

https://www.dailynews.co.th/entertainment/696671

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า แต่ละอาชีพก็ควรดำเนินตามความพอเพียง ตามหลักคุณธรรม จริยธรรมทั้งนั้น ชีวิตจึงจะไม่เสื่อมถอย ชีวิตจึงจะสามารถพบหนทางสว่างได้

  การให้รางวัลเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่เจ้าของธุรกิจร้อยล้านพันล้านที่ประพฤติดีก็ได้ ให้ดารา นักแสดงที่ดำเนินชีวิตถูก ดำเนินชีวิตเป็นก็ได้

  สรุปว่า ทุกอาชีพที่ดำเนินชีวิตดี ประพฤติดี ถือว่าให้รางวัลได้หมด อย่าไปเล็งให้รางวัลอาชีพรายได้น้อย ควรแยกการให้รางวัลไป ผู้มีรายได้น้อย ผู้มีรายได้ปานกลาง ผู้มีรายได้สูง เหมือนมวยเวลาแข่งกัน เขาก็ให้แยกรุ่น เพราะแต่ละสถานะมีข้อจำกัดคนละรูปแบบนั้นแหละ รางวัลเศรษฐกิจกิจพอเพียงก็ควรแยกสถานะเช่นเดียวกัน และควรให้ความรู้ทางด้านเศรษฐกิจพอเพียงที่ดีกว่านี้ เพื่อให้คนเข้าใจและปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น

 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่