สวัสดีครับทุกท่าน ผมชื่อเรศ์และมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง แต่เพื่อประหยัดเวลาของท่านผู้อ่านที่อาจมีข้อสงสัยใดๆของข้อเเท็จจริง ผมขอชี้แจงไว้ล่วงหน้าเลยครับว่าเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องแต่งผสมกับเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น ส่วนไหนแต่งเพื่อเพิ่มอรรถรส ส่วนไหนจริง ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านแยกแยะออกได้ครับ
ผมเกิดและเติบโตที่จังหวัดนครปฐม แต่ต้นตระกูลผมมาจากกาญจนบุรี คุณทวดบรรพบุรุษของผมเป็นหนึ่งในรุ่นบุกร้างถางพงเพื่อเป็นที่ดินอยู่อาศัยและปลูกทำกิน จนภายหลังรัฐบาลถึงมีกฎหมายออกเป็นโฉนดที่ดินให้ครอบครองกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์
คุณย่าผมเป็นลูกคนหนึ่งในเจ็ดคนของปู่ทวด และได้รับมรดกที่ดินมาเป็นจำนวน18ไร่อย่างถูกสิทธิ์ครอบครองภายหลังจากกฎหมายโฉนดที่ดินมีผลบังคับใช้แล้ว โดยคุณทวดผมในตอนนั้นท่านจัดสรรค์ปันส่วนระหว่างลูกชายลูกสาวทั้งเจ็ดคนอย่างไม่เท่าเทียมกันแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความลำเอียงรักลูกคนไหนมากกว่าเป็นหลัก
แต่เท่าที่ฟังคุณย่าเล่าตอนท่านยังมีชีวิต พี่น้องทั้งหมดก็ไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกัน ก็ช่วยๆกันทำกินไป หลักแบ่งเขตที่ดินก็มีไปงั้นๆแหละ ล้ำเส้นกันมาบ้างก็ไม่มีใครถือสาอะไรเพราะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันทั้งหมด
คุณย่าของผมก็ทำกินเท่าที่มีในผืนที่ดินของตัวเองจนได้มาพบรักกับคุณปู่ของผมซึ่งเป็น
พนักงานรฟท ซึ่งทำให้ชีวิตผู้หญิงท้องไร่ท้องนาต้องผกผันมาอยู่ในเมืองนครปฐม อำเภอเมือง สถานีรถไฟที่ปู่ของผมท่านประจำการอยู่ ส่วนที่สวนที่นาก็ให้พี่น้องทำไปเพียงแต่จ่ายค่าเช่าให้บ้างพอสมควร
คุณย่าผมเป็นคนขยัน มีฝีมือ ไปเปิดแผงขายกระปิ ขายอาหารในตลาดช่วยเหลือคุณปู่ที่เงินเดือนน้อยนิดมาก หลายปีต่อมาก็ซื้อบ้านได้ คุณย่าท่านซื้อผืนที่300 ตารางวาในตอนแรก ภายหลังมาซื้อเพิ่มอีก400ตารางวารวมเป็น700ตารางวา จนขยายออกไปเป็นไร่กว่าๆในที่สุด ตัวบ้านจริงๆไม่ใหญ่โตเท่าไหร่นักเน้นไปทางเนื้อที่ปลูกผลสูกลูกไม้ที่ท่านชื่นชอบมากกว่า
เหมือนว่าท่านตกล่องปล่องชิ้นย้ายมาอยู่กับคุณปู่ในเมืองด้วยความรัก แต่ใจจริงก็ยังอาลัยบรรยากาศท้องทุ่งท้องนา เทือกสวนไร่ที่ท่านคุ้นเคยเติบโตมา พอมาอยู่ในเมือง ลึกในซอยท่านก็ยังอยากอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ
ต้นไม้ที่ท่านปลูกเท่าที่ผมจำได้คือ มะพร้าว ฝรั่ง ชมพู่ มะละกอ มะม่วง มะยม มะนาว มะขามพุทธรักษา ต้นยอ ใบเตย หางจรเข้ ฯลฯ และที่ผมไม่เคยเห็นเพราะโดนโค่นทิ้งก่อนผมเกิดก็มีเยอะ เพราะตอนที่พ่อและอาของผมเกิดไล่ๆกันนั้น จำเป็นต้องต่อเติมบ้านออกทำให้ต้องตัดต้นไม้ออกไปบางส่วน และขยายลานปูนให้กว้างขึ้นเพื่อให้มีที่วิ่งเล่นสำหรับเด็ก
แต่มีดงกล้วยที่ตรงมุมซ้ายติดรั้วหลังบ้านย่าผมที่ไม่เคยถูกแตะต้องซ้ำยังถูกดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
เป็นที่น่าแปลกอย่างมากที่คุณย่าผมรักต้นกล้วยเหล่านี้อย่างมาก ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ๆ นับตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นอาผม ได้ยินว่าอาผมสมัยเด็กเคยแอบไปตัดก้านกล้วยมาริดใบออกและแต่งเป็นปืนยาวสับไกอย่างที่เด็กสมัยก่อนนิยมเล่นกัน ผลก็คือโดนคุณย่าเอ็ดหวดเพียะที่บั้นท้ายจนเข็ดไป
จนมาถึงรุ่นผม เท่าที่จำความได้ว่าทุกครั้งหลังจากท่านทำบุญตักบาตรพระเสร็จที่หน้าบ้านท่านจะมา
กรวดน้ำที่ต้นกล้วยเหล่านั้นทุกครั้ง และทุกครั้งท่านจะห้ามทุกคนเข้าไปอยู่ใกล้ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมติดคุณย่ามาก ครั้งหนึ่งพอหาคุณย่าไม่เจอก็เดินตามหาไปทั่วอาณาบริเวณบ้าน แล้วก็ไปเจอคุณย่ายืนหันหน้าไปที่หน้าดงต้นกล้วยตรงนั้นเหมือนท่านยืนพูดกับใครที่ผมมองไม่เห็นตัว
ท่านรับรู้ถึงการมาของผมทั้งที่ผมยังยืนมองอยู่ในระยะห่างคล้ายกับมีใครกระซิบบอกเพราะท่านเหลียวหน้ามามองผมแว่บหนึ่งแล้วหันกลับไป ผมแว่วๆได้ยินเสียงท่านพูดว่า
“ หลานชายมาตามฉันแล้ว เท่านี้ก่อนนะเธอ”
ผมเดินไปหาคุณย่าและพลางร้องเรียก คุณย่าลูบหัวผมอย่างปราณี ด้วยความขี้สงสัยตามประสาเด็กผมอดมองไปที่หน่อกล้วยข้างหลังคุณย่าไม่ได้ ก็ได้รับคำตอบว่า”ไม่มีอะไรหรอกลูก ไปกันเถอะ”
เข้าใจว่าสมัยนั้นที่ดินยังราคาถูกอยู่ แถวบ้านคุณย่าจึงมีคนมาซื้อที่เปล่าๆเก็บไว้จำนวนมาก แต่น้อยบ้านนักที่จะใช้เนื้อดินให้เกิดประโยชน์งอกเงยใดๆขึ้นมา ปลูกบ้านเป็นหลังแล้วก็ทิ้งผืนดินที่
เหลือโล่งๆอยู่อย่างนั้น
จะมีบ้างก็แถวบึง หนองน้ำมีคนเอาเป็ดกับห่านมาปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติ ตอนเด็กๆผมโดนห่านที่เดินป้วนเปี้ยนแถวนั้นไล่กัดเป็นประจำเวลาเดินผ่าน หลังๆมันคงจำผมได้หรือเริ่มเบื่อจึงเลิกไม่สนใจผมอีก
ดังนั้นบ้านแต่ละหลังจึงห่างกันด้วยเนื้อที่อันเหลือเฟือกั้นขวางชนิดเพื่อนบ้านตะโกนหากันได้ยินแค่เสียงก้องๆแต่จับใจความไม่ได้ ในยามระหว่างวันก็เงียบสงบดีอยู่หรอก แต่พอตกเย็นขึ้นมามันวิเวกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
อาของผมเล่าให้ผมฟังว่า คุณปู่ท่านเสียไปเพราะโรคพิษสุราเรื้อรังเมื่อครอบครัวเราตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐานแล้ว ใหม่ๆคุณย่าท่านก็เศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา แต่ยังดีที่พ่อผมมีหลานให้ท่านไวทันใจ คือพี่สาวผมที่เกิดก่อนสามปียังทันช่วงเสี้ยวสุดท้ายของชีวิตคุณปู่อยู่ แต่สำหรับผมเกิดหลังคุณปู่ท่านเสียไปแล้ว
ในคืนหนึ่ง พี่เอี้ยงซึ่งเป็นพี่เลี้ยงผมกับพี่สาวและเป็นญาติห่างๆทางคุณย่า เพิ่งอาบน้ำเสร็จนุ่งกระโจมอกเข้ามาในห้องเก็บเสื้อผ้า ระหว่างผลัดผ้าเตรียมเข้านอนพอดีหันไปมองผ่านหน้าต่างห้องที่ใต้ถุนบ้านสูงกว่าพื้นดินอย่างไม่ตั้งใจ สายตาพลันมองเห็นเงาดำตะคุ่มร่างใหญ่เคลื่อนตัวเลาะแนวรั้วไม้ เหมือนพยายามหาทางเข้า
ด้วยความสูงของรั้วทำให้เห็นร่างทะมึนนั้นแค่ช่วงไหล่กับศีรษะ จากลักษณะพอบอกได้ว่าเป็นผู้ชายและต้องเป็นผู้ชายที่ตัวใหญ่เอาเรื่องและอากัปกิริยาเท่าที่เห็นแสดงว่ากำลังงุ่นง่านจัดเพราะหาทางเข้าไม่ได้ พอดีในห้องไม่ได้เปิดไฟเพราะพี่เอี้ยงอาศัยแสงนีออนลอดมาจากห้องโถงที่คุณอาผมนั่งกินเหล้าอยู่จึงอุ่นใจว่าคนที่อยู่นอกรั้วนั้นไม่เห็นตัวเอง
พี่เอี้ยงตั้งสติรีบใส่เสื้อคอกระเช้าให้เรียบร้อยและค่อยๆถอยหลังตัวลีบออกจากห้อง ที่กลางห้องโถงใหญ่ของบ้าน คุณอาผมท่านนั่งอยู่บนพื้นบ้านกำลังจิบเหล้าพร้อมถาดกับแกล้มอยู่คนเดียว มีทีวีประจำบ้านเป็นเพื่อน เมื่อเห็นพี่เอี้ยงที่ยังสาวรุ่นๆ18ปีเป็นญาติห่างๆวิ่งย่องลนลานราวกับหนีอะไรมาก็ประหลาดใจ
ต้องบอกก่อนว่าบ้านผมเคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีมาก ตั้งแต่คุณย่ารับพี่เอี้ยงมาอยู่ด้วยก็ให้นอนห้องเดียวกันกับท่านมาโดยตลอดเพื่อป้องกันข้อครหา เพราะบ้านท่านมีลูกชายสองคนคือพ่อผมที่หย่าร้างกับแม่ผมแล้วและอาที่ยังโสดอยู่
แต่ตอนนั้นพ่อผมไม่อยู่บ้าน ท่านเล่นวงเดนตรีประจำในตำแหน่งมือกลองที่โรงแรมเอราวัณ อาทิตย์หนึ่งจะกลับบ้านสักครั้ง(ไม่ทราบหลายท่านเดาออกหรือยังว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว)
ดังนั้นพี่เอี้ยงกับคุณย่าพร้อมด้วยหลานสองคนของท่านคือพี่สาวผมกับผมจึงนอนในห้องเดียวกันทั้งๆที่ห้องหับก็มีเหลืออยู่สามห้อง
ความตกใจของคุณอาผมมีมากกว่านั้นเมื่อพี่เอี้ยงกระซิบบอกว่าเพิ่งเห็นอะไร คุณอารีบไปเปิดตู้หยิบปืนพกแบบ Revolver(เถื่อน)ที่ท่านได้มาจากพรรคพวกเมื่อยังทำงานอยู่อู่ตะเภาสมัยที่ทหารอเมริกันยังเกลื่อนกลาดเมืองออกมาตรวจกระสุน เวลานั้นคุณอาผมเริ่มกรึ่มๆ ปริมาณแอลกอฮอล์กำลังพลุ่งพล่านในระดับที่ครองสติได้ สั่งค่อยๆกับพี่เอี้ยงให้หลบเข้าไปอยู่ในห้องคุณย่าแล้วเดินเบาๆเข้าไปในห้องที่พี่เอี้ยงเพิ่งออกมา
คุณอาผมเป็นคนใจนักเลงท่านตั้งใจว่าใครก็ตามที่พยายามรุกล้ำปีนรั้วเข้ามาจะยิงอัดเสียตรงนั้น อาศัยหน้าต่างห้องที่อยู่สูงกว่านี้แหละเป็นจุดได้เปรียบ
ท่านวางท่าปืนในลักษณะชันมือขึ้นตั้งฉากกับลำตัว (เคยฝึกมาก่อน) สายตาสอดส่ายหาผู้บุกรุก เมื่อ
เห็นเป้าหมายก็ตวัดมือพร้อมยิงได้เลย แต่
เมื่อเห็นผู้มาเยือนไม่ได้รับเชิญแบบถนัดตา คุณอาผมตาเบิกโพลง ตัวตะลึงแข็งทื่อ
ก็จะไม่ให้เกิดอาการนั้นได้อย่างไร ในเมื่อสายตาที่มองเห็นถนัดในวิถียิงนั้นประสบกับบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว นั่นคือ
คุณอาผมตัวชาดิก ขากรรไกรเคลื่อนไหวอย่างยากเย็น “พ่อ” เปล่งเสียงออกได้แค่นั้น
ต้นกล้วยคุณย่า
ผมเกิดและเติบโตที่จังหวัดนครปฐม แต่ต้นตระกูลผมมาจากกาญจนบุรี คุณทวดบรรพบุรุษของผมเป็นหนึ่งในรุ่นบุกร้างถางพงเพื่อเป็นที่ดินอยู่อาศัยและปลูกทำกิน จนภายหลังรัฐบาลถึงมีกฎหมายออกเป็นโฉนดที่ดินให้ครอบครองกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์
คุณย่าผมเป็นลูกคนหนึ่งในเจ็ดคนของปู่ทวด และได้รับมรดกที่ดินมาเป็นจำนวน18ไร่อย่างถูกสิทธิ์ครอบครองภายหลังจากกฎหมายโฉนดที่ดินมีผลบังคับใช้แล้ว โดยคุณทวดผมในตอนนั้นท่านจัดสรรค์ปันส่วนระหว่างลูกชายลูกสาวทั้งเจ็ดคนอย่างไม่เท่าเทียมกันแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความลำเอียงรักลูกคนไหนมากกว่าเป็นหลัก
แต่เท่าที่ฟังคุณย่าเล่าตอนท่านยังมีชีวิต พี่น้องทั้งหมดก็ไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกัน ก็ช่วยๆกันทำกินไป หลักแบ่งเขตที่ดินก็มีไปงั้นๆแหละ ล้ำเส้นกันมาบ้างก็ไม่มีใครถือสาอะไรเพราะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันทั้งหมด
คุณย่าของผมก็ทำกินเท่าที่มีในผืนที่ดินของตัวเองจนได้มาพบรักกับคุณปู่ของผมซึ่งเป็น
พนักงานรฟท ซึ่งทำให้ชีวิตผู้หญิงท้องไร่ท้องนาต้องผกผันมาอยู่ในเมืองนครปฐม อำเภอเมือง สถานีรถไฟที่ปู่ของผมท่านประจำการอยู่ ส่วนที่สวนที่นาก็ให้พี่น้องทำไปเพียงแต่จ่ายค่าเช่าให้บ้างพอสมควร
คุณย่าผมเป็นคนขยัน มีฝีมือ ไปเปิดแผงขายกระปิ ขายอาหารในตลาดช่วยเหลือคุณปู่ที่เงินเดือนน้อยนิดมาก หลายปีต่อมาก็ซื้อบ้านได้ คุณย่าท่านซื้อผืนที่300 ตารางวาในตอนแรก ภายหลังมาซื้อเพิ่มอีก400ตารางวารวมเป็น700ตารางวา จนขยายออกไปเป็นไร่กว่าๆในที่สุด ตัวบ้านจริงๆไม่ใหญ่โตเท่าไหร่นักเน้นไปทางเนื้อที่ปลูกผลสูกลูกไม้ที่ท่านชื่นชอบมากกว่า
เหมือนว่าท่านตกล่องปล่องชิ้นย้ายมาอยู่กับคุณปู่ในเมืองด้วยความรัก แต่ใจจริงก็ยังอาลัยบรรยากาศท้องทุ่งท้องนา เทือกสวนไร่ที่ท่านคุ้นเคยเติบโตมา พอมาอยู่ในเมือง ลึกในซอยท่านก็ยังอยากอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ
ต้นไม้ที่ท่านปลูกเท่าที่ผมจำได้คือ มะพร้าว ฝรั่ง ชมพู่ มะละกอ มะม่วง มะยม มะนาว มะขามพุทธรักษา ต้นยอ ใบเตย หางจรเข้ ฯลฯ และที่ผมไม่เคยเห็นเพราะโดนโค่นทิ้งก่อนผมเกิดก็มีเยอะ เพราะตอนที่พ่อและอาของผมเกิดไล่ๆกันนั้น จำเป็นต้องต่อเติมบ้านออกทำให้ต้องตัดต้นไม้ออกไปบางส่วน และขยายลานปูนให้กว้างขึ้นเพื่อให้มีที่วิ่งเล่นสำหรับเด็ก
แต่มีดงกล้วยที่ตรงมุมซ้ายติดรั้วหลังบ้านย่าผมที่ไม่เคยถูกแตะต้องซ้ำยังถูกดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
เป็นที่น่าแปลกอย่างมากที่คุณย่าผมรักต้นกล้วยเหล่านี้อย่างมาก ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ๆ นับตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นอาผม ได้ยินว่าอาผมสมัยเด็กเคยแอบไปตัดก้านกล้วยมาริดใบออกและแต่งเป็นปืนยาวสับไกอย่างที่เด็กสมัยก่อนนิยมเล่นกัน ผลก็คือโดนคุณย่าเอ็ดหวดเพียะที่บั้นท้ายจนเข็ดไป
จนมาถึงรุ่นผม เท่าที่จำความได้ว่าทุกครั้งหลังจากท่านทำบุญตักบาตรพระเสร็จที่หน้าบ้านท่านจะมา
กรวดน้ำที่ต้นกล้วยเหล่านั้นทุกครั้ง และทุกครั้งท่านจะห้ามทุกคนเข้าไปอยู่ใกล้ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมติดคุณย่ามาก ครั้งหนึ่งพอหาคุณย่าไม่เจอก็เดินตามหาไปทั่วอาณาบริเวณบ้าน แล้วก็ไปเจอคุณย่ายืนหันหน้าไปที่หน้าดงต้นกล้วยตรงนั้นเหมือนท่านยืนพูดกับใครที่ผมมองไม่เห็นตัว
ท่านรับรู้ถึงการมาของผมทั้งที่ผมยังยืนมองอยู่ในระยะห่างคล้ายกับมีใครกระซิบบอกเพราะท่านเหลียวหน้ามามองผมแว่บหนึ่งแล้วหันกลับไป ผมแว่วๆได้ยินเสียงท่านพูดว่า
“ หลานชายมาตามฉันแล้ว เท่านี้ก่อนนะเธอ”
ผมเดินไปหาคุณย่าและพลางร้องเรียก คุณย่าลูบหัวผมอย่างปราณี ด้วยความขี้สงสัยตามประสาเด็กผมอดมองไปที่หน่อกล้วยข้างหลังคุณย่าไม่ได้ ก็ได้รับคำตอบว่า”ไม่มีอะไรหรอกลูก ไปกันเถอะ”
เข้าใจว่าสมัยนั้นที่ดินยังราคาถูกอยู่ แถวบ้านคุณย่าจึงมีคนมาซื้อที่เปล่าๆเก็บไว้จำนวนมาก แต่น้อยบ้านนักที่จะใช้เนื้อดินให้เกิดประโยชน์งอกเงยใดๆขึ้นมา ปลูกบ้านเป็นหลังแล้วก็ทิ้งผืนดินที่
เหลือโล่งๆอยู่อย่างนั้น
จะมีบ้างก็แถวบึง หนองน้ำมีคนเอาเป็ดกับห่านมาปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติ ตอนเด็กๆผมโดนห่านที่เดินป้วนเปี้ยนแถวนั้นไล่กัดเป็นประจำเวลาเดินผ่าน หลังๆมันคงจำผมได้หรือเริ่มเบื่อจึงเลิกไม่สนใจผมอีก
ดังนั้นบ้านแต่ละหลังจึงห่างกันด้วยเนื้อที่อันเหลือเฟือกั้นขวางชนิดเพื่อนบ้านตะโกนหากันได้ยินแค่เสียงก้องๆแต่จับใจความไม่ได้ ในยามระหว่างวันก็เงียบสงบดีอยู่หรอก แต่พอตกเย็นขึ้นมามันวิเวกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
อาของผมเล่าให้ผมฟังว่า คุณปู่ท่านเสียไปเพราะโรคพิษสุราเรื้อรังเมื่อครอบครัวเราตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐานแล้ว ใหม่ๆคุณย่าท่านก็เศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา แต่ยังดีที่พ่อผมมีหลานให้ท่านไวทันใจ คือพี่สาวผมที่เกิดก่อนสามปียังทันช่วงเสี้ยวสุดท้ายของชีวิตคุณปู่อยู่ แต่สำหรับผมเกิดหลังคุณปู่ท่านเสียไปแล้ว
ในคืนหนึ่ง พี่เอี้ยงซึ่งเป็นพี่เลี้ยงผมกับพี่สาวและเป็นญาติห่างๆทางคุณย่า เพิ่งอาบน้ำเสร็จนุ่งกระโจมอกเข้ามาในห้องเก็บเสื้อผ้า ระหว่างผลัดผ้าเตรียมเข้านอนพอดีหันไปมองผ่านหน้าต่างห้องที่ใต้ถุนบ้านสูงกว่าพื้นดินอย่างไม่ตั้งใจ สายตาพลันมองเห็นเงาดำตะคุ่มร่างใหญ่เคลื่อนตัวเลาะแนวรั้วไม้ เหมือนพยายามหาทางเข้า
ด้วยความสูงของรั้วทำให้เห็นร่างทะมึนนั้นแค่ช่วงไหล่กับศีรษะ จากลักษณะพอบอกได้ว่าเป็นผู้ชายและต้องเป็นผู้ชายที่ตัวใหญ่เอาเรื่องและอากัปกิริยาเท่าที่เห็นแสดงว่ากำลังงุ่นง่านจัดเพราะหาทางเข้าไม่ได้ พอดีในห้องไม่ได้เปิดไฟเพราะพี่เอี้ยงอาศัยแสงนีออนลอดมาจากห้องโถงที่คุณอาผมนั่งกินเหล้าอยู่จึงอุ่นใจว่าคนที่อยู่นอกรั้วนั้นไม่เห็นตัวเอง
พี่เอี้ยงตั้งสติรีบใส่เสื้อคอกระเช้าให้เรียบร้อยและค่อยๆถอยหลังตัวลีบออกจากห้อง ที่กลางห้องโถงใหญ่ของบ้าน คุณอาผมท่านนั่งอยู่บนพื้นบ้านกำลังจิบเหล้าพร้อมถาดกับแกล้มอยู่คนเดียว มีทีวีประจำบ้านเป็นเพื่อน เมื่อเห็นพี่เอี้ยงที่ยังสาวรุ่นๆ18ปีเป็นญาติห่างๆวิ่งย่องลนลานราวกับหนีอะไรมาก็ประหลาดใจ
ต้องบอกก่อนว่าบ้านผมเคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีมาก ตั้งแต่คุณย่ารับพี่เอี้ยงมาอยู่ด้วยก็ให้นอนห้องเดียวกันกับท่านมาโดยตลอดเพื่อป้องกันข้อครหา เพราะบ้านท่านมีลูกชายสองคนคือพ่อผมที่หย่าร้างกับแม่ผมแล้วและอาที่ยังโสดอยู่
แต่ตอนนั้นพ่อผมไม่อยู่บ้าน ท่านเล่นวงเดนตรีประจำในตำแหน่งมือกลองที่โรงแรมเอราวัณ อาทิตย์หนึ่งจะกลับบ้านสักครั้ง(ไม่ทราบหลายท่านเดาออกหรือยังว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว)
ดังนั้นพี่เอี้ยงกับคุณย่าพร้อมด้วยหลานสองคนของท่านคือพี่สาวผมกับผมจึงนอนในห้องเดียวกันทั้งๆที่ห้องหับก็มีเหลืออยู่สามห้อง
ความตกใจของคุณอาผมมีมากกว่านั้นเมื่อพี่เอี้ยงกระซิบบอกว่าเพิ่งเห็นอะไร คุณอารีบไปเปิดตู้หยิบปืนพกแบบ Revolver(เถื่อน)ที่ท่านได้มาจากพรรคพวกเมื่อยังทำงานอยู่อู่ตะเภาสมัยที่ทหารอเมริกันยังเกลื่อนกลาดเมืองออกมาตรวจกระสุน เวลานั้นคุณอาผมเริ่มกรึ่มๆ ปริมาณแอลกอฮอล์กำลังพลุ่งพล่านในระดับที่ครองสติได้ สั่งค่อยๆกับพี่เอี้ยงให้หลบเข้าไปอยู่ในห้องคุณย่าแล้วเดินเบาๆเข้าไปในห้องที่พี่เอี้ยงเพิ่งออกมา
คุณอาผมเป็นคนใจนักเลงท่านตั้งใจว่าใครก็ตามที่พยายามรุกล้ำปีนรั้วเข้ามาจะยิงอัดเสียตรงนั้น อาศัยหน้าต่างห้องที่อยู่สูงกว่านี้แหละเป็นจุดได้เปรียบ
ท่านวางท่าปืนในลักษณะชันมือขึ้นตั้งฉากกับลำตัว (เคยฝึกมาก่อน) สายตาสอดส่ายหาผู้บุกรุก เมื่อ
เห็นเป้าหมายก็ตวัดมือพร้อมยิงได้เลย แต่
เมื่อเห็นผู้มาเยือนไม่ได้รับเชิญแบบถนัดตา คุณอาผมตาเบิกโพลง ตัวตะลึงแข็งทื่อ
ก็จะไม่ให้เกิดอาการนั้นได้อย่างไร ในเมื่อสายตาที่มองเห็นถนัดในวิถียิงนั้นประสบกับบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว นั่นคือ
คุณอาผมตัวชาดิก ขากรรไกรเคลื่อนไหวอย่างยากเย็น “พ่อ” เปล่งเสียงออกได้แค่นั้น