สืบเนื่องจากกระทู้ก่อนๆ ที่เราเคยบอกไปว่าเราเลิกกับแฟนเก่าไป ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้ว และตอนนี้ก็มีคนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเรา แต่เรายังไม่กล้าเปิดใจ เพราะเรากลัวเขารับไม่ได้กับโรคที่เราเป็น และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อาการเราจะกำเริบอีก ..
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนเราคบกับแฟนเก่า มีช่วงนึงเราเครียดมากๆ ทั้งเรื่องงาน การใช้ชีวิตและเรื่องที่บ้าน มันทำให้ช่วงนั้นอารมณ์เราแปรปรวนมาก จนเราปรึกษากับแฟน(เก่า) ว่า เราจะไปหาหมอดีมั้ย หรือควรจะทำยังไงดี แล้วสุดท้ายก็ได้บทสรุปคือ เราไปปรึกษาหมอจิตเวชที่ รพ.ศิริราชค่ะ และหมอก็บอกว่า เราเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ หมอก็ให้ยามาทาน แล้วให้เราค่อยๆปรับตัวเอง ปรับอารมณ์ให้รองรับกับสถานการณ์ต่างๆรอบตัวให้ได้ และแฟนเราก็รับรู้มาตลอดระยะเวลาที่เราเป็นโรคนี้ เราคุยกับเค้าเสมอว่าเค้าโอเคมั้ยกับอะไรแบบนี้ เค้าก็บอกเค้าโอเค จนพอมาถึงช่วงนึงที่อารมณ์เรากลับมาแปรปรวนมากๆ (สามารถกลับไปอ่านในกระทู้ก่อนหน้านี้ได้นะคะ ตอนที่เราเลิกกับแฟนหนะค่ะ) มันเลยถึงจุดแตกหักของเรากับแฟน ช่วงนั้นเราแย่มาก เหมือนคนบ้าเลยค่ะ เราทำร้ายตัวเองด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด .. จนต้อง Admit เพื่อทำการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่เราก็ผ่านมันมาได้โดยมีกำลังใจจากครอบครัว เพื่อน และที่ทำงานค่ะ
จนมาถึงวันนี้ที่เริ่มมีคนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเรา ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเพื่อน พี่น้อง หรือแบบมากกว่านั้น เราเองก็ไม่กล้าพอที่จะบอกเค้าไปตรงๆ ว่าเราเป็นโรคนี้ เราจะอารมณ์แปรปรวน จะมีอาการกำเริบเมื่อไรก็ได้ คือเราไม่ได้อายที่ต้องเป็นแบบนี้นะคะ เพราะเราเองก็ยอมรับว่าส่วนนึง มันเกิดขึ้นจากสภาวะจิตใจของเราเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ แต่ที่เรากลัวที่จะบอกออกไป เพราะเรากลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่โอเค หรืออาจจะรังเกียจแล้วหายไปจากชีวิตเราเลยก็ได้ คือถึงแม้จะจบไม่สวย แต่เราก็ยังอยากมีเพื่อน มีมิตรภาพที่ดีๆอยู่ เพราะทุนเดิมของเราคือมีเพื่อนน้อยมากอยู่แล้ว และถ้าจะมีคนอื่นๆ คนใหม่ๆแวะเวียนเข้ามาในชีวิตเราไม่ว่าจะสถานไหนก็ตาม เราเองก็ไม่อยากให้เค้าหายไปเพราะกลัวสภาพจิตใจ อารมณ์ หรือรังเกียจเราเพราะเราอาจจะบังคับจิตใจตัวเองไม่ได้ เราควรทำยังไงดีคะ รบกวนคนที่เข้ามาอ่านช่วยให้คำแนะนำทีนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ
#ซึมเศร้าเพื่อนรัก #เมื่อฉันเป็นไบโพลาร์
เมื่อฉันเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์ในเวลาเดียวกัน ..
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนเราคบกับแฟนเก่า มีช่วงนึงเราเครียดมากๆ ทั้งเรื่องงาน การใช้ชีวิตและเรื่องที่บ้าน มันทำให้ช่วงนั้นอารมณ์เราแปรปรวนมาก จนเราปรึกษากับแฟน(เก่า) ว่า เราจะไปหาหมอดีมั้ย หรือควรจะทำยังไงดี แล้วสุดท้ายก็ได้บทสรุปคือ เราไปปรึกษาหมอจิตเวชที่ รพ.ศิริราชค่ะ และหมอก็บอกว่า เราเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ หมอก็ให้ยามาทาน แล้วให้เราค่อยๆปรับตัวเอง ปรับอารมณ์ให้รองรับกับสถานการณ์ต่างๆรอบตัวให้ได้ และแฟนเราก็รับรู้มาตลอดระยะเวลาที่เราเป็นโรคนี้ เราคุยกับเค้าเสมอว่าเค้าโอเคมั้ยกับอะไรแบบนี้ เค้าก็บอกเค้าโอเค จนพอมาถึงช่วงนึงที่อารมณ์เรากลับมาแปรปรวนมากๆ (สามารถกลับไปอ่านในกระทู้ก่อนหน้านี้ได้นะคะ ตอนที่เราเลิกกับแฟนหนะค่ะ) มันเลยถึงจุดแตกหักของเรากับแฟน ช่วงนั้นเราแย่มาก เหมือนคนบ้าเลยค่ะ เราทำร้ายตัวเองด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด .. จนต้อง Admit เพื่อทำการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่เราก็ผ่านมันมาได้โดยมีกำลังใจจากครอบครัว เพื่อน และที่ทำงานค่ะ
จนมาถึงวันนี้ที่เริ่มมีคนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเรา ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเพื่อน พี่น้อง หรือแบบมากกว่านั้น เราเองก็ไม่กล้าพอที่จะบอกเค้าไปตรงๆ ว่าเราเป็นโรคนี้ เราจะอารมณ์แปรปรวน จะมีอาการกำเริบเมื่อไรก็ได้ คือเราไม่ได้อายที่ต้องเป็นแบบนี้นะคะ เพราะเราเองก็ยอมรับว่าส่วนนึง มันเกิดขึ้นจากสภาวะจิตใจของเราเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ แต่ที่เรากลัวที่จะบอกออกไป เพราะเรากลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่โอเค หรืออาจจะรังเกียจแล้วหายไปจากชีวิตเราเลยก็ได้ คือถึงแม้จะจบไม่สวย แต่เราก็ยังอยากมีเพื่อน มีมิตรภาพที่ดีๆอยู่ เพราะทุนเดิมของเราคือมีเพื่อนน้อยมากอยู่แล้ว และถ้าจะมีคนอื่นๆ คนใหม่ๆแวะเวียนเข้ามาในชีวิตเราไม่ว่าจะสถานไหนก็ตาม เราเองก็ไม่อยากให้เค้าหายไปเพราะกลัวสภาพจิตใจ อารมณ์ หรือรังเกียจเราเพราะเราอาจจะบังคับจิตใจตัวเองไม่ได้ เราควรทำยังไงดีคะ รบกวนคนที่เข้ามาอ่านช่วยให้คำแนะนำทีนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ
#ซึมเศร้าเพื่อนรัก #เมื่อฉันเป็นไบโพลาร์