เรื่องทั้งหมดที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มันเกิดขึ้นในจังหวัดชลบุรี เหตุการณ์ที่เจอนั้น ผมไม่ได้เจอกับตัว แต่เพื่อนผมชื่อA(นามสมมุติ) เป็นคนที่โดนกล่าวหาว่าขโมยของในห้างสรรพสินค้าโดยที่เพื่อนผม “ไม่ได้ทำ” จากการที่โดนB (นามสมมุติ) ที่เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน ย้ำว่ากลุ่มเดียวกัน ซัดทอดว่าเป็นคนสั่งให้เขาขโมย!!
ใช่ครับ A โดนกับตัวเอง เป็นแพะรับบาป ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำ มันเป็นประสบการณ์ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น เป็นผู้เสียหายที่รับหน้า เสียค่าปรับ โดนจับเข้าโรงพักเอง เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อการให้ปากคำของ A ทั้งๆที่มีใบเสร็จทุกรายการ และการรูดบัตรประจำร้านค้าที่มีการเพิ่มแต้มทุกครั้งที่มีการซื้อของ เจ้าหน้าที่ก็ไม่เชื่อในหลักฐานที่เสนอไป
พฤติกรรมของ B อยู่ในสายตาของพวกผมตลอด เห็นว่าขโมยอย่างไร เห็นว่าใช้วิธีอย่างไร รู้ทุกอย่าง แต่เราดันไม่พูดกัน พวกเราพยายามแสดงอาการให้ B เห็นว่าพวกเรารู้นะ กูรู้ว่าเป็นขโมย เราหวังว่ามันจะรู้ มันจะกลับตัว แต่มันก็ยังทำเช่นเดิม การขโมยของมันเป็นที่ทุกคนในคณะรู้กัน ว่าเนี่ยแหละคือคนขโมย แต่ว่าเราไม่สามารถจับมันได้คาหนังคาเขา เพราะมันไหวตัวทันได้เก่งมาก
ในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ A กำลังไปเดินซื้อของที่ห้างฯแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ซื้อของเสร็จแล้ว กำลังจะกลับ ได้ถูกพนักงาน Super market เรียกตัวไปที่ห้องสำนักงาน A ก็เข้าใจว่าเรียกไปกรอกแบบสอบถามของ super market นั้น เพราะA เป็นลูกค้าประจำ ที่เรียกได้ว่ามีบัตร VIP ของร้านนั้นเลยก็ว่าได้ แต่พอไปถึงที่สำนักงานแล้ว เขาก็ยื่นรายการสินค้าหลายรายการ แล้วแจ้งว่านี่คือสินค้าที่หายไป เขาถามว่า A ขโมยใช่ไหม Aบอกไม่ได้ทำ พอAเห็นรายการสินค้าแล้วก็รู้เลยว่าเป็น B ที่ขโมย (เพราะว่า A เคยเห็นว่าขโมยและเพื่อนในกลุ่มก็เห็นเหมือนกัน) จึงบอกว่าคนที่ขโมย คือ B ไม่ใช่ A แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะว่าเขาเชื่อว่าเป็น A ทำ เพราะมีหลักฐาน แต่พอขอดูก็ไม่ให้ดู A บอกว่า เราซื้อของทั้งหมด มีบิลสินค้า ตรวจดูได้เลย เอาให้ดู เจ้าหน้าที่ก็ดูเฉยๆแล้วบอกว่า แล้วไงครับ ? A ปฏิเสธทุกอย่างว่าไม่ได้ทำ เจ้าหน้าที่เลยจะพาไปสน. ตอนแรกเขาจะพาไปทางข้างหลังที่ไม่มีคนเห็น แต่สุดท้ายก็พาเดินอ้อมแล้วไปออกทางข้างหน้าห้าง เข้าใจไหมครับ ว่าAไม่ผิดแต่โดนกระทำแบบนี้เพื่อนเราต้องรู้สึกยังไง แต่ตอนนั้นเพื่อนเราก็งงอยู่ว่าเกิดไรขึ้น เพราะก็ไม่ได้ทำไรผิด
พอถึงสน.เจ้าหน้าที่ก็สอบสวน แล้วเรียกผู้ปกครองให้มาเคลีย เพราะ A ปฏิเสธตลอดว่าไม่ได้ทำ แต่ด้วยว่าครอบครัวไม่ได้อยู่ที่นี่ เลยต้องให้ผู้ใหญ่ของพี่ที่รู้จักมาคุยให้ ก็คุยอยู่นานเคลียอยู่นาน ทางผู้ใหญ่ก็บอกให้เพื่อนเรานั้นยอมรับไปก่อนจะได้จบๆ A โกรธและโมโหมาก แต่ทำไรไม่ได้ A ก็เอารูปของ B ให้เจ้าหน้าที่ดูว่าคนที่ทำคือคนนี้ และ A บอกจะให้เพื่อนคนอื่นๆที่เห็นด้วยมายืนยัน แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้มา เพราะไม่มีพวกเขาอยู่ในเหตุการณ์ แล้วเจ้าหน้าที่ก็เผลอหลุดปากมาว่า B เคยมาแล้วนิ A ก็ยิ่งงงไปใหญ่เลย ว่าทำไมไม่โดนจับ ไม่รู้ว่าให้การกับเจ้าหน้าที่ยังไงก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าซัดทอด กล่าวหาอะไรบ้าง ทำให้ A เป็นคนที่โดนจับแทน ทางผู้ใหญ่ก็เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับไปก่อน จนสุดท้าย A ต้องจำใจยอมรับและจ่ายตังค์ค่าเสียหายทั้งหมด ทั้งๆที่ไม่อยากทำเลย แต่เพราะอยากกลับแล้ว และอยากได้ของส่วนตัวที่โดนยึดไปนั้นคืนมา
สุดท้ายนี้ A ไม่ได้เสียดายเรื่องเงิน แต่เสียใจที่ต้องมาเป็นแพะรับบาปแทน ทั้งๆที่ไม่ได้ทำ มันทำให้ A เสียเครดิต ติดแบล็คลิสต์เรื่องที่ไม่ดี ตอนนี้Aทำไรไม่ได้เลยนอกจากปรึกษาครอบครัวว่าทำไงต่อ เพราะคดีก็จบไปแล้ว A ยอมเซ็นยอมรับไปแล้ว ทำได้ก็คือรอให้ เวรกรรมตามทันในเร็ววันแค่นั้นละครับ สิ่งที่เราเล่ามาทั้งหมดนั้น ไม่ได้ต้องให้รื้อคดีกลับมาใหม่แล้วไม่ได้จะเรียกร้องอะไร แต่แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ที่เจอมา มันเกิดจากคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา เป็นเพื่อนเรา เลยอยากจะให้ทุกคนที่ได้อ่านระวังกันมากขึ้น ผมไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับAมาเกิดขึ้นกับคนอื่นๆอีกโดยเฉพาะคนไม่ได้รู้เรื่องอะไร
เพื่อนเป็นขโมย ทำยังไงดี?
ใช่ครับ A โดนกับตัวเอง เป็นแพะรับบาป ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำ มันเป็นประสบการณ์ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น เป็นผู้เสียหายที่รับหน้า เสียค่าปรับ โดนจับเข้าโรงพักเอง เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อการให้ปากคำของ A ทั้งๆที่มีใบเสร็จทุกรายการ และการรูดบัตรประจำร้านค้าที่มีการเพิ่มแต้มทุกครั้งที่มีการซื้อของ เจ้าหน้าที่ก็ไม่เชื่อในหลักฐานที่เสนอไป
พฤติกรรมของ B อยู่ในสายตาของพวกผมตลอด เห็นว่าขโมยอย่างไร เห็นว่าใช้วิธีอย่างไร รู้ทุกอย่าง แต่เราดันไม่พูดกัน พวกเราพยายามแสดงอาการให้ B เห็นว่าพวกเรารู้นะ กูรู้ว่าเป็นขโมย เราหวังว่ามันจะรู้ มันจะกลับตัว แต่มันก็ยังทำเช่นเดิม การขโมยของมันเป็นที่ทุกคนในคณะรู้กัน ว่าเนี่ยแหละคือคนขโมย แต่ว่าเราไม่สามารถจับมันได้คาหนังคาเขา เพราะมันไหวตัวทันได้เก่งมาก
ในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ A กำลังไปเดินซื้อของที่ห้างฯแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ซื้อของเสร็จแล้ว กำลังจะกลับ ได้ถูกพนักงาน Super market เรียกตัวไปที่ห้องสำนักงาน A ก็เข้าใจว่าเรียกไปกรอกแบบสอบถามของ super market นั้น เพราะA เป็นลูกค้าประจำ ที่เรียกได้ว่ามีบัตร VIP ของร้านนั้นเลยก็ว่าได้ แต่พอไปถึงที่สำนักงานแล้ว เขาก็ยื่นรายการสินค้าหลายรายการ แล้วแจ้งว่านี่คือสินค้าที่หายไป เขาถามว่า A ขโมยใช่ไหม Aบอกไม่ได้ทำ พอAเห็นรายการสินค้าแล้วก็รู้เลยว่าเป็น B ที่ขโมย (เพราะว่า A เคยเห็นว่าขโมยและเพื่อนในกลุ่มก็เห็นเหมือนกัน) จึงบอกว่าคนที่ขโมย คือ B ไม่ใช่ A แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะว่าเขาเชื่อว่าเป็น A ทำ เพราะมีหลักฐาน แต่พอขอดูก็ไม่ให้ดู A บอกว่า เราซื้อของทั้งหมด มีบิลสินค้า ตรวจดูได้เลย เอาให้ดู เจ้าหน้าที่ก็ดูเฉยๆแล้วบอกว่า แล้วไงครับ ? A ปฏิเสธทุกอย่างว่าไม่ได้ทำ เจ้าหน้าที่เลยจะพาไปสน. ตอนแรกเขาจะพาไปทางข้างหลังที่ไม่มีคนเห็น แต่สุดท้ายก็พาเดินอ้อมแล้วไปออกทางข้างหน้าห้าง เข้าใจไหมครับ ว่าAไม่ผิดแต่โดนกระทำแบบนี้เพื่อนเราต้องรู้สึกยังไง แต่ตอนนั้นเพื่อนเราก็งงอยู่ว่าเกิดไรขึ้น เพราะก็ไม่ได้ทำไรผิด
พอถึงสน.เจ้าหน้าที่ก็สอบสวน แล้วเรียกผู้ปกครองให้มาเคลีย เพราะ A ปฏิเสธตลอดว่าไม่ได้ทำ แต่ด้วยว่าครอบครัวไม่ได้อยู่ที่นี่ เลยต้องให้ผู้ใหญ่ของพี่ที่รู้จักมาคุยให้ ก็คุยอยู่นานเคลียอยู่นาน ทางผู้ใหญ่ก็บอกให้เพื่อนเรานั้นยอมรับไปก่อนจะได้จบๆ A โกรธและโมโหมาก แต่ทำไรไม่ได้ A ก็เอารูปของ B ให้เจ้าหน้าที่ดูว่าคนที่ทำคือคนนี้ และ A บอกจะให้เพื่อนคนอื่นๆที่เห็นด้วยมายืนยัน แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้มา เพราะไม่มีพวกเขาอยู่ในเหตุการณ์ แล้วเจ้าหน้าที่ก็เผลอหลุดปากมาว่า B เคยมาแล้วนิ A ก็ยิ่งงงไปใหญ่เลย ว่าทำไมไม่โดนจับ ไม่รู้ว่าให้การกับเจ้าหน้าที่ยังไงก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าซัดทอด กล่าวหาอะไรบ้าง ทำให้ A เป็นคนที่โดนจับแทน ทางผู้ใหญ่ก็เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับไปก่อน จนสุดท้าย A ต้องจำใจยอมรับและจ่ายตังค์ค่าเสียหายทั้งหมด ทั้งๆที่ไม่อยากทำเลย แต่เพราะอยากกลับแล้ว และอยากได้ของส่วนตัวที่โดนยึดไปนั้นคืนมา
สุดท้ายนี้ A ไม่ได้เสียดายเรื่องเงิน แต่เสียใจที่ต้องมาเป็นแพะรับบาปแทน ทั้งๆที่ไม่ได้ทำ มันทำให้ A เสียเครดิต ติดแบล็คลิสต์เรื่องที่ไม่ดี ตอนนี้Aทำไรไม่ได้เลยนอกจากปรึกษาครอบครัวว่าทำไงต่อ เพราะคดีก็จบไปแล้ว A ยอมเซ็นยอมรับไปแล้ว ทำได้ก็คือรอให้ เวรกรรมตามทันในเร็ววันแค่นั้นละครับ สิ่งที่เราเล่ามาทั้งหมดนั้น ไม่ได้ต้องให้รื้อคดีกลับมาใหม่แล้วไม่ได้จะเรียกร้องอะไร แต่แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ที่เจอมา มันเกิดจากคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา เป็นเพื่อนเรา เลยอยากจะให้ทุกคนที่ได้อ่านระวังกันมากขึ้น ผมไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับAมาเกิดขึ้นกับคนอื่นๆอีกโดยเฉพาะคนไม่ได้รู้เรื่องอะไร