อารีย์เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวชาวนาเมื่อสมัยก่อนนู้นนนน
ครอบครัวของอารีย์มีควายอยู่หลายตัว ทุกๆวันอารีย์ก็จะพาควายของเขาออกไปเลี้ยง ปล่อยให้กินหญ้าตามท้องทุ่ง
ตรงนั้นเป็นสนามหญ้า ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า สนามเป้า
อยู่มาวันหนึ่ง ควายของอารีย์เกิดไม่สบาย บางตัวนี่อาการหนักทีเดียว และแล้วก็มีชาวบ้านแนะนำอารีย์ว่าให้จูงควายไปหาหมอทางนู้นนน
อารีย์ก็เลยจูงควายของเขาเดินไปตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน แล้วก็ไปเจอสะพาน อารีย์ก็จูงควายข้ามสะพานไป ซึ่งตรงนั้นก็คือ สะพานควาย
เมื่อมาถึงบ้านหมอ ซึ่งหมอท่านนี้มีชื่อว่า หมอชิต หมอชิตก็ได้ทำการรักษาควายของอารีย์ให้อย่างดีจนเสร็จสิ้น
แล้วอารีย์ก็จูงควายของเขากลับมาบ้านแล้วพาไปปล่อยให้กินหญ้าที่สนามเป้าเหมือนเคย
แต่ควายของอารีย์บางตัวเกิดแพ้ยาที่หมอชิตให้มา จึงเดินงุ่มง่ามโซเซหายไปไหนไม่รู้เรื่อง อารีย์จึงออกตามหา
อยู่พักใหญ่จึงไปเจอควายของเขาทั้งขี้ ทั้งฉี่เรี่ยราดไปทั่วอยู่ที่ทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งตรงบริเวณนั้นก็คือ ราดชเทวี (อิอิ)
เมื่ออารีย์เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาจึงได้ปักเสาขนาดใหญ่เอาไว้ที่หนึ่ง ไม่ไกลจากสนามเป้า
แล้วเขาก็ได้ล่ามควายของเขาไว้กับเสาต้นนั้น และเสาใหญ่โตต้นนั้นก็คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในกาลต่อมา
เมื่อความทราบถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้อารีย์เข้ารับราชการ สังกัดกรมม้า
และได้ทรงพระราชทานเลื่อนยศขึ้นเป็น ขุนอารีย์สัมพันธ์ เวนม้า มีศักดินา ๒๐๐ไร่
ขุนอารีย์สัมพันธ์ต้องเดินทางเข้าวังเป็นประจำ และเกือบทุกครั้งขุนอารีย์ก็มักจะเจอสตรีผู้หนึ่งออกมานั่งอาบน้ำ
ไกล้กับสะพานเทวกรรม ขุนอารีย์ก็ได้เกิดมีใจปฏิพัทธ์และจึงส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ สตรีนางนั้นมีชื่อว่า นางเลิ้ง
หลังจากขุนอารีย์ได้สมรสกับนางเลิ้งแล้ว ทั้งสองก็ได้มีบุตร ธิดา สองคน บุตรชายคนโตมีชื่อว่า สุนทร
บุตรสาวคนรองมีชื่อว่า สิตา หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวคนเล็ก นางเลิ้งก็สุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดี ป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา
จนกระทั่งนางเลิ้งได้เสียชีวิตลงในที่สุด ขุนอารีย์นั้นก็เกิดความโทมนัสเป็นอันมาก เมื่อก่อนนี้ทุกๆวันนางเลิ้งจะเป็นคนเอาข้าวเอาน้ำมาส่ง
ให้ขุนอารีย์สัมพันธ์ที่กรมม้า จนใครๆต่างก็เรียกสถานที่นี้แบบติดตลกว่า. สนามม้านางเลิ้ง
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเห็นขุนอารีย์สัมพันธ์ยังคงอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจที่นางเลิ้งได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าให้ขุนอารีย์สัมพันธ์ได้ย้ายไปรับราชการแถวสาทร มีหน้าที่กำกับดูแลพวกเชลยขุดคลองทั้งนั้น
และแล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขุนอารีย์สัมพันธ์ ก็ได้ไปเจอสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรตรีของครอบครัวชาวสวนที่มีอาชีพปลูกต้นพลูและเก็บใบพลูขาย
สตรีผู้นี้มีนามว่า นางลิ้นจี่ ขุนอารีย์สัมพันธ์ก็ได้ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอนางลิ้นจี่ไปเป็นภรรยาคนที่สอง
ทั้งสองได้ใช้ชีวิตอยู่กินกันมาและได้มีบุตรชาย ชื่อ เมฆ และบุตรสาวชื่อ จันทน์
ขณะที่นางลิ้นจี่ตั้งท้องนายเมฆไกล้จะคลอด ทั้งสองมีความคิดว่าจะพานางลิ้นจี่ไปคลอดกับหมอชิต จะได้ปลอดภัย
จึงได้พากันออกเดินทาง แต่ไม่ทันจะถึงสวนลุมพินี นางลิ้นจี่เกิดเจ็บท้องกะทันหัน ขุนอารีย์สัมพันธ์เห็นท่าไม่ค่อยดี
เลยพากันไปแวะพักที่ศาลาแห่งหนึ่ง และนางลิ้นจี่ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายออกมาตรงที่ศาลานั่น ว่ากันว่าศาลานั้นเต็มไปด้วยเลือดของนางลิ้นจี่
แดงฉานไปหมด จนใครๆต่างพากันเรียกศาลาแห่งนั้นว่า ศาลาแดง
ขุนอารีย์สัมพันธ์นั้นอยากจะพานางลิ้นจี่กับลูกน้อยไปพักที่บ้านเกิดของตน แม้ใครจะทัดทานก็ไม่ฟัง เพราะนางลิ้นจี่พึ่งจะคลอดลูกคนแรกมาหมาดีๆ
ขณะที่พากันเดินทางมาถึงคลองแห่งหนึ่ง ทั้งสามกำลังจะเดินข้ามคลอง นางลิ้นจี่เกิดลื่นไถลลงไปในคลอง น้ำลึกถึงเอว นางร้องขึ้นมาอย่างโหยหวนว่า “โอ๊ย แสบ แสบเหลือเกิน “ และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อคลอง แสนแสบ
นายเมฆนั้นเมื่อถึงวัยฉกรรจ์ก็ได้ออกบรรพชาเป็นพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ที่วัดช่องลม จนกระทั่งได้เป็นมหาเถระที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก
แม้กระทั่งสึกออกมาชาวบ้านก็ยังคงเรียกกันติดปากว่า มหาเมฆ
นายเมฆนั้นมีอุปนิสัยคล้ายกับบิดา คือชอบเลี้ยงวัวควาย ขุนอารีย์สัมพันธ์จึงได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งให้กับมหาเมฆ
เอาไว้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ที่ดินบริเวณนั้นจึงมีชื่อเรียกกันติดปากว่า ทุ่งมหาเมฆ
ป.ล. เหนื่อยแล้ว พักก่อน เดี๋ยวเอาไปคิดต่อที่สนามบิน คืนนี้ขึ้นเครื่องตีสอง
หวังว่าทุกคนคงจะชอบนะครับ ผิดพลาดประการใดโปรดอภัย มือใหม่หัดเขียน
ย่านอารีย์ ชื่อนี้มีที่มา
อารีย์เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวชาวนาเมื่อสมัยก่อนนู้นนนน
ครอบครัวของอารีย์มีควายอยู่หลายตัว ทุกๆวันอารีย์ก็จะพาควายของเขาออกไปเลี้ยง ปล่อยให้กินหญ้าตามท้องทุ่ง
ตรงนั้นเป็นสนามหญ้า ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า สนามเป้า
อยู่มาวันหนึ่ง ควายของอารีย์เกิดไม่สบาย บางตัวนี่อาการหนักทีเดียว และแล้วก็มีชาวบ้านแนะนำอารีย์ว่าให้จูงควายไปหาหมอทางนู้นนน
อารีย์ก็เลยจูงควายของเขาเดินไปตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน แล้วก็ไปเจอสะพาน อารีย์ก็จูงควายข้ามสะพานไป ซึ่งตรงนั้นก็คือ สะพานควาย
เมื่อมาถึงบ้านหมอ ซึ่งหมอท่านนี้มีชื่อว่า หมอชิต หมอชิตก็ได้ทำการรักษาควายของอารีย์ให้อย่างดีจนเสร็จสิ้น
แล้วอารีย์ก็จูงควายของเขากลับมาบ้านแล้วพาไปปล่อยให้กินหญ้าที่สนามเป้าเหมือนเคย
แต่ควายของอารีย์บางตัวเกิดแพ้ยาที่หมอชิตให้มา จึงเดินงุ่มง่ามโซเซหายไปไหนไม่รู้เรื่อง อารีย์จึงออกตามหา
อยู่พักใหญ่จึงไปเจอควายของเขาทั้งขี้ ทั้งฉี่เรี่ยราดไปทั่วอยู่ที่ทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งตรงบริเวณนั้นก็คือ ราดชเทวี (อิอิ)
เมื่ออารีย์เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาจึงได้ปักเสาขนาดใหญ่เอาไว้ที่หนึ่ง ไม่ไกลจากสนามเป้า
แล้วเขาก็ได้ล่ามควายของเขาไว้กับเสาต้นนั้น และเสาใหญ่โตต้นนั้นก็คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในกาลต่อมา
เมื่อความทราบถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้อารีย์เข้ารับราชการ สังกัดกรมม้า
และได้ทรงพระราชทานเลื่อนยศขึ้นเป็น ขุนอารีย์สัมพันธ์ เวนม้า มีศักดินา ๒๐๐ไร่
ขุนอารีย์สัมพันธ์ต้องเดินทางเข้าวังเป็นประจำ และเกือบทุกครั้งขุนอารีย์ก็มักจะเจอสตรีผู้หนึ่งออกมานั่งอาบน้ำ
ไกล้กับสะพานเทวกรรม ขุนอารีย์ก็ได้เกิดมีใจปฏิพัทธ์และจึงส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ สตรีนางนั้นมีชื่อว่า นางเลิ้ง
หลังจากขุนอารีย์ได้สมรสกับนางเลิ้งแล้ว ทั้งสองก็ได้มีบุตร ธิดา สองคน บุตรชายคนโตมีชื่อว่า สุนทร
บุตรสาวคนรองมีชื่อว่า สิตา หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวคนเล็ก นางเลิ้งก็สุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดี ป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา
จนกระทั่งนางเลิ้งได้เสียชีวิตลงในที่สุด ขุนอารีย์นั้นก็เกิดความโทมนัสเป็นอันมาก เมื่อก่อนนี้ทุกๆวันนางเลิ้งจะเป็นคนเอาข้าวเอาน้ำมาส่ง
ให้ขุนอารีย์สัมพันธ์ที่กรมม้า จนใครๆต่างก็เรียกสถานที่นี้แบบติดตลกว่า. สนามม้านางเลิ้ง
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเห็นขุนอารีย์สัมพันธ์ยังคงอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจที่นางเลิ้งได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าให้ขุนอารีย์สัมพันธ์ได้ย้ายไปรับราชการแถวสาทร มีหน้าที่กำกับดูแลพวกเชลยขุดคลองทั้งนั้น
และแล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขุนอารีย์สัมพันธ์ ก็ได้ไปเจอสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรตรีของครอบครัวชาวสวนที่มีอาชีพปลูกต้นพลูและเก็บใบพลูขาย
สตรีผู้นี้มีนามว่า นางลิ้นจี่ ขุนอารีย์สัมพันธ์ก็ได้ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอนางลิ้นจี่ไปเป็นภรรยาคนที่สอง
ทั้งสองได้ใช้ชีวิตอยู่กินกันมาและได้มีบุตรชาย ชื่อ เมฆ และบุตรสาวชื่อ จันทน์
ขณะที่นางลิ้นจี่ตั้งท้องนายเมฆไกล้จะคลอด ทั้งสองมีความคิดว่าจะพานางลิ้นจี่ไปคลอดกับหมอชิต จะได้ปลอดภัย
จึงได้พากันออกเดินทาง แต่ไม่ทันจะถึงสวนลุมพินี นางลิ้นจี่เกิดเจ็บท้องกะทันหัน ขุนอารีย์สัมพันธ์เห็นท่าไม่ค่อยดี
เลยพากันไปแวะพักที่ศาลาแห่งหนึ่ง และนางลิ้นจี่ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายออกมาตรงที่ศาลานั่น ว่ากันว่าศาลานั้นเต็มไปด้วยเลือดของนางลิ้นจี่
แดงฉานไปหมด จนใครๆต่างพากันเรียกศาลาแห่งนั้นว่า ศาลาแดง
ขุนอารีย์สัมพันธ์นั้นอยากจะพานางลิ้นจี่กับลูกน้อยไปพักที่บ้านเกิดของตน แม้ใครจะทัดทานก็ไม่ฟัง เพราะนางลิ้นจี่พึ่งจะคลอดลูกคนแรกมาหมาดีๆ
ขณะที่พากันเดินทางมาถึงคลองแห่งหนึ่ง ทั้งสามกำลังจะเดินข้ามคลอง นางลิ้นจี่เกิดลื่นไถลลงไปในคลอง น้ำลึกถึงเอว นางร้องขึ้นมาอย่างโหยหวนว่า “โอ๊ย แสบ แสบเหลือเกิน “ และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อคลอง แสนแสบ
นายเมฆนั้นเมื่อถึงวัยฉกรรจ์ก็ได้ออกบรรพชาเป็นพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ที่วัดช่องลม จนกระทั่งได้เป็นมหาเถระที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก
แม้กระทั่งสึกออกมาชาวบ้านก็ยังคงเรียกกันติดปากว่า มหาเมฆ
นายเมฆนั้นมีอุปนิสัยคล้ายกับบิดา คือชอบเลี้ยงวัวควาย ขุนอารีย์สัมพันธ์จึงได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งให้กับมหาเมฆ
เอาไว้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ที่ดินบริเวณนั้นจึงมีชื่อเรียกกันติดปากว่า ทุ่งมหาเมฆ
ป.ล. เหนื่อยแล้ว พักก่อน เดี๋ยวเอาไปคิดต่อที่สนามบิน คืนนี้ขึ้นเครื่องตีสอง
หวังว่าทุกคนคงจะชอบนะครับ ผิดพลาดประการใดโปรดอภัย มือใหม่หัดเขียน