[รีวิวที่ 258] Captain Marvel: เป็นแค่หนังเชื่อม Endgame
คะแนน: 6/10
(Anna Boden, Ryan Fleck, 2019)
by ตั๋วหนังมันแพง
1.เนื้อเรื่อง ⭐⭐⭐
ถ้าจะให้นิยามสั้นๆ ก็คือ ‘เป็นหนังสูตร Marvel’ อีกหนึ่งเรื่อง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว เพราะจุดเด่นของค่ายก็ยังอยู่ครบถ้วน ก็คือ ‘ดูสนุก ย่อยง่าย อารมณ์ขันเพียบ’ และทำพล็อตออกมาค่อนข้างน่าเชื่อถือ เพราะเขามีจักรวาลที่แข็งแกร่งรองรับอยู่
แต่ข้อเสียของหนังเติมจักรวาลก็คือมันมักหาจุดเด่นของตัวเองไม่เจอและดูจืดชืดจนเห็นได้ชัด ซึ่งพักหลังๆ นี้ก็ต้องยอมรับว่า Marvel มือตกในการทำหนังฮีโร่เดี่ยวไปหลายตัวละคร (ex.Black Panther, Doctor Strange) เหมือนว่าเขาจะเค้นกับภาคจบอันต่อไปมากไปหน่อย
สำหรับ Captain Marvel ผมยังรู้สึกว่าจุดพีค-จุดสำคัญในหนังยังพาคนดูบินไปกับมันไม่ได้ มันไม่ได้มีความรู้สึกว่า “อยากเอาใจช่วยตัวละครนี้จัง” หรือ “มันจะเป็นยังไงต่อไปนะ”
กลายเป็นเรารู้สึกห่างเหินกับหนังมากๆ คือมันสนุกนะ แต่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้นน่ะ เหมือนมาดูอารัมภบทให้ End Game มากกว่า
2.ตัวละคร/นักแสดง ⭐⭐⭐⭐
ส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือตัวละครเสริม (supporting characters) กล้าพูดเลยว่าถ้าไม่ได้แบ็กอัพที่แกร่งขนาดนี้ Brie Larson ตายคาอวกาศแน่ๆ
เหมือนหนังพยายามวางตัวละครให้นางเอกเป็นตัวละครที่ดูลึกลับคาดเดาสีหน้ายาก แต่ดูเหมือนมันจะเลยเถิดไปหน่อย เป็นเส้นบางๆ ระหว่างคำว่า ‘เก็บอารมณ์’ กับ ‘หน้าตาย’ จนสื่ออารมณ์ที่ควรจะสื่อออกมาไม่ได้
ในทางกลับกัน ทีมตัวละครเสริมกลับตีบทเล็กๆ ของตัวเองแตกฉลุย ไม่ว่าจะเป็น Samuel L. Jackson ในบท ‘ฟิวรี่’ ตอนหนุ่มที่ทั้งมุกเยอะ ติดขี้เล่น ให้อารมณ์ที่ขัดกับฟิวรี่คนปัจจุบันที่เราเห็นใน Avengers มากๆ
อีกคนที่ต้องยกนิ้วให้ก็คือ ‘มาเรีย’ นักบินสาวเพื่อนนางเอก สื่ออารมณ์ในฉากสำคัญๆ ได้ตลอด จนทำให้ Captain Marvel ดูมีเนื้อมีหนังสมเป็นมนุษย์มากขึ้น และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความ pro-feminism ในเรื่องมันดูเป็นธรรมชาติไม่ยัดเยียดด้วย
ในส่วนของ ‘น้องกูส’ แมวน้อยน่ารักตัวนี้คือตัวขโมยซีนอย่างแท้จริง ยอมรับว่ามีหลายฉากมากที่ร้อง “วอทเดอะฟัก” ออกมา เป็นการใช้กิมมิกแมวเหมียวได้ชาญฉลาดมาก และมันเวิร์กกับตัวหนังจริงๆ
3.ความบันเทิง ⭐⭐⭐
เรื่องมุกเรื่องความฮานี่ไม่ต้องห่วง มาร์เวลยังมี ‘จังหวะทองคำ’ ให้เราฮาครืนได้เสมอ ในเรื่องนี้หาข้อติไม่ลงจริง โดยเฉพาะมุกเล่นหูเล่นตานี่ถือว่าเฉียบมาก (กระทั่งตัวร้ายก็ทำเราขำกลิ้งได้)
ที่ชอบอีกอย่างคือการที่หนังอธิบายที่มาของกิมมิกต่างๆ ในจักรวาล Avengers ได้น่ารักดี สำคัญคือเราได้เห็นฉากที่ฟิวรี่เสียตาข้างซ้ายไปด้วย ทำให้เราเข้าใจว่าบางอย่างมันก็เกิดมาจากเรื่องเล็กน้อยนี่เอง...
แต่ความสนุกในฉากต่อสู้นี่ต้องปรับปรุงกันยกใหญ่ สเกลพลังนางเอกมันเวอร์วังพังฟ้าเกินไปหรือเปล่า ทำให้ฉากบู๊มันไม่มีอะไรให้ลุ้นตามเลย แถมไอ้พลัง “โฟตอนบีม” มันก็ดูจืดชืดสิ้นดี ขายความหวือหวาของเอฟเฟกต์มากกว่าความสร้างสรรค์น่ะ
แต่ที่จืดกว่าโฟตอนบีมก็คือตัวร้าย ถ้าคุณเข้าโรงพยาบาลก็เสิร์ฟหมอนี่เป็นอาหารอ่อนได้เลย คือไม่มีอะไรให้พูดถึง แล้วพอตัวร้ายมันจืด มันก็ทำให้ตัวเอกมันจืดไปด้วย ปล่อยผ่านๆ ไปได้เลย ไม่สำคัญ
#ตั๋วหนังมันแพง #CaptainMarvel
[รีวิวที่ 258] Captain Marvel: เป็นแค่หนังเชื่อม Endgame by ตั๋วหนังมันแพง
แต่ข้อเสียของหนังเติมจักรวาลก็คือมันมักหาจุดเด่นของตัวเองไม่เจอและดูจืดชืดจนเห็นได้ชัด ซึ่งพักหลังๆ นี้ก็ต้องยอมรับว่า Marvel มือตกในการทำหนังฮีโร่เดี่ยวไปหลายตัวละคร (ex.Black Panther, Doctor Strange) เหมือนว่าเขาจะเค้นกับภาคจบอันต่อไปมากไปหน่อย
สำหรับ Captain Marvel ผมยังรู้สึกว่าจุดพีค-จุดสำคัญในหนังยังพาคนดูบินไปกับมันไม่ได้ มันไม่ได้มีความรู้สึกว่า “อยากเอาใจช่วยตัวละครนี้จัง” หรือ “มันจะเป็นยังไงต่อไปนะ”
กลายเป็นเรารู้สึกห่างเหินกับหนังมากๆ คือมันสนุกนะ แต่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้นน่ะ เหมือนมาดูอารัมภบทให้ End Game มากกว่า
เหมือนหนังพยายามวางตัวละครให้นางเอกเป็นตัวละครที่ดูลึกลับคาดเดาสีหน้ายาก แต่ดูเหมือนมันจะเลยเถิดไปหน่อย เป็นเส้นบางๆ ระหว่างคำว่า ‘เก็บอารมณ์’ กับ ‘หน้าตาย’ จนสื่ออารมณ์ที่ควรจะสื่อออกมาไม่ได้
ในทางกลับกัน ทีมตัวละครเสริมกลับตีบทเล็กๆ ของตัวเองแตกฉลุย ไม่ว่าจะเป็น Samuel L. Jackson ในบท ‘ฟิวรี่’ ตอนหนุ่มที่ทั้งมุกเยอะ ติดขี้เล่น ให้อารมณ์ที่ขัดกับฟิวรี่คนปัจจุบันที่เราเห็นใน Avengers มากๆ
อีกคนที่ต้องยกนิ้วให้ก็คือ ‘มาเรีย’ นักบินสาวเพื่อนนางเอก สื่ออารมณ์ในฉากสำคัญๆ ได้ตลอด จนทำให้ Captain Marvel ดูมีเนื้อมีหนังสมเป็นมนุษย์มากขึ้น และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความ pro-feminism ในเรื่องมันดูเป็นธรรมชาติไม่ยัดเยียดด้วย
ในส่วนของ ‘น้องกูส’ แมวน้อยน่ารักตัวนี้คือตัวขโมยซีนอย่างแท้จริง ยอมรับว่ามีหลายฉากมากที่ร้อง “วอทเดอะฟัก” ออกมา เป็นการใช้กิมมิกแมวเหมียวได้ชาญฉลาดมาก และมันเวิร์กกับตัวหนังจริงๆ
ที่ชอบอีกอย่างคือการที่หนังอธิบายที่มาของกิมมิกต่างๆ ในจักรวาล Avengers ได้น่ารักดี สำคัญคือเราได้เห็นฉากที่ฟิวรี่เสียตาข้างซ้ายไปด้วย ทำให้เราเข้าใจว่าบางอย่างมันก็เกิดมาจากเรื่องเล็กน้อยนี่เอง...
แต่ความสนุกในฉากต่อสู้นี่ต้องปรับปรุงกันยกใหญ่ สเกลพลังนางเอกมันเวอร์วังพังฟ้าเกินไปหรือเปล่า ทำให้ฉากบู๊มันไม่มีอะไรให้ลุ้นตามเลย แถมไอ้พลัง “โฟตอนบีม” มันก็ดูจืดชืดสิ้นดี ขายความหวือหวาของเอฟเฟกต์มากกว่าความสร้างสรรค์น่ะ
แต่ที่จืดกว่าโฟตอนบีมก็คือตัวร้าย ถ้าคุณเข้าโรงพยาบาลก็เสิร์ฟหมอนี่เป็นอาหารอ่อนได้เลย คือไม่มีอะไรให้พูดถึง แล้วพอตัวร้ายมันจืด มันก็ทำให้ตัวเอกมันจืดไปด้วย ปล่อยผ่านๆ ไปได้เลย ไม่สำคัญ
#ตั๋วหนังมันแพง #CaptainMarvel