“ปีนี้จะพยายามเดินป่าใต้ให้เยอะขึ้น” ประโยคนี้ผมเป็นคนพูดเอง เป็นหนึ่งในภารกิจเที่ยวที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งเมื่อประกอบกับยามนี้ป่าเหนือกำลังแห้งแล้งแถมปัญหาฝุ่นควันรุมเร้า จึงเป็นข้ออ้างดีๆ สำหรับการลงใต้ ปักหมุดเริ่มต้นที่แรก... เขาหลวงประจวบ
เขาหลวงเป็นยอดเขาสูงสุดของประจวบคีรีขันธ์ 1,250 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และเป็นแนวภูเขาเขตแดนไทย-พม่า อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง อำเภอเมืองประจวบ เยื้องหาดวนกรไม่กี่กิโลเมตร
การเที่ยวที่นี่ทำได้ไม่ยากครับเพราะเปิดให้เที่ยวทั้งปี แต่มีข้อแม้นิดหน่อยคืออนุญาตให้ขึ้นเดือนละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ลำพังแค่จองขึ้นเขาจึงทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะจองให้ได้เวลาที่เราต้องการก็ต้องจองล่วงหน้ากันหน่อย
อย่างผมโทรไปตั้งแต่เมษา 61 ตอนนั้นอุทยานฯ แจ้งว่าคิวจองยาวไปถึงเดือนกันยา ซึ่งผมไม่แคร์อะไรเพราะตั้งใจจะเที่ยวกุมภา 62 ว่าแล้วเลยจองข้ามปี ล่วงหน้าสิบเดือนเอง (ฮา...) จองเดือนเสร็จปุ๊บโอนมัดจำปั๊บ 500 บาท แค่นี้ก็เรียบร้อยว่าผมจะได้ขึ้นช่วงที่ต้องการแน่นอน
เหตุที่จองเดือนกุมภาก็ไม่มีอะไรมาก ผมเคยขึ้นที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่งเดือนตุลาคม เจอฝนฟ้ากระหน่ำแหลกลาญ ครั้งนี้เลยอยากได้บรรยากาศฟ้าสวยแดดจัด มองเห็นอ่าวไทยทอดยาวจรดเส้นขอบฟ้าชัดๆ ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเหมาะสม โอกาสฝนตกค่อนข้างน้อย
แล้วอีกสิบเดือนต่อมาเมื่อวันเวลามาถึง ก็ขึ้นเป้ออกเดินทางกันครับ
(1)
อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยางอยู่ห่างกทม. ไม่ไกลนัก การเดินทางด้วยรถสาธารณะเวลาไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ พวกเราที่มีกัน 9 คนเลยเลือกวิธีง่ายๆ ไปรถยนต์ส่วนตัวสามคัน เจอกันตรงที่ทำการฯ ตอนค่ำๆ พอเช้ามาค่อยเตรียมพร้อมลุย
อุทยานฯ มีลานกางเต็นท์กะทัดรัด ห้องน้ำห้องอาบน้ำสะอาดดี ถึงไม่ได้มาเดินป่าก็น่ามาพักผ่อนอยู่เหมือนกันนะ
พวกเราเริ่มเดินกันช้ากว่าปกติเล็กน้อยเพราะบังเอิญเจ้าหน้าที่นำทางมีประชุมกับหัวหน้าอุทยานฯ กว่าจะได้เริ่มก้าวแรกก็ปาเข้าไปสิบโมงตรง รู้สึกเสียววาบนิดหน่อยเพราะจำได้ว่าคราวก่อนผมใช้เวลานานมาก
พร้อมเดินแล้ว เรา 9 คน เจ้าหน้าที่ 2 คน ไม่มีลูกหาบ ไม่ใช่อึดถึกทนไม่จ้างนะครับ แต่ที่นี่ไม่มีลูกหาบให้บริการ ใครจะขึ้นไปต้องแบกเองทั้งหมด ถือเป็นเรื่องหนักสำหรับเขาหลวงอย่างหนึ่งเลยล่ะ
ระยะทางขึ้นเขาหลวงประมาณ 7 กิโลเมตร เส้นทางเริ่มต้นคือขึ้นไปตามน้ำตกห้วยยางชั้น 1-5 ซึ่งเป็นชั้นที่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ามาเล่นนั่นแหละ
ถึงน้ำตกชั้น 5 เมื่อไหร่จะเจอทางแยกขึ้นยอดเขาหลวง ตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นแท้จริงครับ ทางข้างหน้าชันและชันราว 80 เปอร์เซ็นต์ ยังดีว่าเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นทางราบให้พักขาและถอนหายใจอยู่บ้าง
ขึ้นมาเรื่อยๆ สักสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงลำห้วยตรงนี้ เป็นจุดพักชั้นดี ที่สำคัญคือเป็นแหล่งน้ำสุดท้ายระหว่างทางซึ่งเราจะเจอ พ้นตรงนี้จะพบจุดเติมน้ำอีกทีก็แถวสถานที่ตั้งแคมป์โน่นเลย
พักสักครู่แล้วลากสังขารเดินกันต่อ ทางถือว่าชันทีเดียวแต่ข้อดีคือเป็นป่าสวยเขียวมาก ต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยดีนะ
บ่ายโมงกว่าๆ แบกเป้มาถึงไทรต้นนี้ ใหญ่และอลังการสุดยอด
จากนั้นเรายังคงต้องก้มหน้าเดินต่อไป เหนื่อยนักก็พักบ้าง พอหายใจคล่องขึ้นก็ไปต่อ จนกระทั่งเกือบสี่โมงเย็นพอดีเราก็มาโผล่ตรงนี้ มันคืออะไรละเนี่ย (ฮา...) นี่คือจุดที่เรียกว่าผาหนึ่งครับ ปกติเป็นจุดแรกที่เราได้เห็นวิวสวยๆ ของทะเลประจวบ แต่วันนี้กลางเดือนกุมภาพันธ์ มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย
ถึงจะรู้สึกท้อในดวงชะตานิดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว จากผาหนึ่งเหลือเพียง 400-500 เมตร ก็ถึงจุดตั้งแคมป์บริเวณผาสอง ระหว่างทางจะผ่านธารน้ำก็จัดการเติมกันไปใช้ที่ให้เรียบร้อย ใครอยากอาบน้ำอาบท่าก็พอไหวอยู่
เรามาถึงจุดตั้งแคมป์ 16.20 น. ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณหกชั่วโมงครึ่ง ค่อนข้างเร็วกว่าที่คาดไว้ตอนแรกครับ ยอมให้กับความแข็งแกร่งของเพื่อนร่วมทริป (ฮา...)
มาถึงแคมป์แล้ว บรรยากาศหน้าฝนชัดๆ ไม่จำเป็นต้องออกไปดูวิวเลยเพราะมองอะไรไม่เห็นหรอก ก็กางเต็นท์ผูกเปลตั้งแคมป์กันไป พื้นที่มีให้เลือกเหลือเฟือ
จัดการแคมป์เสร็จไม่เท่าไหร่ฝนก็ตกลงมาซู่ใหญ่ แถมผมเจองานเข้าเต็มๆ เมื่อพลาดท่าใส่รองเท้าแตะไปเหยียบไม้หนามที่ล้มอยู่กับพื้น หนามทะลุรองเท้าจิ้มเท้าซ้าย ด้วยความที่เราเดินกันมาหนักหน่วงเลือดลมกำลังไหลเวียน เลือดเลยพุ่งกระฉูด เพื่อนคนหนึ่งบอกว่านึกว่าทำน้ำแดงหกใส่เท้า
นึกไปพิมพ์ไปยังรู้สึกเสียบวาบที่แผลอยู่เลย (อูย...)
โชคดีว่าผมเพิ่งฉีดยากันบาดทะยักมาหมาดๆ จากอุบัติเหตุรถล้มปลายปีก่อนเลยไม่มีอะไรน่ากังวลมาก ล้างแผล ใส่ยา ปฐมพยาบาลเบื้องต้น กินยาแก้อักเสบ พารา ปวดแผลนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเดินไม่ได้
วันนั้นฟ้าปิดตลอดเลยพักผ่อนชิลๆ กันไป ทำกับข้าว ล้อมวงกินข้าว เฮฮากันตามประสา ถึงจะได้แผลที่เท้ามา แต่หัวใจของผมยังเริงร่าดีอยู่
[CR] เขาหลวงประจวบ : ดวงดาว ป่าหมอก ชายแดนไทย-พม่า
เขาหลวงเป็นยอดเขาสูงสุดของประจวบคีรีขันธ์ 1,250 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และเป็นแนวภูเขาเขตแดนไทย-พม่า อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง อำเภอเมืองประจวบ เยื้องหาดวนกรไม่กี่กิโลเมตร
การเที่ยวที่นี่ทำได้ไม่ยากครับเพราะเปิดให้เที่ยวทั้งปี แต่มีข้อแม้นิดหน่อยคืออนุญาตให้ขึ้นเดือนละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ลำพังแค่จองขึ้นเขาจึงทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะจองให้ได้เวลาที่เราต้องการก็ต้องจองล่วงหน้ากันหน่อย
อย่างผมโทรไปตั้งแต่เมษา 61 ตอนนั้นอุทยานฯ แจ้งว่าคิวจองยาวไปถึงเดือนกันยา ซึ่งผมไม่แคร์อะไรเพราะตั้งใจจะเที่ยวกุมภา 62 ว่าแล้วเลยจองข้ามปี ล่วงหน้าสิบเดือนเอง (ฮา...) จองเดือนเสร็จปุ๊บโอนมัดจำปั๊บ 500 บาท แค่นี้ก็เรียบร้อยว่าผมจะได้ขึ้นช่วงที่ต้องการแน่นอน
เหตุที่จองเดือนกุมภาก็ไม่มีอะไรมาก ผมเคยขึ้นที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่งเดือนตุลาคม เจอฝนฟ้ากระหน่ำแหลกลาญ ครั้งนี้เลยอยากได้บรรยากาศฟ้าสวยแดดจัด มองเห็นอ่าวไทยทอดยาวจรดเส้นขอบฟ้าชัดๆ ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเหมาะสม โอกาสฝนตกค่อนข้างน้อย
แล้วอีกสิบเดือนต่อมาเมื่อวันเวลามาถึง ก็ขึ้นเป้ออกเดินทางกันครับ
อุทยานฯ มีลานกางเต็นท์กะทัดรัด ห้องน้ำห้องอาบน้ำสะอาดดี ถึงไม่ได้มาเดินป่าก็น่ามาพักผ่อนอยู่เหมือนกันนะ
พวกเราเริ่มเดินกันช้ากว่าปกติเล็กน้อยเพราะบังเอิญเจ้าหน้าที่นำทางมีประชุมกับหัวหน้าอุทยานฯ กว่าจะได้เริ่มก้าวแรกก็ปาเข้าไปสิบโมงตรง รู้สึกเสียววาบนิดหน่อยเพราะจำได้ว่าคราวก่อนผมใช้เวลานานมาก
พร้อมเดินแล้ว เรา 9 คน เจ้าหน้าที่ 2 คน ไม่มีลูกหาบ ไม่ใช่อึดถึกทนไม่จ้างนะครับ แต่ที่นี่ไม่มีลูกหาบให้บริการ ใครจะขึ้นไปต้องแบกเองทั้งหมด ถือเป็นเรื่องหนักสำหรับเขาหลวงอย่างหนึ่งเลยล่ะ
ระยะทางขึ้นเขาหลวงประมาณ 7 กิโลเมตร เส้นทางเริ่มต้นคือขึ้นไปตามน้ำตกห้วยยางชั้น 1-5 ซึ่งเป็นชั้นที่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ามาเล่นนั่นแหละ
ถึงน้ำตกชั้น 5 เมื่อไหร่จะเจอทางแยกขึ้นยอดเขาหลวง ตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นแท้จริงครับ ทางข้างหน้าชันและชันราว 80 เปอร์เซ็นต์ ยังดีว่าเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นทางราบให้พักขาและถอนหายใจอยู่บ้าง
ขึ้นมาเรื่อยๆ สักสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงลำห้วยตรงนี้ เป็นจุดพักชั้นดี ที่สำคัญคือเป็นแหล่งน้ำสุดท้ายระหว่างทางซึ่งเราจะเจอ พ้นตรงนี้จะพบจุดเติมน้ำอีกทีก็แถวสถานที่ตั้งแคมป์โน่นเลย
พักสักครู่แล้วลากสังขารเดินกันต่อ ทางถือว่าชันทีเดียวแต่ข้อดีคือเป็นป่าสวยเขียวมาก ต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยดีนะ
บ่ายโมงกว่าๆ แบกเป้มาถึงไทรต้นนี้ ใหญ่และอลังการสุดยอด
จากนั้นเรายังคงต้องก้มหน้าเดินต่อไป เหนื่อยนักก็พักบ้าง พอหายใจคล่องขึ้นก็ไปต่อ จนกระทั่งเกือบสี่โมงเย็นพอดีเราก็มาโผล่ตรงนี้ มันคืออะไรละเนี่ย (ฮา...) นี่คือจุดที่เรียกว่าผาหนึ่งครับ ปกติเป็นจุดแรกที่เราได้เห็นวิวสวยๆ ของทะเลประจวบ แต่วันนี้กลางเดือนกุมภาพันธ์ มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย
ถึงจะรู้สึกท้อในดวงชะตานิดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว จากผาหนึ่งเหลือเพียง 400-500 เมตร ก็ถึงจุดตั้งแคมป์บริเวณผาสอง ระหว่างทางจะผ่านธารน้ำก็จัดการเติมกันไปใช้ที่ให้เรียบร้อย ใครอยากอาบน้ำอาบท่าก็พอไหวอยู่
เรามาถึงจุดตั้งแคมป์ 16.20 น. ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณหกชั่วโมงครึ่ง ค่อนข้างเร็วกว่าที่คาดไว้ตอนแรกครับ ยอมให้กับความแข็งแกร่งของเพื่อนร่วมทริป (ฮา...)
มาถึงแคมป์แล้ว บรรยากาศหน้าฝนชัดๆ ไม่จำเป็นต้องออกไปดูวิวเลยเพราะมองอะไรไม่เห็นหรอก ก็กางเต็นท์ผูกเปลตั้งแคมป์กันไป พื้นที่มีให้เลือกเหลือเฟือ
จัดการแคมป์เสร็จไม่เท่าไหร่ฝนก็ตกลงมาซู่ใหญ่ แถมผมเจองานเข้าเต็มๆ เมื่อพลาดท่าใส่รองเท้าแตะไปเหยียบไม้หนามที่ล้มอยู่กับพื้น หนามทะลุรองเท้าจิ้มเท้าซ้าย ด้วยความที่เราเดินกันมาหนักหน่วงเลือดลมกำลังไหลเวียน เลือดเลยพุ่งกระฉูด เพื่อนคนหนึ่งบอกว่านึกว่าทำน้ำแดงหกใส่เท้า
นึกไปพิมพ์ไปยังรู้สึกเสียบวาบที่แผลอยู่เลย (อูย...)
โชคดีว่าผมเพิ่งฉีดยากันบาดทะยักมาหมาดๆ จากอุบัติเหตุรถล้มปลายปีก่อนเลยไม่มีอะไรน่ากังวลมาก ล้างแผล ใส่ยา ปฐมพยาบาลเบื้องต้น กินยาแก้อักเสบ พารา ปวดแผลนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเดินไม่ได้
วันนั้นฟ้าปิดตลอดเลยพักผ่อนชิลๆ กันไป ทำกับข้าว ล้อมวงกินข้าว เฮฮากันตามประสา ถึงจะได้แผลที่เท้ามา แต่หัวใจของผมยังเริงร่าดีอยู่
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้