"การุณยฆาต" เป็นทางออกที่ง่ายเกินไปสำหรับคนป่วย
7 มีนาคม 2562
หลายท่านคงได้อ่านข่าว คุณก๊อฟ หนุ่มไทยป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ผ่าต้ดสี่ครั้ง แล้วไปทำการุณยฆาต ที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2562
https://www.facebook.com/notes/vis-arshanakh/ชีวิตแสนซวยกับเนื้องอกในสมอง/1158425800858376/
บางท่านอ่านแล้วเห็นใจผู้ป่วยคนนี้ และเห็นด้วยกับการุณยฆาต หากกรณีเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นับเป็นกรณีศึกษาที่ได้รับความสนใจจากคนไทยอย่างยิ่ง หลายคนคิดว่า เหตุใดเราจึงไม่อนุญาต ให้ทำการุณยฆาตในสังคมไทยได้บ้าง?
แม้ดูเผิน ๆ การุณยาฆาตน่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่การุณยฆาตมิใช่ทางออกสังคมโลกสนับสนุน การุณยฆาต เป็นการฆาตกรรมชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่วงการแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับไม่ได้ ผิดหลักจริยธรรมข้อแรก ๆ ของแพทย์ ถือปฏิบัติต่อเนื่องมา ตั้งแต่สมัยฮิปโปเครตีส กล่าวคือ แพทย์จักไม่ใช้วิชาความรู้ในทำร้ายผู้คน เพราะว่าหากวงแพทย์ ยอมรับเรื่องการฆ่าคนได้ ย่อมทำให้วงการเสื่อมเสีย ขาดการไว้วางใจจากผู้รับการบริบาลทั้งหลาย จะเป็นเหตุให้ระแวงว่า แพทย์อาจใช้ความรู้ในทางที่ผิด
การฆาตกรรม เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมใด ๆ แม้ความเจ็บป่วยก็ไม่สมควรเป็นข้ออ้างในการฆาตกรรม หรืออนุญาต ให้ทำการฆาตกรรมได้ สังคมพุทธ มักถึอว่าความเจ็บป่วยที่ทำให้ทุกข์ทรมานรักษาไม่ได้นั้น ก็มีเหตุปัจจัยมาจากอดีต คือเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง การบำบัดด้วยการุณยฆาต เป็นการก่อกรรมหนักชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากการฆ่าผู้อื่นให้ตาย ชาวพุทธส่วนใหญ่จึงยอมรับผลของกรรมแต่โดยดี
การุณยฆาต เป็นทางออกที่ง่ายเกินไปสำหรับคนป่วย สวนทางกับพัฒนาการของวงการแพทย์ ซึ่งได้พัฒนาวิธีบำบัดโรค ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าในหลายกรณี การบำบัดโรคนั้นเองกลับก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับคุณก๊อฟ ในกรณีศึกษานี้ และในทางกลับกัน การแพทย์แผนปัจจุบัน มีวิธีบำบัดความทุกข์ทรมานที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นโรคที่รักษายาก หรือรักษาไม่หาย ยุคนี้เราสามารถทำให้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งทั่วตัว ที่เคยปวดมากเสียจนอยากรีบตาย หายปวดเป็นปลิดทิ้ง และใช้ชีวิตได้เต็มที่เช่นเดียวกับคนที่ไม่ป่วย เราค้นพบว่า ผู้ที่เป็นโรคร้ายแต่ไม่ทรมานจากความปวดหรืออาการอื่น ไม่มีใครอยากรีบตายหรอก ยังไม่ถึงเวลาไปก็ยังใช้ชีวิตเต็มที่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ป่วยรู้ว่า ตนเองเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และเข้าใจสัจธรรมว่า จะตายก็ได้แต่ขอไม่ทรมาน วงการแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถเคารพความประสงค์ที่จะไม่รับการรักษา เพื่อมิให้ต้องรับผลข้างเคียงจากการรักษา หรือเป็นภาระแก่คนในครอบครัว และสังคม หรือเพื่อใช้เวลาในการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์แทนการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธการรักษาที่แพทย์เสนอเป็นทางเลือก และจะยังคงมีบุคคลากรทางการแพทย์ช่วยดูแลต่อเนื่อง จนถึงวาระสุดท้าย เพื่อบำบัดอาการที่น่าทุกข์ทรมานที่อาจเกิดขึ้น มิให้เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ การแพทย์แนวนี้ เรียกกันว่า Palliative care แพลิเอถีฟแคร์ มีชื่อไทยว่า “การดูแลระยะท้าย” หรือ “การดูแลประคับประคอง”
คุณก๊อฟ ผู้ป่วยในกรณีศึกษาของเรา เป็นมะเร็งที่ไม่หายขาด ก้อนกลับมาใหม่หลังผ่าตัดหลายครั้ง แม้ว่าการผ่าตัดในครั้งที่สองและสาม จะยังสามารถทำได้และสามารถยืดชีวิตของเขาได้อีกชั่วคราว แต่ก็ต้องแลกด้วย การเจ็บตัว เสียเวลาในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่าย และผลข้างเคียงและโรคแทรกซ้อนจากการรักษา หากผู้ป่วยในกรณีศึกษาของเรา ได้เข้าถึงแพลิเอถีฟแคร์ จึงเลือกที่จะไม่รับการผ่าตัด เขาย่อมมีสิทธิที่จะไม่รับการผ่าตัด และอนุญาตให้ตัวเองเสียชีวิต อย่างสงบได้ การเสียชีวิตด้วยมะเร็งหรือก้อนในสมอง เป็นการตายที่คนส่วนใหญ่มองว่า “ไปดี” ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหัวอาเจียนในช่วงหนึ่ง ซึ่งบำบัดให้หายได้ด้วยยา แต่ต่อมาจะนอนหลับมากขึ้น จนกระทั่งปลุกไม่ตื่น และตายไปขณะหลับอยู่ หากแพทย์ผู้ดูแลเคารพความประสงค์ของผู้ป่วย และอนุญาตให้ทุกอย่างดำเนินไปธรรมชาติ เรื่องคงจบด้วยดี ไม่ต้องทนทรมานจากผลข้างเคียง ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ และการดิ้นรนไปหาที่ทำการุณยฆาต และก่อกรรมหนักเช่นนี้
ถ้าหากคนในครอบครัว หรือญาติบางคน ไม่เห็นด้วยกับผู้ป่วยที่จะขออนุญาตตายตามธรรมชาติ ผู้ป่วยสามารถเขียน “พินัยกรรมชีวิต” เพื่อขอให้แพทย์เคารพความประสงค์ที่จะไม่ยื้อชีวิต โดยไม่ต้องฟังเสียงญาติก็ได้ โดยสามารถดาว์นโหลด ตัวอย่างเอกสารจาก www.livingwill.or.th เพื่อเขียนเองด้วยลายมือและลงชื่อไว้ หรือพิมพ์ออกมาพร้อมลงชื่อตัวเองพร้อมพยาน ส่งสำเนาให้แพทย์ผู้รักษาและปิดประกาศไว้ที่บ้าน
Palliative care จึงเป็นทางเลือกที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิต และบำบัดความน่าทุกข์ทรมานออกได้ ผู้ป่วยจึงสามารถ ใช้ชีวิตได้อย่างดีเสียจนไม่อยากรีบตาย จึงเป็นทางเลือกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับการุณยฆาต แต่น่าเสียดายที่ ผู้ป่วยในกรณ๊ศึกษา ของเรา และผู้ป่วยลักษณะเดียวกันอีกมากยังเข้าไม่ถึงแพทย์ผู้ที่จะให้การดูแลในแนวนี้ ผู้ที่อยากได้การดูแล เมื่อเป็นโรคร้ายอย่างดีเช่นนี้ หากอยู่ในโรงพยาบาล พึงขอให้แพทย์พยาบาลเจ้าของไข้ส่งปรึกษา “ทีมแพลิเอถีฟแคร์” ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละโรงพยาบาล ได้แก่ หน่วยงานในชื่อ การุณรักษ์ ชีวรักษ์ ชีวารักษ์ ชีวันตารักษ์ บริรักษ์ ธรรมรักษ์ อุ่นรักษ์ ชีวาภิบาล ชีวันตาภิบาล อภิบาลคุณภาพชีวิต หากไม่ต้องการมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยและญาติ สามารถปรึกษาองค์กรอิสระ ได้แก่ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (สช), โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ, เครือข่ายพุทธิกา, เครือข่ายชีวิตสิกขา, ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม, เยือนเย็นวิสาหกิจเพื่อสังคม มูลนิธิกัลยาณการุณย์ มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง เสมสิกขาลัย จิตอาสาเยียวยาจิตใจผู้ป่วย I see U, ชมรมเพื่อนมะเร็งไทย สถาบันไทยใส่ใจ หน่วยงานเหล่านี้จะสามารถส่งต่อให้เข้าถึง แพทย์พยาบาลและบุคคลากร ที่จะเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของท่าน
อิศรางค์ นุชประยูร
อุกฤษ มิลินทางกูร
https://www.facebook.com/hpmsocial/posts/961023804099655
"การุณยฆาต" เป็นทางออกที่ง่ายเกินไปสำหรับคนป่วย
7 มีนาคม 2562
หลายท่านคงได้อ่านข่าว คุณก๊อฟ หนุ่มไทยป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ผ่าต้ดสี่ครั้ง แล้วไปทำการุณยฆาต ที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2562 https://www.facebook.com/notes/vis-arshanakh/ชีวิตแสนซวยกับเนื้องอกในสมอง/1158425800858376/
บางท่านอ่านแล้วเห็นใจผู้ป่วยคนนี้ และเห็นด้วยกับการุณยฆาต หากกรณีเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นับเป็นกรณีศึกษาที่ได้รับความสนใจจากคนไทยอย่างยิ่ง หลายคนคิดว่า เหตุใดเราจึงไม่อนุญาต ให้ทำการุณยฆาตในสังคมไทยได้บ้าง?
แม้ดูเผิน ๆ การุณยาฆาตน่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่การุณยฆาตมิใช่ทางออกสังคมโลกสนับสนุน การุณยฆาต เป็นการฆาตกรรมชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่วงการแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับไม่ได้ ผิดหลักจริยธรรมข้อแรก ๆ ของแพทย์ ถือปฏิบัติต่อเนื่องมา ตั้งแต่สมัยฮิปโปเครตีส กล่าวคือ แพทย์จักไม่ใช้วิชาความรู้ในทำร้ายผู้คน เพราะว่าหากวงแพทย์ ยอมรับเรื่องการฆ่าคนได้ ย่อมทำให้วงการเสื่อมเสีย ขาดการไว้วางใจจากผู้รับการบริบาลทั้งหลาย จะเป็นเหตุให้ระแวงว่า แพทย์อาจใช้ความรู้ในทางที่ผิด
การฆาตกรรม เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมใด ๆ แม้ความเจ็บป่วยก็ไม่สมควรเป็นข้ออ้างในการฆาตกรรม หรืออนุญาต ให้ทำการฆาตกรรมได้ สังคมพุทธ มักถึอว่าความเจ็บป่วยที่ทำให้ทุกข์ทรมานรักษาไม่ได้นั้น ก็มีเหตุปัจจัยมาจากอดีต คือเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง การบำบัดด้วยการุณยฆาต เป็นการก่อกรรมหนักชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากการฆ่าผู้อื่นให้ตาย ชาวพุทธส่วนใหญ่จึงยอมรับผลของกรรมแต่โดยดี
การุณยฆาต เป็นทางออกที่ง่ายเกินไปสำหรับคนป่วย สวนทางกับพัฒนาการของวงการแพทย์ ซึ่งได้พัฒนาวิธีบำบัดโรค ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าในหลายกรณี การบำบัดโรคนั้นเองกลับก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับคุณก๊อฟ ในกรณีศึกษานี้ และในทางกลับกัน การแพทย์แผนปัจจุบัน มีวิธีบำบัดความทุกข์ทรมานที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นโรคที่รักษายาก หรือรักษาไม่หาย ยุคนี้เราสามารถทำให้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งทั่วตัว ที่เคยปวดมากเสียจนอยากรีบตาย หายปวดเป็นปลิดทิ้ง และใช้ชีวิตได้เต็มที่เช่นเดียวกับคนที่ไม่ป่วย เราค้นพบว่า ผู้ที่เป็นโรคร้ายแต่ไม่ทรมานจากความปวดหรืออาการอื่น ไม่มีใครอยากรีบตายหรอก ยังไม่ถึงเวลาไปก็ยังใช้ชีวิตเต็มที่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ป่วยรู้ว่า ตนเองเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และเข้าใจสัจธรรมว่า จะตายก็ได้แต่ขอไม่ทรมาน วงการแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถเคารพความประสงค์ที่จะไม่รับการรักษา เพื่อมิให้ต้องรับผลข้างเคียงจากการรักษา หรือเป็นภาระแก่คนในครอบครัว และสังคม หรือเพื่อใช้เวลาในการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์แทนการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธการรักษาที่แพทย์เสนอเป็นทางเลือก และจะยังคงมีบุคคลากรทางการแพทย์ช่วยดูแลต่อเนื่อง จนถึงวาระสุดท้าย เพื่อบำบัดอาการที่น่าทุกข์ทรมานที่อาจเกิดขึ้น มิให้เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ การแพทย์แนวนี้ เรียกกันว่า Palliative care แพลิเอถีฟแคร์ มีชื่อไทยว่า “การดูแลระยะท้าย” หรือ “การดูแลประคับประคอง”
คุณก๊อฟ ผู้ป่วยในกรณีศึกษาของเรา เป็นมะเร็งที่ไม่หายขาด ก้อนกลับมาใหม่หลังผ่าตัดหลายครั้ง แม้ว่าการผ่าตัดในครั้งที่สองและสาม จะยังสามารถทำได้และสามารถยืดชีวิตของเขาได้อีกชั่วคราว แต่ก็ต้องแลกด้วย การเจ็บตัว เสียเวลาในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่าย และผลข้างเคียงและโรคแทรกซ้อนจากการรักษา หากผู้ป่วยในกรณีศึกษาของเรา ได้เข้าถึงแพลิเอถีฟแคร์ จึงเลือกที่จะไม่รับการผ่าตัด เขาย่อมมีสิทธิที่จะไม่รับการผ่าตัด และอนุญาตให้ตัวเองเสียชีวิต อย่างสงบได้ การเสียชีวิตด้วยมะเร็งหรือก้อนในสมอง เป็นการตายที่คนส่วนใหญ่มองว่า “ไปดี” ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหัวอาเจียนในช่วงหนึ่ง ซึ่งบำบัดให้หายได้ด้วยยา แต่ต่อมาจะนอนหลับมากขึ้น จนกระทั่งปลุกไม่ตื่น และตายไปขณะหลับอยู่ หากแพทย์ผู้ดูแลเคารพความประสงค์ของผู้ป่วย และอนุญาตให้ทุกอย่างดำเนินไปธรรมชาติ เรื่องคงจบด้วยดี ไม่ต้องทนทรมานจากผลข้างเคียง ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ และการดิ้นรนไปหาที่ทำการุณยฆาต และก่อกรรมหนักเช่นนี้
ถ้าหากคนในครอบครัว หรือญาติบางคน ไม่เห็นด้วยกับผู้ป่วยที่จะขออนุญาตตายตามธรรมชาติ ผู้ป่วยสามารถเขียน “พินัยกรรมชีวิต” เพื่อขอให้แพทย์เคารพความประสงค์ที่จะไม่ยื้อชีวิต โดยไม่ต้องฟังเสียงญาติก็ได้ โดยสามารถดาว์นโหลด ตัวอย่างเอกสารจาก www.livingwill.or.th เพื่อเขียนเองด้วยลายมือและลงชื่อไว้ หรือพิมพ์ออกมาพร้อมลงชื่อตัวเองพร้อมพยาน ส่งสำเนาให้แพทย์ผู้รักษาและปิดประกาศไว้ที่บ้าน
Palliative care จึงเป็นทางเลือกที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิต และบำบัดความน่าทุกข์ทรมานออกได้ ผู้ป่วยจึงสามารถ ใช้ชีวิตได้อย่างดีเสียจนไม่อยากรีบตาย จึงเป็นทางเลือกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับการุณยฆาต แต่น่าเสียดายที่ ผู้ป่วยในกรณ๊ศึกษา ของเรา และผู้ป่วยลักษณะเดียวกันอีกมากยังเข้าไม่ถึงแพทย์ผู้ที่จะให้การดูแลในแนวนี้ ผู้ที่อยากได้การดูแล เมื่อเป็นโรคร้ายอย่างดีเช่นนี้ หากอยู่ในโรงพยาบาล พึงขอให้แพทย์พยาบาลเจ้าของไข้ส่งปรึกษา “ทีมแพลิเอถีฟแคร์” ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละโรงพยาบาล ได้แก่ หน่วยงานในชื่อ การุณรักษ์ ชีวรักษ์ ชีวารักษ์ ชีวันตารักษ์ บริรักษ์ ธรรมรักษ์ อุ่นรักษ์ ชีวาภิบาล ชีวันตาภิบาล อภิบาลคุณภาพชีวิต หากไม่ต้องการมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยและญาติ สามารถปรึกษาองค์กรอิสระ ได้แก่ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (สช), โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ, เครือข่ายพุทธิกา, เครือข่ายชีวิตสิกขา, ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม, เยือนเย็นวิสาหกิจเพื่อสังคม มูลนิธิกัลยาณการุณย์ มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง เสมสิกขาลัย จิตอาสาเยียวยาจิตใจผู้ป่วย I see U, ชมรมเพื่อนมะเร็งไทย สถาบันไทยใส่ใจ หน่วยงานเหล่านี้จะสามารถส่งต่อให้เข้าถึง แพทย์พยาบาลและบุคคลากร ที่จะเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของท่าน
อิศรางค์ นุชประยูร
อุกฤษ มิลินทางกูร
https://www.facebook.com/hpmsocial/posts/961023804099655