หนังชวนเสียสติตั้งแต่เปิดเรื่อง เพราะขณะที่หน้าหนังเหมือนจะว่าด้วยป๊อปสตาร์สาวผู้หลงในแสงสีและยาเสพติด มันกลับพูดถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงในโรงเรียนเมื่อปี 1999 และเป็นหนึ่งในคนที่ตื่นตระหนกสุดขีดกับเหตุระเบิด 911 เมื่อปี 2001 ก่อนที่ในเวลาต่อมา เธอจะเป็นหญิงสาว -ในฐานะนักร้องดัง- ที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับการ 'ก่อการร้าย' เมื่อโลกเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21
โศกนาฏกรรม การก่อการร้ายและเพลงป๊อปเชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจและเป็นผืนแผ่นเดียวกันในหนังยาวลำดับที่สองของ บราดี คอร์เบ็ต (เป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงหนุ่มที่เคยร่วมงานกับเจ้าพ่อหนังเฮี้ยน ไมเคิล ฮานาเก, อันโตนิโอ แคมโปส, ลาร์ส วอน ทริเยร์) เซลีสต์เป็นเด็กหญิงในคณะดนตรีของโรงเรียน เพื่อนชายที่เธอรู้จักด้วยบุกเข้ามากราดยิง กระสุนลูกนั้นเฉี่ยวคอเธอไปอย่างปาฏิหาริย์แต่ก็ทิ้งแผลฉกรรจ์ไว้ เซลีสต์กับพี่สาวเข้าไปไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้นในโบสถ์ที่สื่อมวลชนมาทำข่าว เธอปฏิเสธจะเอ่ยเป็นถ้อยแถลงเพราะไม่ถนัด และเลือกจะร้องเพลงที่ร่วมแต่งด้วยกันกับพี่สาว ปรากฏว่ามันได้กลายเป็นไวรัลที่เชื่อมร้อยคนอเมริกันเข้าด้วยกันกับเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนเล็กๆ แห่งนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเข้าอุตสาหกรรมดนตรีของเธอ
ความเซอร์ของหนังคือมันได้ทำให้สิ่งที่ดูจะเป็นของย่อยง่ายอย่างดนตรีป๊อปกลายเป็นความเฮี้ยนคลั่งด้วยการโยงใยเข้าถึงรากของมัน ผ่านการเดินทางไปยังสวีเดนของสองพี่น้องเพื่อทำเพลงในสตูดิโอ สวีเดน ดินแดนที่เพลงป๊อปงอกผลิบานหลังสงครามโลกครั้งที่สองหลังดนตรีแจ๊สส์จากอเมริการุกคืบเข้าประเทศ เพลงป๊อปยังโอบรับและเป็นตัวแทนของห้วงอารมณ์คนจำนวนมากที่ทั้งหวาดหวั่น ตื่นกลัว ไปจนถึงเฉลิมฉลองบางอย่าง และนั่นเองที่หนังมันวนกลับมายังตัวละครเซลีสต์ในวัยผู้ใหญ่ (นาตาลี พอร์ตแมน) ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ หรืออาจจะเป็นผู้นำทัพ วัฒนธรรมป๊อปมาทั้งชีวิตของเธอ กับความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพี่สาวผู้อยู่ใต้ร่มเงาของเธอมาโดยตลอด
ตลอดเวลาที่เราดูหนัง ทุกฉากที่พอร์ตแมนปรากฏตัวมันชวนให้นึกถึงคนแบบมาดอนนา, บริตนีย์ สเปียร์, ริอานนาหรืออีกรุ่นอย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์ เพราะพวกเธอคือคนที่เติบโตและใช้ชีวิตในสังเวียนวัฒนธรรมป๊อปมาโดยตลอด ความป๊อปไม่ได้อยู่แค่เนื้อเพลงหรือดนตรีที่เธอร้องและเล่น แต่คือชีวิตเธอและตัวตนของพวกเธอ การกล้ำกลืนแถลงข่าวที่ตอบผิดก็ตายตอบได้ก็เสมอตัว หรือแม้แต่การเผชิญหน้ากับผู้สื่อข่าวที่แย็บคำถามเด็ดมาตอนที่เธอกำลังเมายาสุดขีด แต่เหนืออื่นใดคือเพลงที่เซลีสต์ร้อง (เพลงโดย SIA!) ในช่วงท้ายเรื่อง มันเป็นดนตรีแบบยุค 90 ไล่เรื่อยมาจนป๊อปแบบ 00 มาจนปัจจุบัน หมุนผลัดเป็นวัฏจักรซ้ำเดิมของดนตรีป๊อปไปไม่สิ้นสุด
นาตาลี พอร์ตแมน แพรวพราวมากๆ ในบทป๊อปสตาร์ เธอเอาแต่ใจ เธอเปราะบาง แววตาของเธอผสมผสานทั้งความกราดเกรี้ยว หยิ่งผยอง ในเวลาเดียวกันก็เหมือนเด็กๆ ที่ถูกตามใจจนเคยตัว ตัดสลับกับความเป็นนางพญาบนเวทีที่ควบคุมคนนับหมื่นได้อย่างงดงามมากๆ
ฝากเพจหนังด้วยค่ะ : )
https://www.facebook.com/llkhimll/
[Review] Vox Lux ภาพสะท้อนของดนตรีป๊อป โศกนาฏกรรม และการก่อการร้าย ในศตวรรษที่ 21
โศกนาฏกรรม การก่อการร้ายและเพลงป๊อปเชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจและเป็นผืนแผ่นเดียวกันในหนังยาวลำดับที่สองของ บราดี คอร์เบ็ต (เป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงหนุ่มที่เคยร่วมงานกับเจ้าพ่อหนังเฮี้ยน ไมเคิล ฮานาเก, อันโตนิโอ แคมโปส, ลาร์ส วอน ทริเยร์) เซลีสต์เป็นเด็กหญิงในคณะดนตรีของโรงเรียน เพื่อนชายที่เธอรู้จักด้วยบุกเข้ามากราดยิง กระสุนลูกนั้นเฉี่ยวคอเธอไปอย่างปาฏิหาริย์แต่ก็ทิ้งแผลฉกรรจ์ไว้ เซลีสต์กับพี่สาวเข้าไปไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้นในโบสถ์ที่สื่อมวลชนมาทำข่าว เธอปฏิเสธจะเอ่ยเป็นถ้อยแถลงเพราะไม่ถนัด และเลือกจะร้องเพลงที่ร่วมแต่งด้วยกันกับพี่สาว ปรากฏว่ามันได้กลายเป็นไวรัลที่เชื่อมร้อยคนอเมริกันเข้าด้วยกันกับเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนเล็กๆ แห่งนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเข้าอุตสาหกรรมดนตรีของเธอ
ความเซอร์ของหนังคือมันได้ทำให้สิ่งที่ดูจะเป็นของย่อยง่ายอย่างดนตรีป๊อปกลายเป็นความเฮี้ยนคลั่งด้วยการโยงใยเข้าถึงรากของมัน ผ่านการเดินทางไปยังสวีเดนของสองพี่น้องเพื่อทำเพลงในสตูดิโอ สวีเดน ดินแดนที่เพลงป๊อปงอกผลิบานหลังสงครามโลกครั้งที่สองหลังดนตรีแจ๊สส์จากอเมริการุกคืบเข้าประเทศ เพลงป๊อปยังโอบรับและเป็นตัวแทนของห้วงอารมณ์คนจำนวนมากที่ทั้งหวาดหวั่น ตื่นกลัว ไปจนถึงเฉลิมฉลองบางอย่าง และนั่นเองที่หนังมันวนกลับมายังตัวละครเซลีสต์ในวัยผู้ใหญ่ (นาตาลี พอร์ตแมน) ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ หรืออาจจะเป็นผู้นำทัพ วัฒนธรรมป๊อปมาทั้งชีวิตของเธอ กับความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพี่สาวผู้อยู่ใต้ร่มเงาของเธอมาโดยตลอด
ตลอดเวลาที่เราดูหนัง ทุกฉากที่พอร์ตแมนปรากฏตัวมันชวนให้นึกถึงคนแบบมาดอนนา, บริตนีย์ สเปียร์, ริอานนาหรืออีกรุ่นอย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์ เพราะพวกเธอคือคนที่เติบโตและใช้ชีวิตในสังเวียนวัฒนธรรมป๊อปมาโดยตลอด ความป๊อปไม่ได้อยู่แค่เนื้อเพลงหรือดนตรีที่เธอร้องและเล่น แต่คือชีวิตเธอและตัวตนของพวกเธอ การกล้ำกลืนแถลงข่าวที่ตอบผิดก็ตายตอบได้ก็เสมอตัว หรือแม้แต่การเผชิญหน้ากับผู้สื่อข่าวที่แย็บคำถามเด็ดมาตอนที่เธอกำลังเมายาสุดขีด แต่เหนืออื่นใดคือเพลงที่เซลีสต์ร้อง (เพลงโดย SIA!) ในช่วงท้ายเรื่อง มันเป็นดนตรีแบบยุค 90 ไล่เรื่อยมาจนป๊อปแบบ 00 มาจนปัจจุบัน หมุนผลัดเป็นวัฏจักรซ้ำเดิมของดนตรีป๊อปไปไม่สิ้นสุด
นาตาลี พอร์ตแมน แพรวพราวมากๆ ในบทป๊อปสตาร์ เธอเอาแต่ใจ เธอเปราะบาง แววตาของเธอผสมผสานทั้งความกราดเกรี้ยว หยิ่งผยอง ในเวลาเดียวกันก็เหมือนเด็กๆ ที่ถูกตามใจจนเคยตัว ตัดสลับกับความเป็นนางพญาบนเวทีที่ควบคุมคนนับหมื่นได้อย่างงดงามมากๆ
ฝากเพจหนังด้วยค่ะ : ) https://www.facebook.com/llkhimll/