Federico Bernardeschi เฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกี
สโมสรยูเวนตุส
18 มกราคม 2019
ที่เมืองคาราราในประเทศอิตาลี สีขาวอาจจะดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมืองแห่งหินอ่อน คนส่วนใหญ่จะรู้จักแบบนั้น ที่นี้เป็นบ้านเกิดของผม เมืองนี้มีชื่อเสียงเพราะเป็นแหล่งสกัดหินอ่อนคารารา หินอ่อนที่พวกเราคุ้นชินส่วนใหญ่จะถูกนำมาจากบนเขา ถูกขุดและถูกตัดทรงโดยเหล่าชายฉกรรจ์ในเมือง พ่อของผมก็ทำงานในอุตสาหกรรมเหมืองหินอ่อนที่มีชั่วโมงการทำงานอันยาวนานเหมือนกับคนส่วนใหญ่ของที่นี้ พ่อตื่นตั้งแต่ตี 5 กลับบ้าน 6 โมงเย็น นั่นคือเรื่องเดียวที่ท่านรู้ และก็เป็นทุกสิ่งที่ครอบครัวของเรารู้จัก
รอบๆตัวของพวกเรามีหินอ่อนจำนวนมาก มากจริงๆ จนผมถึงกับเอาไปฝัน ผมเห็นจินตภาพนี้ตั้งแต่ตอนผมอายุราวๆ 6ขวบ ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าจินตภาพก็อาจจะไม่ถูกนัก มันเหมือนกับภาพวีดีโอสั้นๆ ที่บางครั้ง ผมมักจะเห็นในยามที่ผมหลับ รึไม่ก็ตอนที่ผมหลับตานานๆและคิดถึงมัน
สิ่งที่ผมเห็นคืออุโมงค์มืดทึบ ทอดยาวออกไป ตอนแรก ไม่มีแม้กระทั้งแสงที่ปลายอุโมงค์ ผมบอกได้แค่ว่า ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในอุโมงค์ จากนั้นผมถึงเห็นเส้นสีขาว บางทีมันอาจจะเป็นหินอ่อน ? รึอาจจะไม่ใช่ ? เรื่องนั้นไม่สลักสำคัญหรอกครับ ประเด็นก็คือสุดท้ายแล้วเส้นสีขาวนั้นจะนำผมออกไปจากอุโมงค์ดำมืดนี้ได้ มันจะนำผมไปยังสถานที่ ที่ผมอยากจะไป
ยามเมื่อผมยังเด็ก ผมไม่เคยเห็นสาระสำคัญอะไรของความฝันนี้เลย มันไม่มีอะไรที่ผมจะเชื่อมโยงไปได้เลย ตอนนั้นผมไม่เคยอยากจะไปไหนทั้งนั้น
ผมมีความสุขกับชีวิต ผมมีครอบครัวของผม ผมมีฟุตบอลของผม แค่นี้ล่ะที่ผมต้องการ เมื่อตอนที่ผมอายุ 3ขวบ พ่อพาผมไปร้านของเล่นใหญ่ที่กลางเมือง ผมเดินเข้าไปแค่2 ก้าว แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปหยิบลูกฟุตบอล แล้วบอกพ่อว่ากลับกันเถอะครับ พ่อยังอยากให้ผมลองเดินดูของเล่นอย่างอื่นด้วย แต่ไม่ละครับ
.
และเพราะผมรู้ว่าผมต้องการอะไร ผมจะไม่ยอมให้อะไรมาขวางทางของผม นั่นล่ะคือผม เอ่อ..รึผมจะบอกนั่นล่ะคือตัวตนของพวกเรา ถ้าคุณเกิดที่คารารา คุณก็จะแข็งแกร่งราวกับหินอ่อน ---- ไปลองถาม จีจี้ บุฟฟ่อนดูสิ่ครับ
ครอบครัวของผมก็เป็นเช่นนั้น คุณแม่ของผมทำงานเป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลที่ไม่ห่างจากบ้านของเรานัก คุณแม่เข้มแข็งแต่ก็น่ารัก แม่จะมีสองด้าน ด้านนึงคือนางพยาบาลมืออาชีพผู้จริงจังอยู่เสมอ กับอีกด้านนึงคือคุณแม่ผู้แสนดี ประมาณนั้นล่ะครับ ระหว่างแม่กับพ่อ มันจะเป็นความสมดุล คุณพ่อมักจะเป็นคนที่คอยเคี่ยวเข็ญ ผมอยู่เสมอ ท่านอยากให้ผมทำทุกสิ่งให้ดีขึ้น และมากขึ้น จนบางครั้งเมื่อยามเด็ก ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่มันมากไปรึเปล่า ? พ่อโกรธอะไรผมรึเปล่านะ ? จนเมื่อผมเริ่มอายุมากขึ้นถึงได้เริ่มเข้าใจว่า ที่พ่อเคี่ยวเข็ญผมอยู่เสมอเพราะว่าพ่อเชื่อมั่นในตัวของผม พ่อรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเด็กตัวน้อยที่ไม่ยอมสนของเล่นอย่างอื่นเลยนอกจากลูกฟุตบอลจะต้องมีเส้นทางอย่างไรต่อไป พ่อผมเจ๋งจริงๆ
เมืองของเราเล็กมาก และไม่มีตัวเลือกในทีมเยาวชนมากนัก ครอบครัวเราจึงต้องตัดสินใจบางอย่าง ตอนผมอายุ 8 ขวบผมเล่นให้กับทีมปอนซาโน่ หนึ่งในทีมเยาวชนของเอ็มโปลี ที่อยู่ห่างออกไป 70ไมล์ แม่จะมารับผมที่โรงเรียนตอนประมาณบ่าย 3 .15 ทุกวันก่อนที่โรงเรียนจะเลิก 45 นาที แม่จะยื่นปิ่นโตที่มีพาสต้าอุ่นร้อนให้กับผม มันอร่อยมากเลยนะครับ จากนั้นแม่จะขับรถโอเปิ้ลเว็คตร้าสีเทาของเรา มุ่งหน้าลงใต้ไปตามถนนเลียบทะเลลิกูเรียน ประมาณ 40นาทีพวกเราก็จะถึงปิซ่า มุ่งหน้าทางตะวันออกไปยังเอ็มโปลีอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่แล้วผมจะไปถึงสายเล็กน้อย ผมต้องผูกเชือกรองเท้าในรถ แม่แทบจะไม่เคยหยุดพักเลย เมื่อถึงแล้วผมก็จะวิ่งตรงไปสนามซ้อมและเริ่มโปรแกรมการฝึกซ้อม อีก 2 ชั่วโมงถัดมา เราก็กลับบ้านตามทางที่เราขับมา ผมไม่เคยได้นอนจนกว่าจะ 4 ทุ่มครึ่งรึ 5ทุ่ม จากนั้น 8โมงเช้าวันถัดมา กิจวัตรของพวกเราก็เริ่มวนกลับมาอีกครั้ง
ผมกับแม่ทำแบบนั้นอยู่ 4วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลาหลายปี..
มันลำบากเลยนะครับ แต่มันก็คุ้มค่ามาก หลังจากผมออกจากอ็มโปลี ผมก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสรฟิออเรนติน่า สโมสรในเมืองฟอเรนซ์ ที่อยู่ห่างไปทางตะวันออกของเอ็มโปลี ตามทางหลวงที่แม่กับผมเคยขับรถผ่าน คุณแม่อยู่กับผมในทุกๆย่างก้าวที่ผมเดินทาง
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ตอนผมอายุ 16 ปี ผมใกล้ที่จะเบียดเข้าทีมชุดใหญ่ของฟิออเรนติน่าได้อยู่แล้ว ตอนนั้นผมเล่นฟุตบอลได้ดีที่สุดในชีวิตของผมช่วงนั้นเลย แต่แล้วหลังจากการตรวจเช็คร่างกายตามปกติ ทีมแพทย์ก็ได้พบอะไรอะไรบางอย่าง หลายวันต่อมาคุณหมอได้เรียกผมกับแม่เข้าไปพบ มันมีการตรวจบางอย่าง แล้วก็เอ็กเรย์ จากนั้นไม่นานนักคุณหมอได้เข้ามาบอกพวกเราว่า
“เฟเดริโก ดูเหมือนเราจะพบปัญหาบางอย่างนะ”
ผมคิดในใจ ผมอายุ16 ร่างกายผมสมบรูณ์ที่สุดในชีวิต มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ
“เธอมีอาการหัวใจโต ทางเรายังไม่แน่ใจว่าอาการหนักมากแค่ไหน แต่มันก็ความเป็นไปได้ว่าเธออาจจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพไม่ได้อีกแล้ว”
มีความเป็นไปได้งั้นเหรอ? เห้ย ไม่จริงน่า มันไม่น่าเป็นไปได้
ผมทำใจให้เชื่อไม่ได้ ผมไม่อยากได้ยินเลย แม่ต้องมาทำให้ผมสงบ
คุณหมอบอกว่า “ในอีกหลายสัปดาห์จากนี้ พวกเราจะตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ในระหว่างนี้เธอคงเล่นฟุตบอลไม่ได้สักประมาณ 6เดือน”
ผมรู้ว่าผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของผม ผมไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้เบียดขึ้นทีมชุดใหญ่เลย แม่ของผมท่านก็ทราบ มันเป็นวันที่เลวร้ายของเรามากเลยครับ
ผมอายุแค่ 16 ปี ไม่มีอะไรจะทำ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในเมืองฟอเรนซ์ พ่อแม่ของผมพวกท่านยังคงทำงานอยู่ที่คารารา พวกท่านจะมาเยี่ยมผมทุกครั้งที่โอกาสอำนวย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องพยายามทำอะไรก็ได้ที่ให้รู้สึกยุ่งเข้าไว้ มันเป็น 6เดือนที่ยาวนานมากที่สุดในชีวิตของผม
เวลาผ่านไป ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจเช็คนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดด้วยการเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการและตัวยา ผมก็ก้าวผ่านปัญหามาได้
ด้วยเหตุบางอย่าง หลังจากที่ผมรู้ว่าผมผ่านอาการป่วยมาได้แล้ว ผมได้คิดถึงจินตภาพนั้นอีกครั้ง ใช่ครับ อุโมงค์ดำมืด จากนั้นก็แสง เส้นสีขาวที่ปลายทาง หินอ่อน? รึอะไรก็ช่าง มันคือผม เส้นทางของผม การเดินทางของผม อุโมงค์คือสิ่งที่เรายังไม่รู้ อุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม การต่อสู้ที่ต้องฟันฝ่า ผมเห็นจินตภาพนี้มาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ผมใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายความถึงอะไร
เมื่อคุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรคอะไรมาได้ มันเป็นไม่ได้เลยที่ทัศนคติบางอย่างของคุณจะไม่เปลี่ยนไป ตอนนี้ผมตระหนักรู้มากขึ้นว่าเส้นทางอาชีพของผมมันเปราะบางแค่ไหน แล้วโชคดีแค่ไหนที่ผมมาอยู่ตรงจุดนี้ได้
ฉนั้นทุกครั้งที่ผมมีเหตุการ์ณสำคัญในชีวิตนักฟุตบอล เช่น ลงเล่นซีรีส์ อา ครั้งแรกในปี 2014 โดนเรียกติดทีมชาติอิตาลีครั้งแรกในปี 2016 ผมจะมีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้นมากกว่าเมื่อตอนที่ผมยังเยาว์วัย ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นได้เพราะครอบครัวของผม และการช่วยเหลือจากคนรอบข้างของผม
ในช่วงเวลาแห่งความทรงจำของผมที่อยู่กับฟิออเรนติน่า มี 2 อย่างที่เด่นชัดมาก หนึ่งคือ ผู้จัดการทีมของเราตอนนั้น เปาโล ซูซ่า ให้คำแนะนำกับผมว่า ผมมีพรสวรรค์ที่ดีเยี่ยม และคุณลักษณะของผมก็ส่งเสริมความสามารถของผม เขายังบอกว่า ถ้าอยากจะเป็นผู้ชนะ คุณต้องทุ่มเทตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ ไม่ว่าจะในรึนอกสนาม คุณต้องทำเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ นั่นคือสิ่งที่นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ทุกคนทำ
ผมจะไม่มีวันลืมคำสอนนั้น
และอย่างที่สอง ก็คือมิตรภาพของผมกับกัปตันของเรา ดาวิเด้ อัสโตรี่
เขาเป็นคนประเภทที่ว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ทุกวันในการซ้อม เขาจะเป็นคนนำ เมื่อผมเริ่มโตขึ้น เขามักจะดึงผมมาก่อนการซ้อมเพื่อที่จะผ่านบอลด้วยกันเป็นการวอร์มอัพ เขามักจะให้คำแนะนำเรื่องโน้น เรื่องนี้กับผม
ตอนพวกเราต้องเดินทางยามเป็นทีมเยือน เรามักจะอยู่ด้วยกัน ดูเกมการแข่งขันคู่อืนรึไม่ก็ภาพยนตร์เก่าๆ ดาวิเด้เป็นคนใจเย็น น่ารัก และใจดีมาก หลังจากที่ผมติด 11 คนแรกของทีมอย่างสม่ำเสมอ ตอนที่ผมรู้สึกเสียความเชื่อมั่นรึฟอร์มตก ผมก็มักจะขอคำแนะนำจากเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำประตูได้ ช่างภาพประจำทีมก็จะส่งรูปภาพการฉลองประตูของผมมาเพื่อให้ผมโพสลงโซเชี่ยล รู้ไม๊ครับ? ในทุกๆรูปคุณจะเห็นได้ว่าคนแรกที่ตรงเข้ามากอดผมคือดาวิเด้
สหายของผม กัปตันของพวกเรา
อย่างที่พวกคุณคงทราบกันแล้ว เขาได้จากเราไปในเดือนมีนาคม 2018
ตอนนั้นเขาอายุ 30ปี แค่ 30
เขาเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่ในสายตาของใครอีกหลายคน เขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม
ดาวิเด้เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ตัวผมพยายามจะไม่คิดย้อนไปถึงอาการของหัวใจผมบ่อยนัก แต่ความตายของดาวิเด้ เป็นเครื่องเตือนใจว่า
เวลานั้นแสนสั้น พวกเราผู้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่โชคดีมากแล้ว
ผมคิดถึงดาวิเด้หลายครั้ง ระหว่างที่ผมย้ายมายังยูเวนตุส ในช่วงหน้าร้อนปี 2017 ผมกลับไปดูวีดีโอประตูที่ผมเคยทำได้ ผมจะเห็นเดวิเด้ วิ่งมาจากวงกลมกลางสนามชูกำปั้นสะใจขึ้นบนอากาศ ก่อนที่ผมจะย้าย ผมได้คุยกับเขา เขาเข้าใจนะครับ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำใจ
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการจากไปของดาวิเด้ ผมได้สักเบอร์เสื้อของเขาไว้เคียงข้างกับบทสวดขอสักการะแด่พระแม่มารีย์ ที่อยู่บนแขนขวาของผม
คราวนี้ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน เขาจะอยู่เคียงข้างและคอยคุ้มครองผมเสมอ
ผมเป็นผู้ศรัทธา เป็นเช่นนั้นเสมอมา มีเรื่องนึงที่ผมเชื่ออยู่เสมอว่าชีวิตที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า ที่ที่ดีกว่าและศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งพวกเราได้ถูกลิขิตไว้ และไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ผมไปถึงที่นั่น คนแรกที่ผมอยากจะพบคือดาวิเด้
สหายของผม กัปตันของพวกเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้เล่าให้พวกคุณฟังนี้ พวกเขาล้วนเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ และจะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเป็น
ผมภูมิใจมากเลยนะครับที่ได้อยู่ที่ยูเวนตุส สโมสรแห่งนี้และเมืองตูริน ไม่เหมือนกับที่อื่นที่ผมเคยอยู่มาก่อน มันจริงซะด้วยที่ว่า ผู้เล่นใหม่ของยูเวนตุสจะต้องถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ชนะ ตั้งแต่โค้ชไปจนถึงนักกายภาพรึแม้กระทั้งพนักงานครัว ....พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการชัยชนะ แค่นั้นเลยครับ และตอนนี้ผมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
เมื่อผมเห็นชุดแข่งของเบียงโคเนียรี่ ผมจะคิดถึงอุโมงค์ดำมืดแห่งนั้น ผมจะคิดถึงหินอ่อน สีดำ...สีขาว....ทั้งหมดอยู่ตรงนี้ล่ะ มันพาผมมาไกลได้ขนาดนี้แล้ว
และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมพร้อมแล้ว
https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/federico-bernardeschi-juventus
《 + : + ♘♞ เส้นบางๆสีขาว : เรื่องเล่าของเฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกี ♘♞ + : + 》
สโมสรยูเวนตุส
18 มกราคม 2019
ที่เมืองคาราราในประเทศอิตาลี สีขาวอาจจะดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมืองแห่งหินอ่อน คนส่วนใหญ่จะรู้จักแบบนั้น ที่นี้เป็นบ้านเกิดของผม เมืองนี้มีชื่อเสียงเพราะเป็นแหล่งสกัดหินอ่อนคารารา หินอ่อนที่พวกเราคุ้นชินส่วนใหญ่จะถูกนำมาจากบนเขา ถูกขุดและถูกตัดทรงโดยเหล่าชายฉกรรจ์ในเมือง พ่อของผมก็ทำงานในอุตสาหกรรมเหมืองหินอ่อนที่มีชั่วโมงการทำงานอันยาวนานเหมือนกับคนส่วนใหญ่ของที่นี้ พ่อตื่นตั้งแต่ตี 5 กลับบ้าน 6 โมงเย็น นั่นคือเรื่องเดียวที่ท่านรู้ และก็เป็นทุกสิ่งที่ครอบครัวของเรารู้จัก
รอบๆตัวของพวกเรามีหินอ่อนจำนวนมาก มากจริงๆ จนผมถึงกับเอาไปฝัน ผมเห็นจินตภาพนี้ตั้งแต่ตอนผมอายุราวๆ 6ขวบ ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าจินตภาพก็อาจจะไม่ถูกนัก มันเหมือนกับภาพวีดีโอสั้นๆ ที่บางครั้ง ผมมักจะเห็นในยามที่ผมหลับ รึไม่ก็ตอนที่ผมหลับตานานๆและคิดถึงมัน
สิ่งที่ผมเห็นคืออุโมงค์มืดทึบ ทอดยาวออกไป ตอนแรก ไม่มีแม้กระทั้งแสงที่ปลายอุโมงค์ ผมบอกได้แค่ว่า ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในอุโมงค์ จากนั้นผมถึงเห็นเส้นสีขาว บางทีมันอาจจะเป็นหินอ่อน ? รึอาจจะไม่ใช่ ? เรื่องนั้นไม่สลักสำคัญหรอกครับ ประเด็นก็คือสุดท้ายแล้วเส้นสีขาวนั้นจะนำผมออกไปจากอุโมงค์ดำมืดนี้ได้ มันจะนำผมไปยังสถานที่ ที่ผมอยากจะไป
ยามเมื่อผมยังเด็ก ผมไม่เคยเห็นสาระสำคัญอะไรของความฝันนี้เลย มันไม่มีอะไรที่ผมจะเชื่อมโยงไปได้เลย ตอนนั้นผมไม่เคยอยากจะไปไหนทั้งนั้น
ผมมีความสุขกับชีวิต ผมมีครอบครัวของผม ผมมีฟุตบอลของผม แค่นี้ล่ะที่ผมต้องการ เมื่อตอนที่ผมอายุ 3ขวบ พ่อพาผมไปร้านของเล่นใหญ่ที่กลางเมือง ผมเดินเข้าไปแค่2 ก้าว แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปหยิบลูกฟุตบอล แล้วบอกพ่อว่ากลับกันเถอะครับ พ่อยังอยากให้ผมลองเดินดูของเล่นอย่างอื่นด้วย แต่ไม่ละครับ
.
และเพราะผมรู้ว่าผมต้องการอะไร ผมจะไม่ยอมให้อะไรมาขวางทางของผม นั่นล่ะคือผม เอ่อ..รึผมจะบอกนั่นล่ะคือตัวตนของพวกเรา ถ้าคุณเกิดที่คารารา คุณก็จะแข็งแกร่งราวกับหินอ่อน ---- ไปลองถาม จีจี้ บุฟฟ่อนดูสิ่ครับ
ครอบครัวของผมก็เป็นเช่นนั้น คุณแม่ของผมทำงานเป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลที่ไม่ห่างจากบ้านของเรานัก คุณแม่เข้มแข็งแต่ก็น่ารัก แม่จะมีสองด้าน ด้านนึงคือนางพยาบาลมืออาชีพผู้จริงจังอยู่เสมอ กับอีกด้านนึงคือคุณแม่ผู้แสนดี ประมาณนั้นล่ะครับ ระหว่างแม่กับพ่อ มันจะเป็นความสมดุล คุณพ่อมักจะเป็นคนที่คอยเคี่ยวเข็ญ ผมอยู่เสมอ ท่านอยากให้ผมทำทุกสิ่งให้ดีขึ้น และมากขึ้น จนบางครั้งเมื่อยามเด็ก ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่มันมากไปรึเปล่า ? พ่อโกรธอะไรผมรึเปล่านะ ? จนเมื่อผมเริ่มอายุมากขึ้นถึงได้เริ่มเข้าใจว่า ที่พ่อเคี่ยวเข็ญผมอยู่เสมอเพราะว่าพ่อเชื่อมั่นในตัวของผม พ่อรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเด็กตัวน้อยที่ไม่ยอมสนของเล่นอย่างอื่นเลยนอกจากลูกฟุตบอลจะต้องมีเส้นทางอย่างไรต่อไป พ่อผมเจ๋งจริงๆ
เมืองของเราเล็กมาก และไม่มีตัวเลือกในทีมเยาวชนมากนัก ครอบครัวเราจึงต้องตัดสินใจบางอย่าง ตอนผมอายุ 8 ขวบผมเล่นให้กับทีมปอนซาโน่ หนึ่งในทีมเยาวชนของเอ็มโปลี ที่อยู่ห่างออกไป 70ไมล์ แม่จะมารับผมที่โรงเรียนตอนประมาณบ่าย 3 .15 ทุกวันก่อนที่โรงเรียนจะเลิก 45 นาที แม่จะยื่นปิ่นโตที่มีพาสต้าอุ่นร้อนให้กับผม มันอร่อยมากเลยนะครับ จากนั้นแม่จะขับรถโอเปิ้ลเว็คตร้าสีเทาของเรา มุ่งหน้าลงใต้ไปตามถนนเลียบทะเลลิกูเรียน ประมาณ 40นาทีพวกเราก็จะถึงปิซ่า มุ่งหน้าทางตะวันออกไปยังเอ็มโปลีอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่แล้วผมจะไปถึงสายเล็กน้อย ผมต้องผูกเชือกรองเท้าในรถ แม่แทบจะไม่เคยหยุดพักเลย เมื่อถึงแล้วผมก็จะวิ่งตรงไปสนามซ้อมและเริ่มโปรแกรมการฝึกซ้อม อีก 2 ชั่วโมงถัดมา เราก็กลับบ้านตามทางที่เราขับมา ผมไม่เคยได้นอนจนกว่าจะ 4 ทุ่มครึ่งรึ 5ทุ่ม จากนั้น 8โมงเช้าวันถัดมา กิจวัตรของพวกเราก็เริ่มวนกลับมาอีกครั้ง
ผมกับแม่ทำแบบนั้นอยู่ 4วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลาหลายปี..
มันลำบากเลยนะครับ แต่มันก็คุ้มค่ามาก หลังจากผมออกจากอ็มโปลี ผมก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสรฟิออเรนติน่า สโมสรในเมืองฟอเรนซ์ ที่อยู่ห่างไปทางตะวันออกของเอ็มโปลี ตามทางหลวงที่แม่กับผมเคยขับรถผ่าน คุณแม่อยู่กับผมในทุกๆย่างก้าวที่ผมเดินทาง
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ตอนผมอายุ 16 ปี ผมใกล้ที่จะเบียดเข้าทีมชุดใหญ่ของฟิออเรนติน่าได้อยู่แล้ว ตอนนั้นผมเล่นฟุตบอลได้ดีที่สุดในชีวิตของผมช่วงนั้นเลย แต่แล้วหลังจากการตรวจเช็คร่างกายตามปกติ ทีมแพทย์ก็ได้พบอะไรอะไรบางอย่าง หลายวันต่อมาคุณหมอได้เรียกผมกับแม่เข้าไปพบ มันมีการตรวจบางอย่าง แล้วก็เอ็กเรย์ จากนั้นไม่นานนักคุณหมอได้เข้ามาบอกพวกเราว่า
“เฟเดริโก ดูเหมือนเราจะพบปัญหาบางอย่างนะ”
ผมคิดในใจ ผมอายุ16 ร่างกายผมสมบรูณ์ที่สุดในชีวิต มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ
“เธอมีอาการหัวใจโต ทางเรายังไม่แน่ใจว่าอาการหนักมากแค่ไหน แต่มันก็ความเป็นไปได้ว่าเธออาจจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพไม่ได้อีกแล้ว”
มีความเป็นไปได้งั้นเหรอ? เห้ย ไม่จริงน่า มันไม่น่าเป็นไปได้
ผมทำใจให้เชื่อไม่ได้ ผมไม่อยากได้ยินเลย แม่ต้องมาทำให้ผมสงบ
คุณหมอบอกว่า “ในอีกหลายสัปดาห์จากนี้ พวกเราจะตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ในระหว่างนี้เธอคงเล่นฟุตบอลไม่ได้สักประมาณ 6เดือน”
ผมรู้ว่าผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของผม ผมไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้เบียดขึ้นทีมชุดใหญ่เลย แม่ของผมท่านก็ทราบ มันเป็นวันที่เลวร้ายของเรามากเลยครับ
ผมอายุแค่ 16 ปี ไม่มีอะไรจะทำ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในเมืองฟอเรนซ์ พ่อแม่ของผมพวกท่านยังคงทำงานอยู่ที่คารารา พวกท่านจะมาเยี่ยมผมทุกครั้งที่โอกาสอำนวย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องพยายามทำอะไรก็ได้ที่ให้รู้สึกยุ่งเข้าไว้ มันเป็น 6เดือนที่ยาวนานมากที่สุดในชีวิตของผม
เวลาผ่านไป ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจเช็คนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดด้วยการเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการและตัวยา ผมก็ก้าวผ่านปัญหามาได้
ด้วยเหตุบางอย่าง หลังจากที่ผมรู้ว่าผมผ่านอาการป่วยมาได้แล้ว ผมได้คิดถึงจินตภาพนั้นอีกครั้ง ใช่ครับ อุโมงค์ดำมืด จากนั้นก็แสง เส้นสีขาวที่ปลายทาง หินอ่อน? รึอะไรก็ช่าง มันคือผม เส้นทางของผม การเดินทางของผม อุโมงค์คือสิ่งที่เรายังไม่รู้ อุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม การต่อสู้ที่ต้องฟันฝ่า ผมเห็นจินตภาพนี้มาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ผมใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายความถึงอะไร
เมื่อคุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรคอะไรมาได้ มันเป็นไม่ได้เลยที่ทัศนคติบางอย่างของคุณจะไม่เปลี่ยนไป ตอนนี้ผมตระหนักรู้มากขึ้นว่าเส้นทางอาชีพของผมมันเปราะบางแค่ไหน แล้วโชคดีแค่ไหนที่ผมมาอยู่ตรงจุดนี้ได้
ฉนั้นทุกครั้งที่ผมมีเหตุการ์ณสำคัญในชีวิตนักฟุตบอล เช่น ลงเล่นซีรีส์ อา ครั้งแรกในปี 2014 โดนเรียกติดทีมชาติอิตาลีครั้งแรกในปี 2016 ผมจะมีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้นมากกว่าเมื่อตอนที่ผมยังเยาว์วัย ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นได้เพราะครอบครัวของผม และการช่วยเหลือจากคนรอบข้างของผม
ในช่วงเวลาแห่งความทรงจำของผมที่อยู่กับฟิออเรนติน่า มี 2 อย่างที่เด่นชัดมาก หนึ่งคือ ผู้จัดการทีมของเราตอนนั้น เปาโล ซูซ่า ให้คำแนะนำกับผมว่า ผมมีพรสวรรค์ที่ดีเยี่ยม และคุณลักษณะของผมก็ส่งเสริมความสามารถของผม เขายังบอกว่า ถ้าอยากจะเป็นผู้ชนะ คุณต้องทุ่มเทตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ ไม่ว่าจะในรึนอกสนาม คุณต้องทำเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ นั่นคือสิ่งที่นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ทุกคนทำ
ผมจะไม่มีวันลืมคำสอนนั้น
และอย่างที่สอง ก็คือมิตรภาพของผมกับกัปตันของเรา ดาวิเด้ อัสโตรี่
เขาเป็นคนประเภทที่ว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ทุกวันในการซ้อม เขาจะเป็นคนนำ เมื่อผมเริ่มโตขึ้น เขามักจะดึงผมมาก่อนการซ้อมเพื่อที่จะผ่านบอลด้วยกันเป็นการวอร์มอัพ เขามักจะให้คำแนะนำเรื่องโน้น เรื่องนี้กับผม
ตอนพวกเราต้องเดินทางยามเป็นทีมเยือน เรามักจะอยู่ด้วยกัน ดูเกมการแข่งขันคู่อืนรึไม่ก็ภาพยนตร์เก่าๆ ดาวิเด้เป็นคนใจเย็น น่ารัก และใจดีมาก หลังจากที่ผมติด 11 คนแรกของทีมอย่างสม่ำเสมอ ตอนที่ผมรู้สึกเสียความเชื่อมั่นรึฟอร์มตก ผมก็มักจะขอคำแนะนำจากเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำประตูได้ ช่างภาพประจำทีมก็จะส่งรูปภาพการฉลองประตูของผมมาเพื่อให้ผมโพสลงโซเชี่ยล รู้ไม๊ครับ? ในทุกๆรูปคุณจะเห็นได้ว่าคนแรกที่ตรงเข้ามากอดผมคือดาวิเด้
สหายของผม กัปตันของพวกเรา
อย่างที่พวกคุณคงทราบกันแล้ว เขาได้จากเราไปในเดือนมีนาคม 2018
ตอนนั้นเขาอายุ 30ปี แค่ 30
เขาเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่ในสายตาของใครอีกหลายคน เขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม
ดาวิเด้เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ตัวผมพยายามจะไม่คิดย้อนไปถึงอาการของหัวใจผมบ่อยนัก แต่ความตายของดาวิเด้ เป็นเครื่องเตือนใจว่า เวลานั้นแสนสั้น พวกเราผู้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่โชคดีมากแล้ว
ผมคิดถึงดาวิเด้หลายครั้ง ระหว่างที่ผมย้ายมายังยูเวนตุส ในช่วงหน้าร้อนปี 2017 ผมกลับไปดูวีดีโอประตูที่ผมเคยทำได้ ผมจะเห็นเดวิเด้ วิ่งมาจากวงกลมกลางสนามชูกำปั้นสะใจขึ้นบนอากาศ ก่อนที่ผมจะย้าย ผมได้คุยกับเขา เขาเข้าใจนะครับ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำใจ
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการจากไปของดาวิเด้ ผมได้สักเบอร์เสื้อของเขาไว้เคียงข้างกับบทสวดขอสักการะแด่พระแม่มารีย์ ที่อยู่บนแขนขวาของผม
คราวนี้ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน เขาจะอยู่เคียงข้างและคอยคุ้มครองผมเสมอ
ผมเป็นผู้ศรัทธา เป็นเช่นนั้นเสมอมา มีเรื่องนึงที่ผมเชื่ออยู่เสมอว่าชีวิตที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า ที่ที่ดีกว่าและศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งพวกเราได้ถูกลิขิตไว้ และไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ผมไปถึงที่นั่น คนแรกที่ผมอยากจะพบคือดาวิเด้
สหายของผม กัปตันของพวกเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้เล่าให้พวกคุณฟังนี้ พวกเขาล้วนเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ และจะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเป็น
ผมภูมิใจมากเลยนะครับที่ได้อยู่ที่ยูเวนตุส สโมสรแห่งนี้และเมืองตูริน ไม่เหมือนกับที่อื่นที่ผมเคยอยู่มาก่อน มันจริงซะด้วยที่ว่า ผู้เล่นใหม่ของยูเวนตุสจะต้องถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ชนะ ตั้งแต่โค้ชไปจนถึงนักกายภาพรึแม้กระทั้งพนักงานครัว ....พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการชัยชนะ แค่นั้นเลยครับ และตอนนี้ผมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
เมื่อผมเห็นชุดแข่งของเบียงโคเนียรี่ ผมจะคิดถึงอุโมงค์ดำมืดแห่งนั้น ผมจะคิดถึงหินอ่อน สีดำ...สีขาว....ทั้งหมดอยู่ตรงนี้ล่ะ มันพาผมมาไกลได้ขนาดนี้แล้ว
และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมพร้อมแล้ว
https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/federico-bernardeschi-juventus