ก่อนอื่นต้องขอยอมร้บเลยว่า ครั้งแรกที่เห็น โปสเตอร์ และตัวอย่างหนังคร่าวๆ ผมคิดว่า Green Book เป็นหนังน่าเบื่อ และ คงจะดูแล้วเครียดหนัก เนื่องด้วยไม่ได้ตามข่าวจากทาง ต่างประเทศเลยว่าหนังมีเรื่องราวอย่างไร นอกจากความหมายของคำว่า Green Book ที่เป็นคู่มือการเดินทางสำหรับคนผิวสีในอเมริกา
หากคุณเคยดูหนังเกี่ยวกับคนสองคน ไม่รู้จักกันดีมาก่อน แต่ต้องมาร่วมเดินทางด้วยกันแน่นอนว่า ความคิดต่าง ทำต่างย่อมเป็นประเด็นหลักเสมอ ไม่ว่าจะ Plan Train and Automobil หรือ เรื่องอื่นๆ
หนังเริ่มเรื่องย้อนยุคสมัยกลับไปกลางๆ ศตวรรษที่ผ่านมา ประมาณยุค 60 พระเอกของเรา วิกโก้ ที่แสดงเป็น โทนี่ ลิป คนอิตาเลียน ได้ก่อปัญหากับตัวเอง ด้วยการใช้กำลังตามถนัดตามประสาของชนชั้นล่างในนิวยอร์ค และเมื่อตกงานหนังยังมีเวลาปูเรื่องเพิ่มเติมให้นิดหน่อยกับ โทนี่ ว่ามีครอบครัวอย่างไร คลุกคลีกับคนแบบไหน และมีวิถีชีวิตอย่างไร อย่างสั้นๆแต่ก็เพียงพอ จวบจนกระทั่งได้ไปสัมภาษณ์งานคนขับรถ กับ ด๊อคเตอร์ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป
หนังสร้างให้เห็นและเน้นเรื่อง ความแตกต่าง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณจะต้องแตกต่าง ตั้งแต่เกิดมาแตกต่าง รูปร่างหน้าตา ฐานะ สิ่งแวดล้อม ภูมิลำเนา อาหารการกิน สิ่งบันเทิงที่ชอบ ล้วนแตกต่าง ยันไปจนการศึกษา หน้าที่การงาน ทุกอย่างต่างกันหมด โดยเฉพาะฉากการเข้าไปสัมภาษณ์งานของ โทนี่ กับ ด็อคเตอร์ หนังเลือกจะโชว์ความแตกต่างกันแบบ ชัดเจน จนเห็นภาพเลยก็ว่าได้
การสัมภาษณ์ มีบทสนทนาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราเห็นได้ว่า คนสองคนนี่ ไม่น่าจะไปไหนมาไหนด้วยกันได้ซะแล้ว โดยด็อคเตอร์ได้แสดงให้เห็นว่า เป็นคนมีความคิด มีการศึกษา ต่างจาก โทนี่ ที่เป็นชนชั้นล่าง หาเช้ากินค่ำ และ การเดินทางของสองคน ก็จะพาคนดูไปสู่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ทำไม โลกนี้ถึงได้มีความหลากหลาย เมื่อ ด็อคเตอร์ ตกลงจ้าง โทนี่ ให้ช่วยพาเขาขับรถไปออกเดินทางลงสู่ภาคใต้ของอเมริกา
ตลอดการเดินทาง สิ่งนึงที่พระเอกของเราคือ เขียนจดหมายถึงภรรยา ซึ่งโทนี่ เห็นวิวทิวทัศน์และเขียนจดหมายบรรยายบอกภรรยา และผมชอบก็คือ เขาบอกภรรยาว่า ธรรมชาตินั้นสวยงามกว้างใหญ่ ครับ คนที่เริ่มออกเดินทางเท่านั้น จึงจะเห็น ส่วนเรื่องจดหมายที่เขียนถึงภรรยามีอะไรให้ดูกันสนุกๆ อีกหลายมุข อยากให้ไปดูที่โรงหนังกันครับ
Green Book เป็นหนังดราม่าเข้มข้นที่ดูสนุกและไม่น่าเบื่อเลยสำหรับผม เหมือนกับ The Schindlers list และ Three billbord out side เมื่อปีที่แล้ว
บทสนทนา เราจะได้เห็นบทสนทนาของคนที่มาจากคนละผิวสี ครับ เริ่มจาก ความแตกต่างภายนอก คนเราตัดสินกันที่ตรงนั้นก่อนครับ ไม่ว่าจะยุคก่อน หรือนาทีนี้ ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ คนเราเป็นแบบนั้น แต่จะรู้จักกันจริงต้องสนทนา และ โทนี่ กับ ด็อคเตอร์ ก็มีให้เราดูกันทั้งเรื่อง หนังเริ่มต้นจากการปูพื้นเพ ของ โทนี่ ให้คนดูก่อน ฝั่งเดียว แต่ส่วนของ ด็อคเตอร์นั้น หนังจะค่อยๆ คลี่ประวัติ และรายละเอียดตามการเดินทางที่ผ่านไปแต่ละเมือง ว่า ด็อคเตอร์ นั้น มีข้อดี ข้อเสีย นิสัยและตัวตนเป็นอย่างไร
ดังนั้น บทสนทนาบนรถในช่วงแรก ไม่แปลกอะไรกับ คนนึงที่ ห่ามๆ ตรงๆ การศึกษาน้อย พูดมาก จะดูด้อยกว่า อีกคนที่มีบุคลิก สงบ พูดจามีเหตุผล ดูเป็นคนสมบูรณ์แบบ หรือ สูงส่ง กว่าโทนี่ มากมายนักในช่วงแรกของการเดินทาง
สองคน สองขั้ว แต่หนังก็ค่อยๆแสดง จุดแข็ง ของคนที่ด้อยกว่า และ จุดอ่อนของคนที่ตอนแรกดูสูงส่งกว่า ให้ได้สลับบทบาทมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากไร้ โทนี่ แล้ว ด็อคเตอร์ คงจะไม่เดินทางปลอดภัยในทริปนี้แน่นอน ไม่ว่าจะเหตุการณ์จากอันธพาล การเหยียดผิวจาก คนขาว ในอเมริกา โทนี่ รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม ( เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องมีพลาดในบางโอกาส ตรงนี้ต้องไปดูครับ รับรองฮา กันเบาๆ ) รวมถึงแนวคิดบางเรื่องที่ ชนชั้นล่างจะมีบางสิ่งที่ดีกว่าคนรวยอย่างเช่นความเรียบง่ายในการดำรงค์ชีพ รวมถึงการกินไก่อร่อยๆ และที่สำคัญความแตกต่างของคนมีครอบครัว กับ คนตัวคนเดียว
สิ่งนึงที่ หนังถ่ายทอดออกมาอย่างถูกใจผมก็คือ แม้ โทนี่ จะเป็นชนชั้นช่าง แต่เข้าใจชีวิต แม้เขาจะชอบใช้กำลัง แต่หนังก็ถ่ายทอดออกมาชัดเจนว่า ถ้าเสี่ยงมาก เขาจะไม่เสี่ยง แม้จะอารมณ์ร้อน แต่ก็รอบจัดและเอาตัวรอด และ จะทำสิ่งที่จำเป็น เมื่อยามจำเป็นเท่านั้น ในส่วนนี้ อยากให้ไปดูกันเองว่า เขามีอาวุธสังหารติดตัวตลอดเรื่อง แต่ เขาใช้มันแค่ครั้งเดียว และ ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะเท่านั้น และเขาเอ่ยถึงมันยามหน้าสิ่วหน้าขวานเพื่อขู่ก่อนยามเกิดเรื่อง โดยไม่เคยมีใครรู้แน่ รวมถึงคนดู ก็ต้องเดาว่า จริงๆเขามีอาวุธไหม และ ระหว่างการรับงานขับรถกับ ด็อคเตอร์ อีกอย่างนึงที่ โทนี่ เลือกจะปฏิเสธ ก็คือ รับงานของพวก แก๊ง ที่เสนอเงินมากกว่า การขับรถ ซึ่งประเด็นนี้หนังชี้ให้เห็นชัดว่า แม้จะเป็นชนชั้นล่าง ก็เลือกทางเดินได้ เหมือนกับที่ ด็อกเตอร์เคยเอ่ยกับ โทนี่ เกี่ยวกับการเล่นพนัน ดูไว้ครับ คนเราอยู่ต่ำ ก็ไม่ต้องทำตัวต่ำไปกว่าเดิม เราเลือกทางเดินที่ดีได้
เกี่ยวกับ ด็อคเตอร์ เล่ามาถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกว่า ไม่ใช้ หมอ น่ะครับ เป็นดีกรีทางด้านดนตรี ว่ากันไปตามประสาฝรั่งใครเก่งทางไหนก็เป็นด็อคเตอร์ ซึ่งในรายละเอียดการได้รับการศึกษาตรงนี้ไปดูในโรงหนังจะดีกว่า
Green Book เป็นหนังดีๆเกี่ยวกับการเดินทางของคนที่มีความแตกต่างอีกเรื่องนึง ที่ผมดูจบแล้วสิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือ คนเรายังไงก็ต้องมีการแบ่งแยก ในเบื้องต้น คือมีเขา มีเรา แต่มันก็จะมีข้อยกเว้น ของการแบ่งแยก ให้คนที่เป็นคนละฝั่ง คนละประเภท ไม่ว่าจะแยกด้วยสาเหตุใด เชื้อชาติ ผิวสี การศึกษา สังคม หรือความชอบ แต่ ถ้าในส่วนลึกมีความเอื้ออารี และมีน้ำใจต่อกัน ซื่อตรงต่อกัน ไม่มุ่งหวังจะเอาเปรียบต่อกัน ผมว่า ในความแตกต่าง หรือ การแบ่งแยกเขาเรานั้น มันก็ยังมีพื้นที่เหลือพอ ให้กับคนที่แตกต่างกันได้เชื่อมไมตรีในสังคมบนโลกที่เต็มไปด้วยความแบ่งแยกใบนี้
ดูหนังจบแล้ว
[CR] Green Book อย่างนี้สิดราม่า
ก่อนอื่นต้องขอยอมร้บเลยว่า ครั้งแรกที่เห็น โปสเตอร์ และตัวอย่างหนังคร่าวๆ ผมคิดว่า Green Book เป็นหนังน่าเบื่อ และ คงจะดูแล้วเครียดหนัก เนื่องด้วยไม่ได้ตามข่าวจากทาง ต่างประเทศเลยว่าหนังมีเรื่องราวอย่างไร นอกจากความหมายของคำว่า Green Book ที่เป็นคู่มือการเดินทางสำหรับคนผิวสีในอเมริกา
หากคุณเคยดูหนังเกี่ยวกับคนสองคน ไม่รู้จักกันดีมาก่อน แต่ต้องมาร่วมเดินทางด้วยกันแน่นอนว่า ความคิดต่าง ทำต่างย่อมเป็นประเด็นหลักเสมอ ไม่ว่าจะ Plan Train and Automobil หรือ เรื่องอื่นๆ
หนังเริ่มเรื่องย้อนยุคสมัยกลับไปกลางๆ ศตวรรษที่ผ่านมา ประมาณยุค 60 พระเอกของเรา วิกโก้ ที่แสดงเป็น โทนี่ ลิป คนอิตาเลียน ได้ก่อปัญหากับตัวเอง ด้วยการใช้กำลังตามถนัดตามประสาของชนชั้นล่างในนิวยอร์ค และเมื่อตกงานหนังยังมีเวลาปูเรื่องเพิ่มเติมให้นิดหน่อยกับ โทนี่ ว่ามีครอบครัวอย่างไร คลุกคลีกับคนแบบไหน และมีวิถีชีวิตอย่างไร อย่างสั้นๆแต่ก็เพียงพอ จวบจนกระทั่งได้ไปสัมภาษณ์งานคนขับรถ กับ ด๊อคเตอร์ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป
หนังสร้างให้เห็นและเน้นเรื่อง ความแตกต่าง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณจะต้องแตกต่าง ตั้งแต่เกิดมาแตกต่าง รูปร่างหน้าตา ฐานะ สิ่งแวดล้อม ภูมิลำเนา อาหารการกิน สิ่งบันเทิงที่ชอบ ล้วนแตกต่าง ยันไปจนการศึกษา หน้าที่การงาน ทุกอย่างต่างกันหมด โดยเฉพาะฉากการเข้าไปสัมภาษณ์งานของ โทนี่ กับ ด็อคเตอร์ หนังเลือกจะโชว์ความแตกต่างกันแบบ ชัดเจน จนเห็นภาพเลยก็ว่าได้
การสัมภาษณ์ มีบทสนทนาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราเห็นได้ว่า คนสองคนนี่ ไม่น่าจะไปไหนมาไหนด้วยกันได้ซะแล้ว โดยด็อคเตอร์ได้แสดงให้เห็นว่า เป็นคนมีความคิด มีการศึกษา ต่างจาก โทนี่ ที่เป็นชนชั้นล่าง หาเช้ากินค่ำ และ การเดินทางของสองคน ก็จะพาคนดูไปสู่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ทำไม โลกนี้ถึงได้มีความหลากหลาย เมื่อ ด็อคเตอร์ ตกลงจ้าง โทนี่ ให้ช่วยพาเขาขับรถไปออกเดินทางลงสู่ภาคใต้ของอเมริกา
ตลอดการเดินทาง สิ่งนึงที่พระเอกของเราคือ เขียนจดหมายถึงภรรยา ซึ่งโทนี่ เห็นวิวทิวทัศน์และเขียนจดหมายบรรยายบอกภรรยา และผมชอบก็คือ เขาบอกภรรยาว่า ธรรมชาตินั้นสวยงามกว้างใหญ่ ครับ คนที่เริ่มออกเดินทางเท่านั้น จึงจะเห็น ส่วนเรื่องจดหมายที่เขียนถึงภรรยามีอะไรให้ดูกันสนุกๆ อีกหลายมุข อยากให้ไปดูที่โรงหนังกันครับ
Green Book เป็นหนังดราม่าเข้มข้นที่ดูสนุกและไม่น่าเบื่อเลยสำหรับผม เหมือนกับ The Schindlers list และ Three billbord out side เมื่อปีที่แล้ว
บทสนทนา เราจะได้เห็นบทสนทนาของคนที่มาจากคนละผิวสี ครับ เริ่มจาก ความแตกต่างภายนอก คนเราตัดสินกันที่ตรงนั้นก่อนครับ ไม่ว่าจะยุคก่อน หรือนาทีนี้ ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ คนเราเป็นแบบนั้น แต่จะรู้จักกันจริงต้องสนทนา และ โทนี่ กับ ด็อคเตอร์ ก็มีให้เราดูกันทั้งเรื่อง หนังเริ่มต้นจากการปูพื้นเพ ของ โทนี่ ให้คนดูก่อน ฝั่งเดียว แต่ส่วนของ ด็อคเตอร์นั้น หนังจะค่อยๆ คลี่ประวัติ และรายละเอียดตามการเดินทางที่ผ่านไปแต่ละเมือง ว่า ด็อคเตอร์ นั้น มีข้อดี ข้อเสีย นิสัยและตัวตนเป็นอย่างไร
ดังนั้น บทสนทนาบนรถในช่วงแรก ไม่แปลกอะไรกับ คนนึงที่ ห่ามๆ ตรงๆ การศึกษาน้อย พูดมาก จะดูด้อยกว่า อีกคนที่มีบุคลิก สงบ พูดจามีเหตุผล ดูเป็นคนสมบูรณ์แบบ หรือ สูงส่ง กว่าโทนี่ มากมายนักในช่วงแรกของการเดินทาง
สองคน สองขั้ว แต่หนังก็ค่อยๆแสดง จุดแข็ง ของคนที่ด้อยกว่า และ จุดอ่อนของคนที่ตอนแรกดูสูงส่งกว่า ให้ได้สลับบทบาทมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากไร้ โทนี่ แล้ว ด็อคเตอร์ คงจะไม่เดินทางปลอดภัยในทริปนี้แน่นอน ไม่ว่าจะเหตุการณ์จากอันธพาล การเหยียดผิวจาก คนขาว ในอเมริกา โทนี่ รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม ( เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องมีพลาดในบางโอกาส ตรงนี้ต้องไปดูครับ รับรองฮา กันเบาๆ ) รวมถึงแนวคิดบางเรื่องที่ ชนชั้นล่างจะมีบางสิ่งที่ดีกว่าคนรวยอย่างเช่นความเรียบง่ายในการดำรงค์ชีพ รวมถึงการกินไก่อร่อยๆ และที่สำคัญความแตกต่างของคนมีครอบครัว กับ คนตัวคนเดียว
สิ่งนึงที่ หนังถ่ายทอดออกมาอย่างถูกใจผมก็คือ แม้ โทนี่ จะเป็นชนชั้นช่าง แต่เข้าใจชีวิต แม้เขาจะชอบใช้กำลัง แต่หนังก็ถ่ายทอดออกมาชัดเจนว่า ถ้าเสี่ยงมาก เขาจะไม่เสี่ยง แม้จะอารมณ์ร้อน แต่ก็รอบจัดและเอาตัวรอด และ จะทำสิ่งที่จำเป็น เมื่อยามจำเป็นเท่านั้น ในส่วนนี้ อยากให้ไปดูกันเองว่า เขามีอาวุธสังหารติดตัวตลอดเรื่อง แต่ เขาใช้มันแค่ครั้งเดียว และ ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะเท่านั้น และเขาเอ่ยถึงมันยามหน้าสิ่วหน้าขวานเพื่อขู่ก่อนยามเกิดเรื่อง โดยไม่เคยมีใครรู้แน่ รวมถึงคนดู ก็ต้องเดาว่า จริงๆเขามีอาวุธไหม และ ระหว่างการรับงานขับรถกับ ด็อคเตอร์ อีกอย่างนึงที่ โทนี่ เลือกจะปฏิเสธ ก็คือ รับงานของพวก แก๊ง ที่เสนอเงินมากกว่า การขับรถ ซึ่งประเด็นนี้หนังชี้ให้เห็นชัดว่า แม้จะเป็นชนชั้นล่าง ก็เลือกทางเดินได้ เหมือนกับที่ ด็อกเตอร์เคยเอ่ยกับ โทนี่ เกี่ยวกับการเล่นพนัน ดูไว้ครับ คนเราอยู่ต่ำ ก็ไม่ต้องทำตัวต่ำไปกว่าเดิม เราเลือกทางเดินที่ดีได้
เกี่ยวกับ ด็อคเตอร์ เล่ามาถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกว่า ไม่ใช้ หมอ น่ะครับ เป็นดีกรีทางด้านดนตรี ว่ากันไปตามประสาฝรั่งใครเก่งทางไหนก็เป็นด็อคเตอร์ ซึ่งในรายละเอียดการได้รับการศึกษาตรงนี้ไปดูในโรงหนังจะดีกว่า
Green Book เป็นหนังดีๆเกี่ยวกับการเดินทางของคนที่มีความแตกต่างอีกเรื่องนึง ที่ผมดูจบแล้วสิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือ คนเรายังไงก็ต้องมีการแบ่งแยก ในเบื้องต้น คือมีเขา มีเรา แต่มันก็จะมีข้อยกเว้น ของการแบ่งแยก ให้คนที่เป็นคนละฝั่ง คนละประเภท ไม่ว่าจะแยกด้วยสาเหตุใด เชื้อชาติ ผิวสี การศึกษา สังคม หรือความชอบ แต่ ถ้าในส่วนลึกมีความเอื้ออารี และมีน้ำใจต่อกัน ซื่อตรงต่อกัน ไม่มุ่งหวังจะเอาเปรียบต่อกัน ผมว่า ในความแตกต่าง หรือ การแบ่งแยกเขาเรานั้น มันก็ยังมีพื้นที่เหลือพอ ให้กับคนที่แตกต่างกันได้เชื่อมไมตรีในสังคมบนโลกที่เต็มไปด้วยความแบ่งแยกใบนี้
ดูหนังจบแล้ว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้