ถ้าเอาแค่แสงสว่าง ไม่ต่างเลย
จุดเริ่มต้นของความบ้าเทียน เริ่มต้นมาจากการอ่านหนังสือเจอว่า แสงสว่างจากเทียนทำให้เรามีสมาธิมากกว่าแสงสว่างจากหลอดไฟ นอกจากนี้นักเขียน และศิลปินชื่อดังหลายท่าน ก็มักจะแชร์ว่าชอบเขียนหนังสือใต้แสงเทียน เราคือผู้หนึ่งที่สมาธิสั้น ติดมือถือ และต้องการผ่อนคลาย เลยลองดูสักหน่อย ปิดไฟมืดหมด แล้วนั่งเงียบๆบนโซฟา อยู่กับแสงเทียนสักครึ่งชั่วโมง ครั้งแรกที่ทำเลยพบว่า การที่เราได้นั่งอยู่ในที่มืด และอาศัยแสงจากเปลวเทียนนั้น ช่วยสร้างสมาธิได้มากกว่าจริงๆ มันเป็นความรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูก แต่จะให้เขียนหนังสือหรือทำงานใต้แสงเทียน สำหรับเราคงไม่สะดวก เพราะการทำงานเกือบทั้งหมดคือหน้าคอม หรือครั้นจะจุดอ่านหนังสือ จุดเท่าไหร่ก็เหมือนจะสว่างไม่พอ กลัวสายตาจะเสียกันเปล่าๆ เราจึงเพียงแค่รื่นรมย์กับเปลวเทียน และเริ่มสนใจกลิ่นหอมจากมัน
วิธีการเลือกเทียน
การจุดเทียนสามารถก่อมลภาวะได้ อีกทั้งการสูดดมกลิ่นใดๆอย่างต่อเนื่องก็ไม่ได้ดีต่อร่างกาย ดังนั้นหากรักจะจุดเทียน ควรหลีกเลี่ยงการจุดในห้องแอร์ ควรจุดในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี และเป็นที่ๆเรามองเห็นตลอด เพื่อความปลอดภัย อยากจะ luxury ก็ต้องดู safety กันด้วยน๊า การเลือกเทียนนั้นถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพก็แนะนำให้ดูสามอย่างง่ายๆ
เนื้อเทียน: เลือก bee wax หรือ soy wax 100% เอาแบบไม่ผสมสี และหลีกเลี่ยงพาราฟิน
ไส้เทียน: เลือกที่ทำจากคอตตอน 100% เพราะมีผลโดยตรงต่อการเผาไหม้
น้ำหอม: เลือกที่ใช้กลิ่นหอมจาก essential oils 100%
ยี่ห้อไหน luxury มีความ Instagram-able
น่าแปลกที่เทียนหอมยี่ห้อของไทย ไม่มีเจ้าไหนทำได้ดีเรื่องกลิ่นเลยสำหรับเรา ทั้งที่เมืองไทยมีดอกไม้หอมมากมายที่น่าจะนำมาปรุงให้เป็นกลิ่นที่ซับซ้อน หรือสดชื่นได้หลายๆคาแรกเตอร์ สำหรับวันนี้เลยขอแนะนำเป็นเทียนที่เราเห็นกันบ่อยๆ ใน Instagram ของบิวตี้บลอคเกอร์หลายๆคนเพื่อการันตีความลักชูรี่ เรามั่นใจว่าใครตาม blogger สายฝอ ถ้าเอาชื่อพวกนี้ไป search แล้วจะต้องอ๋อ ส่วนกลิ่นขอแนะนำกลิ่นที่เราชอบ หรือกลิ่นที่เป็นตัวดังของแบรนด์นะคะ ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลิ่น Top note, base note อะไรแยกยาก ขนาดไปเรียนมาแล้วก็ยังไม่ค่อยได้เรื่อง เอาตามความรู้สึกเท่าที่เป็นไปก่อนเนาะ
Overose > Nudesse คือกลิ่นตัวดังของเค้า จะออกกุหลาบอ่อนๆ
Diptyque > Biaes คือกลิ่นที่เราต้องลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือ standing ovation ให้กับคนปรุง มันคือความพอดีของทุกอย่างบนโลก berry และ musky และ floral และไม่เลี่ยน และความหอมผู้ดี สี่คูณร้อย
Cire Trudon > แบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศส อ่านเจอว่าเป็นยี่ห้อที่ใช้จุดในพระราชวังแวร์ซาย กลิ่นโดยรวมจะมีความ musky ออกธูปๆ ควันๆ ขลังๆ ยี่ห้อนี้เรากลับชอบรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นคลาสสิกแต่เป็นรุ่นที่ทำกับดีไซน์เนอร์ Giambattista Valli rose poivrée scented candle แต่ที่ชอบกลิ่นนี้เพราะเราชอบกุหลาบ และคิดว่ากลิ่นกุหลาบที่มีความแพงคือยาก และพี่คนนี้ทำสำเร็จค่ะ
Bryedo > เค้าว่ากันว่าเทียน Bryedo พิเศษตรงทีว่ามันจะ burn เท่ากัน หน้าเรียบตรงเป๊ะ ไม่มีการเอียง การ tunnel (คือจุดแล้ว burn แบบเป็นโพรงลงไปตรงกลาง เหลือขอบข้างไว้ไม่ได้รับการละลาย) กลิ่นที่เป็นตัวดังคือ Bibliotheque ซึ่งมีกลิ่นที่ชวนให้นึกถึงห้องสมุด กลิ่นออกดอกไม้ พีช วานิลลา
Jo Malone > โดยรวมเป็นกลิ่นสะอาดๆ สดชื่น เบาๆ ออกแนวพืชพรรณ จะไม่มีกลิ่นไหน musky โดดๆออกมา กลิ่นโปรดของเราคือ English Oak & Redcurrent คือกลิ่นเบามาก สะอาดมาก ดมแล้วรู้สึกเหมือนตื่นมาเช้าวันเสาร์ เบาๆ สดชื่น
Fornasetti > อันนี้คือมีตัว jar ที่เป็นเอกลักษณ์ ฝาโดม โถเป็นลายจัดจ้านตามสไตล์อิตาเลียน กลิ่นภาพรวมของแบรนด์จะออก กลิ่นไม้ๆ สมุนไพร ธูปๆ บอกตามตรงว่ายังไม่เคยซื้อมาจุด เพราะว่าราคาตกประมาณ 5000 บาท เลยขอละไว้ก่อนสักนิด อย่างไรก็ตาม ปีนี้จะมีไปงานแต่งงานที่อิตาลี คิดว่าจะต้องไปลองซื้อมาสักอัน
หวังว่าเนื้อหาจะถูกใจ กระทู้นี้เนื้อหาเยอะ รูปน้อย ฝึกเขียนกันไป ไม่มีเวลาถ่ายภาพ มีคอมเมนต์อะไรทิ้งไว้ได้น๊า
Luxury Candles เทียนราคาหลักพัน จุดแล้วต่างกันอย่างไร
ถ้าเอาแค่แสงสว่าง ไม่ต่างเลย
จุดเริ่มต้นของความบ้าเทียน เริ่มต้นมาจากการอ่านหนังสือเจอว่า แสงสว่างจากเทียนทำให้เรามีสมาธิมากกว่าแสงสว่างจากหลอดไฟ นอกจากนี้นักเขียน และศิลปินชื่อดังหลายท่าน ก็มักจะแชร์ว่าชอบเขียนหนังสือใต้แสงเทียน เราคือผู้หนึ่งที่สมาธิสั้น ติดมือถือ และต้องการผ่อนคลาย เลยลองดูสักหน่อย ปิดไฟมืดหมด แล้วนั่งเงียบๆบนโซฟา อยู่กับแสงเทียนสักครึ่งชั่วโมง ครั้งแรกที่ทำเลยพบว่า การที่เราได้นั่งอยู่ในที่มืด และอาศัยแสงจากเปลวเทียนนั้น ช่วยสร้างสมาธิได้มากกว่าจริงๆ มันเป็นความรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูก แต่จะให้เขียนหนังสือหรือทำงานใต้แสงเทียน สำหรับเราคงไม่สะดวก เพราะการทำงานเกือบทั้งหมดคือหน้าคอม หรือครั้นจะจุดอ่านหนังสือ จุดเท่าไหร่ก็เหมือนจะสว่างไม่พอ กลัวสายตาจะเสียกันเปล่าๆ เราจึงเพียงแค่รื่นรมย์กับเปลวเทียน และเริ่มสนใจกลิ่นหอมจากมัน
วิธีการเลือกเทียน
การจุดเทียนสามารถก่อมลภาวะได้ อีกทั้งการสูดดมกลิ่นใดๆอย่างต่อเนื่องก็ไม่ได้ดีต่อร่างกาย ดังนั้นหากรักจะจุดเทียน ควรหลีกเลี่ยงการจุดในห้องแอร์ ควรจุดในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี และเป็นที่ๆเรามองเห็นตลอด เพื่อความปลอดภัย อยากจะ luxury ก็ต้องดู safety กันด้วยน๊า การเลือกเทียนนั้นถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพก็แนะนำให้ดูสามอย่างง่ายๆ
เนื้อเทียน: เลือก bee wax หรือ soy wax 100% เอาแบบไม่ผสมสี และหลีกเลี่ยงพาราฟิน
ไส้เทียน: เลือกที่ทำจากคอตตอน 100% เพราะมีผลโดยตรงต่อการเผาไหม้
น้ำหอม: เลือกที่ใช้กลิ่นหอมจาก essential oils 100%
ยี่ห้อไหน luxury มีความ Instagram-able
น่าแปลกที่เทียนหอมยี่ห้อของไทย ไม่มีเจ้าไหนทำได้ดีเรื่องกลิ่นเลยสำหรับเรา ทั้งที่เมืองไทยมีดอกไม้หอมมากมายที่น่าจะนำมาปรุงให้เป็นกลิ่นที่ซับซ้อน หรือสดชื่นได้หลายๆคาแรกเตอร์ สำหรับวันนี้เลยขอแนะนำเป็นเทียนที่เราเห็นกันบ่อยๆ ใน Instagram ของบิวตี้บลอคเกอร์หลายๆคนเพื่อการันตีความลักชูรี่ เรามั่นใจว่าใครตาม blogger สายฝอ ถ้าเอาชื่อพวกนี้ไป search แล้วจะต้องอ๋อ ส่วนกลิ่นขอแนะนำกลิ่นที่เราชอบ หรือกลิ่นที่เป็นตัวดังของแบรนด์นะคะ ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลิ่น Top note, base note อะไรแยกยาก ขนาดไปเรียนมาแล้วก็ยังไม่ค่อยได้เรื่อง เอาตามความรู้สึกเท่าที่เป็นไปก่อนเนาะ
Overose > Nudesse คือกลิ่นตัวดังของเค้า จะออกกุหลาบอ่อนๆ
Diptyque > Biaes คือกลิ่นที่เราต้องลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือ standing ovation ให้กับคนปรุง มันคือความพอดีของทุกอย่างบนโลก berry และ musky และ floral และไม่เลี่ยน และความหอมผู้ดี สี่คูณร้อย
Cire Trudon > แบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศส อ่านเจอว่าเป็นยี่ห้อที่ใช้จุดในพระราชวังแวร์ซาย กลิ่นโดยรวมจะมีความ musky ออกธูปๆ ควันๆ ขลังๆ ยี่ห้อนี้เรากลับชอบรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นคลาสสิกแต่เป็นรุ่นที่ทำกับดีไซน์เนอร์ Giambattista Valli rose poivrée scented candle แต่ที่ชอบกลิ่นนี้เพราะเราชอบกุหลาบ และคิดว่ากลิ่นกุหลาบที่มีความแพงคือยาก และพี่คนนี้ทำสำเร็จค่ะ
Bryedo > เค้าว่ากันว่าเทียน Bryedo พิเศษตรงทีว่ามันจะ burn เท่ากัน หน้าเรียบตรงเป๊ะ ไม่มีการเอียง การ tunnel (คือจุดแล้ว burn แบบเป็นโพรงลงไปตรงกลาง เหลือขอบข้างไว้ไม่ได้รับการละลาย) กลิ่นที่เป็นตัวดังคือ Bibliotheque ซึ่งมีกลิ่นที่ชวนให้นึกถึงห้องสมุด กลิ่นออกดอกไม้ พีช วานิลลา
Jo Malone > โดยรวมเป็นกลิ่นสะอาดๆ สดชื่น เบาๆ ออกแนวพืชพรรณ จะไม่มีกลิ่นไหน musky โดดๆออกมา กลิ่นโปรดของเราคือ English Oak & Redcurrent คือกลิ่นเบามาก สะอาดมาก ดมแล้วรู้สึกเหมือนตื่นมาเช้าวันเสาร์ เบาๆ สดชื่น
Fornasetti > อันนี้คือมีตัว jar ที่เป็นเอกลักษณ์ ฝาโดม โถเป็นลายจัดจ้านตามสไตล์อิตาเลียน กลิ่นภาพรวมของแบรนด์จะออก กลิ่นไม้ๆ สมุนไพร ธูปๆ บอกตามตรงว่ายังไม่เคยซื้อมาจุด เพราะว่าราคาตกประมาณ 5000 บาท เลยขอละไว้ก่อนสักนิด อย่างไรก็ตาม ปีนี้จะมีไปงานแต่งงานที่อิตาลี คิดว่าจะต้องไปลองซื้อมาสักอัน
หวังว่าเนื้อหาจะถูกใจ กระทู้นี้เนื้อหาเยอะ รูปน้อย ฝึกเขียนกันไป ไม่มีเวลาถ่ายภาพ มีคอมเมนต์อะไรทิ้งไว้ได้น๊า