- Happy Death Day ภาคแรก เป็นเรื่องนึงที่ทำเอาเซอร์ไพรส์มากๆ เพราะดูจากตย.เหมือนหนัง Horror/Comedy ธรรมดาดาษๆ แต่หนังจริงมันดีกว่านั้นมาก มีครบทุกรส ตั้งแต่ระทึกขวัญ-ตลก-ดราม่า ไปจนถึงโรแมนติก ทำเอายกให้เป็นหนังที่ดีที่สุดของ Blumhouse เลย
- พอได้ข่าวว่าภาค 2 จะมาก็อยากดูมากๆ ยิ่งได้ข่าวว่าจะเป็นแนวไซไฟแบบ Back to The Future 2 ยิ่งอยากดู แต่ก็มาผิดหวังหนักมาก หลังตย.แรกออก เพราะมันแทบจะเหมือนภาคแรกเลย เปลี่ยนแค่ว่าคราวนี้ "ฆาตกรออกฆ่าหลายคน และ Tree ต้องเป็นคนช่วยคนอื่น".... แต่! หนังจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลยจ้า จริงๆแล้วพล็อตของมันสุดโต่งและไปไกลกว่านั้นมาก เขาตั้งใจโปรโมตโดยซ่อนพลอตที่แท้ที่จริงเอาไว้ไม่ให้เห็นเลย ใครที่ดูตย.แล้วคิดว่าไม่น่าดู บอกเลยว่าอย่าเพิ่งปักใจ
- ภาคนี้เปลี่ยนโทนจาก Slasher/Comedy มาเป็น Sci-fi/Thriller/Comedy ซึ่งไอ้จุดนี้นี่ล่ะ ที่อาจจะทำให้คนผิดหวัง ฝั่งเมืองนอกถึงกับบอกว่า HDD ไม่ใช่ "หนังสยอง" อีกต่อไป แต่สำหรับเราแล้ว นั้นไม่ใช่ปัญหาเลย กลับยิ่งชอบมากขึ้นไปอีก 10 เท่า ใครจะคิดว่า Christopher จะสามารถทำ top ภาคแรกได้
- ใครที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีความ Horror อยู่แล้ว บอกเลยว่าโคตรผิด เพราะทั้งเรื่องยังจัดเต็มเรื่องความระทึก ไล่ล่ากันบ่อยมาก ปริศนาฆาตกรก็ยังน่าค้นหาเหมือนเดิม แถมทั้งเรื่องเต็มไปด้วย Twist and Turn หักแล้วหักอีกไม่รู้กี่รอบ เรื่องนี้เต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ แบบมีอะไรให้แปลกใจทุกๆ 10 นาที เลย
- สิ่งที่ทำให้ 2U ดีงามกว่าภาค 1 หลายเท่า เป็นเพราะว่า ภาคนี้คือการขยายโลก+ความสัมพันธ์ตัวละคร เราจะได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ Tree ติดอยู่ในลูปคืออะไรกันแน่ และเรายังได้ไปสำรวจความสัมพันธ์ของนางเอกกับตัวละครแต่ละตัวอีกด้วย คือบทมันดีมาก ทำให้แต่ละตัวละครเด่นขึ้น และทำให้เรารักพวกเขามากกว่าเดิม
- รู้สึกอึ้งมากๆว่า Christopher Landon สามารถ balance ทุกโทนยังไงให้ออกมาได้ลงตัวและสมูทขนาดนี้ ภาคแรกทำดียังไง 2U ก็ดียิ่งกว่า แบบระทึกๆอยู่ ตัดมามาดราม่า แล้วก็ไปตลก แล้วก็มาโรแมนติกอีก แต่ทุกอย่างมันเรียงต่อกันได้อย่างลื่นไหลมาก ไม่ว่าจะโทนไหนๆ เขาก็ nail it
- และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ "Tree & Carter" ตอนดูภาค 1 จบรู้สึกอึ้งมากว่า "เห้ย จริงๆนี่มันก็คือหนังรักดีๆเรื่องนึงเลยนี่หว่า" เราอินและชอบคู่นี้มากกกก ชอบตรงที่ความสัมพันธ์นี้เริ่มจากไม่ได้ชอบ แล้สค่อยๆผูกพันธ์ มารู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว ซึ่งใน 2U ความสัมพันธ์นี้ก็เป็น 1 ในตัวแปรสำคัญของเรื่องเลย แถมยังทำให้อินและซึ้งเหมือนเดิม ยิ่งรักคู่นี้เข้าไปอีก
- ในส่วนของสกอร์ของ Bear McCreary คือต้องให้ 10/10 เลย คิดดูว่าทั้งเรื่องมันมีหลายโทนใช่ปะ สกอร์ของเขาก็จัดมาหมดทุกแนวเลย แล้วทำได้น่าจดจำทุก Track ชอบมากๆ
- จุดเดียวที่ไม่ชอบของภาคนี้คือ 2 ตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Sarah Yarkin และ Suraj Sharma คือ 2 คนนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากแค่มาเป็น Comic Relief ซึ่งหนังมันตลกอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาก็ได้
Christopher Landon ตั้งใจทำ Happy Death Day ออกมาเป็นไตรภาค โดยแต่ละภาคก็จะเป็นหนังคนละแนวกันเลย โดยภาค 3 เขายั่วว่าจะเป็นหนัง Time Loop แบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน... แต่เป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก เพราะมันอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง
ตัว Chris พูดเองเลยว่าดูท่าอาจจะไม่ได้ทำภาค 3 เพราะเรื่องรายได้ 😭😭😭
และสุดท้ายนี้ขอฝากเพลงในซีน Death Montage ไว้ เผื่อใครดูจบแล้วหาอยู่
Happy Death Day 2U (2019) - ⭐⭐⭐⭐ [สนุกกว่า ดีกว่า เยี่ยมกว่า!]
- พอได้ข่าวว่าภาค 2 จะมาก็อยากดูมากๆ ยิ่งได้ข่าวว่าจะเป็นแนวไซไฟแบบ Back to The Future 2 ยิ่งอยากดู แต่ก็มาผิดหวังหนักมาก หลังตย.แรกออก เพราะมันแทบจะเหมือนภาคแรกเลย เปลี่ยนแค่ว่าคราวนี้ "ฆาตกรออกฆ่าหลายคน และ Tree ต้องเป็นคนช่วยคนอื่น".... แต่! หนังจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลยจ้า จริงๆแล้วพล็อตของมันสุดโต่งและไปไกลกว่านั้นมาก เขาตั้งใจโปรโมตโดยซ่อนพลอตที่แท้ที่จริงเอาไว้ไม่ให้เห็นเลย ใครที่ดูตย.แล้วคิดว่าไม่น่าดู บอกเลยว่าอย่าเพิ่งปักใจ
- ภาคนี้เปลี่ยนโทนจาก Slasher/Comedy มาเป็น Sci-fi/Thriller/Comedy ซึ่งไอ้จุดนี้นี่ล่ะ ที่อาจจะทำให้คนผิดหวัง ฝั่งเมืองนอกถึงกับบอกว่า HDD ไม่ใช่ "หนังสยอง" อีกต่อไป แต่สำหรับเราแล้ว นั้นไม่ใช่ปัญหาเลย กลับยิ่งชอบมากขึ้นไปอีก 10 เท่า ใครจะคิดว่า Christopher จะสามารถทำ top ภาคแรกได้
- ใครที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีความ Horror อยู่แล้ว บอกเลยว่าโคตรผิด เพราะทั้งเรื่องยังจัดเต็มเรื่องความระทึก ไล่ล่ากันบ่อยมาก ปริศนาฆาตกรก็ยังน่าค้นหาเหมือนเดิม แถมทั้งเรื่องเต็มไปด้วย Twist and Turn หักแล้วหักอีกไม่รู้กี่รอบ เรื่องนี้เต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ แบบมีอะไรให้แปลกใจทุกๆ 10 นาที เลย
- สิ่งที่ทำให้ 2U ดีงามกว่าภาค 1 หลายเท่า เป็นเพราะว่า ภาคนี้คือการขยายโลก+ความสัมพันธ์ตัวละคร เราจะได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ Tree ติดอยู่ในลูปคืออะไรกันแน่ และเรายังได้ไปสำรวจความสัมพันธ์ของนางเอกกับตัวละครแต่ละตัวอีกด้วย คือบทมันดีมาก ทำให้แต่ละตัวละครเด่นขึ้น และทำให้เรารักพวกเขามากกว่าเดิม
- รู้สึกอึ้งมากๆว่า Christopher Landon สามารถ balance ทุกโทนยังไงให้ออกมาได้ลงตัวและสมูทขนาดนี้ ภาคแรกทำดียังไง 2U ก็ดียิ่งกว่า แบบระทึกๆอยู่ ตัดมามาดราม่า แล้วก็ไปตลก แล้วก็มาโรแมนติกอีก แต่ทุกอย่างมันเรียงต่อกันได้อย่างลื่นไหลมาก ไม่ว่าจะโทนไหนๆ เขาก็ nail it
- และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ "Tree & Carter" ตอนดูภาค 1 จบรู้สึกอึ้งมากว่า "เห้ย จริงๆนี่มันก็คือหนังรักดีๆเรื่องนึงเลยนี่หว่า" เราอินและชอบคู่นี้มากกกก ชอบตรงที่ความสัมพันธ์นี้เริ่มจากไม่ได้ชอบ แล้สค่อยๆผูกพันธ์ มารู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว ซึ่งใน 2U ความสัมพันธ์นี้ก็เป็น 1 ในตัวแปรสำคัญของเรื่องเลย แถมยังทำให้อินและซึ้งเหมือนเดิม ยิ่งรักคู่นี้เข้าไปอีก
- ในส่วนของสกอร์ของ Bear McCreary คือต้องให้ 10/10 เลย คิดดูว่าทั้งเรื่องมันมีหลายโทนใช่ปะ สกอร์ของเขาก็จัดมาหมดทุกแนวเลย แล้วทำได้น่าจดจำทุก Track ชอบมากๆ
- จุดเดียวที่ไม่ชอบของภาคนี้คือ 2 ตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Sarah Yarkin และ Suraj Sharma คือ 2 คนนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากแค่มาเป็น Comic Relief ซึ่งหนังมันตลกอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาก็ได้