สวัสดีค่ะ นี่เป็นการรีวิวแรกใน pantip นะคะ ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง เชิญแนะนำได้ตามสมควรเลยค่า
เอาละค่ะ เราจะไม่พูดพร่ำทำเพลง วันนี้เราจะมารีวิวการไปขึ้นภูกระดึงครั้งแรก และยังเปรี้ยวซ่าไปคนเดียวค่ะ! บางคนอาจจะบอกว่าการเที่ยวคนเดียวเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่สำหรับเราจ้า เราไม่ใช่สายป่าสายเขาเลยยยยย ปกติก็จะเที่ยวทะเลตลอด แต่ๆๆๆๆ เนื่องจากเราเป็นคนชอบฟ้าชอบดาวมาก เวลาเดินทางไปต่างประเทศตอนกลางคืน ก็จะนั่งมองดาวตลอด รู้สึกว่ามันใกล้มาก และตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างเครื่องบิน ดังนั้นก็เลยมาคิดได้ว่า เห้ยย เอออ เข้าป่าดีกว่า ฟ้ามืดๆ อากาศเย็นๆ นอนดูดาวตกน่าจะชิวดี แถมท้าทายความสามารถ ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วย
คิดได้ดังนั้น ดูตารางงาน อาทิตย์หน้า ว่าง 4 วัน จัดกระเป๋า ซื้อตั๋วพร้อม เดินทางจ้า เราออกเดินทาง คืนวันที่ 9 กพ. และกลับถึง กทม. เช้ามืดวันที่ 13 กพ. ใช้เวลาบนภูกระดึง 3 วัน 2 คืน
มาเริ่มกันตั้งแต่ กทม. เลยละกัน เรานั่งรถทัวร์ของซันบัส ออกจาก กทม. สี่ทุ่ม ถึง ปลายทาง “ผานกเค้า” ประมาณตี 5
รถทัวร์ของซันบัส จะจอดที่ร้าน คุณเอฟ ซึ่งจากที่อ่านรีวิวมา ทุกคนจะบอกว่า รถจอดที่ร้านเจ๊กิม พอลงรถ เราก็วนๆ หาร้านเจ๊กิม พนักงานรถทัวร์คงรู้ว่าเรางง เค้าก็เลยรีบบอกเรา (และเพื่อนร่วมเดินทางอีก3คน) ว่ารอที่นี่ได้ครับ ทานข้าว ล้างหน้าแปรงฟัน เดี๋ยวรอคนครบแล้วจะมีรถแดงมารับไปที่อุทยาน
ผานกเค้าตอนดวงอาทิตย์ขึ้นค่ะ
พอได้เวลาสัก 7 โมงครึ่ง ก็ยังไม่มีรถมาจ้าา เพราะวันที่เรามาวันเป็นวันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีคนขึ้นภูกระดึงวันนี้ คนเลยน้อย สรุปก็เลยเหมาเราแดงกันไป 4 คน ตกคนละ 50 บาท
ถึงอุทยานละจ้าาา ใบนี้ให้เก็บไว้กับตัวจนถึงทางขึ้นเลยนะคะ เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานจะตรวจเชคอีกที
มาถึงก็จองเต๊นท์ จ้างลูกหาบ เสร็จแล้วก็ยืดเส้นยืดสาย วอร์มร่างกาย จะได้ไม่บาดเจ็บ เตรียมพร้อมขึ้นภูกระดึงโซ่โล่เดี่ยวครั้งแรกของเราค่าาาา
ก่อนขึ้น แนะนำให้เม็มเบอร์อุทยานไว้เผื่อฉุกเฉินด้วยนะคะ สำคัญมาก เราเกือบได้ใช้บริการแน่ะ 555
นี่เป็นเพียง3 ภาพที่ถ่ายระหว่างขึ้นภูกระดึงค่า
ใช่ค่ะเราถ่ายมาเพียงเท่านี้ เพราะมัวไป ig story เลยไม่ค่อยมีรูป 5555 อีกอย่าง เราค่อนข้างรีบเดิน เพราะว่าอากาศค่อนข้างแย่ มีไฟป่า เราก็เลยรีบทำเวลา หวังจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านบน
ถึงละค่าาา ทำเวลา 3 ชั่วโมงเป๊งงง 5.5 กิโล อันแสนทรหด จริงๆ มันก็ไม่ได้ชันตลอด 5.5 กิโลนะคะ มันจะชันแค่ช่วงแรก จากทางขึ้นมาถึงซำแฮก ละก็ช่วงสุดท้ายที่รู้สึกว่าชันสุดๆ บันไดเยอะมาก แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า ขึ้นบันไดนี่ใช้กล้ามเนื้อขาเยอะกว่าปีนอีก แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ค่ะ เย่ๆๆๆๆๆ
แต่!! อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะ เรายังมีทางราบอีกประมาณ3 กิโลรออยู่ พอถึงจุดนี้ก็เดินชิวๆ ได้ค่ะ
ท้องฟ้าค่อนข้างปิดเนื่องจากไฟป่าค่า T_T ตอนนั้นคิดและ หมดกัน ความฝันนอนตากน้ำค้างดูดาว
ทางไปลานกางเต๊นท์ ที่พักของเราทั้ง2 คืนนี้ค่ะ
ป้ายบอกทางมีตลอด ไม่ต้องกลัวหลงเลย
และนี่คือเต๊นท์ของเราค่าา เต๊นท์ที่อุทยานจะมีเพียง 1 ขนาดนะคะ เป็นแบบพักได้ 3 คน คืนละ 200 บาท แต่เรามาคนเดียว ก็เหมาไปชิวๆ เต็มอาณาเขตค่า
อากาศก็ร้อนใช้ได้ เพราะเป็นเวลาเที่ยง บวกกับไฟป่าที่มีมานานกว่า 1 เดือน ตอนแรกว่าจะอาบน้ำแล้วนอนพัก แต่ลูกหาบยังขึ้นมาไม่ถึง ของเลยไม่มีใช้ เลยตัดสินใจ เดินสำรวจซะเลย!! เอ้าา แรงเหลือก็เดินวนไปค่ะ คืนนี้จะได้หลับสบาย
อากาศวันที่ไปถึงค่า 555 หนีฝุ่น กทม. เจอไฟป่าซะงั้น
อันนี้เป็นแผนที่ที่ทางอุทยานมีขายค่ะ มีไว้ก็ดีค่ะ จะได้วางแผนได้ว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง
เนื่องจากวันนี้ก็เร่งฝีเท้าทำเวลาปีนเขามาสุดๆ ก็เลยวางแผนไปเดินเล่น ผานาน้อย และกลับมาดูดวงอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
ภาพนี้ถ่ายที่ผานาน้อยค่ะ ไม่เห็นอะไรเลยจ้า 555555
ไฟป่าหนักขนาดนี้ พรอพเราต้องแน่นค่ะ!
ระหว่างทางขอบหน้าผา จะมีรอยซากต้นไม้ถูกเผาตลอดทาง ไอเราก็เดินไปบ่นไป ใครมันมาเผาป่าบนนี้ว้าาา สุดท้ายไปถามเจ้าหน้าที่อุทยาน ได้ความว่า เค้าตั้งใจเผาเป็นแนวป้องกันไฟป่าลุกลาม เราก็ถึงบางอ้อทันที
แนวป้องกันไฟป่า
ถึงผาหมากดูกตอนประมาณ 5 โมงค่ะ เราก็นอนพักตรงโขดหินนั้นเลยค่ะ เพื่อรอเวลาอาทิตย์ตก
อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะคะ! เดี๋ยวจะโดนทิ้งให้เดินกลับเต๊นท์มืดๆ คนเดียว
ไฟป่าไม่มีทีท่าจะดับง่ายๆ
ดวงอาทิตย์กะลังจะตกแล้วววววว
สรุป ดูดวงอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกวันแรก ก็จะได้ท้องฟ้าเบลอๆ ตามสภาพอากาศ สงสารป่าาาา T_T
ใช้แอพในไอโฟนนับก้าว รวมแล้ววันนี้เดินไป 20.6 กิโล กับ 188 floors ค่ะ!
มื้อเย็น ณ ภูกระดึง เราฝากท้องที่ร้านทิพย์วรรณค่ะ ทุกคนที่ภูกระดึงใจดีมากกกกก และคำถามที่เราโดนถามบ่อย ตั้งแต่ตอนขึ้นภูก็คือ “มาคนเดียวหรอน้อง” เราก็ได้แต่ตอบเขินๆ ไป “มาคนเดียวค่าา เพื่อนๆ ไม่ว่าง” ต้องรีบบอกก่อนเลย เดี๋ยวทุกคนจะคิดว่าเราไม่มีคนคบ ทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน เจ้าของร้านค้าและก็นักท่องเที่ยวนักเดินทาง ต่างถามด้วยความเป็นห่วง ประหนึ่งว่าผญ. คนนี้มันจะรอดมั้ยเนี่ยย ขอขอบพระคุณทุกคนมา ณ ที่นี้อีกทีนะคะ รอดไม่รอด มาดูกันค่ะ
สำหรับคืนแรก ขอส่งด้วยภาพดาวค่ะ ตอน แรกตั้งใจจะมาถ่ายทางช้างเผือก แต่ดูทรงไฟป่าแล้ว น่าจะบังมิด เพราะว่าช้างขึ้นตรงขอบฟ้าพอดี แต่พอส่องกล้องขึ้นฟ้า ก็ยังมีดาวให้เห็นให้ได้ตื่นเต้นบ้าง
มาต่อกันวันที่ 2 เลยค่าาาา
เช้าวันที่ 2 เราตื่นสาย เลยไม่ได้ไปตามนัดของเจ้าหน้าที่อุทยานตอนที่ 5 ที่เค้าจะพาพวกเราเดินไป ผานกแอ่นเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ เราก็เลยนั่งดูพระอาทิตย์จากร้าน ทิพย์วรรณ ร้านประจำที่เรายึดไว้ฝากท้องทริปนี้
อ่านรีวิวไหนๆ ก็มีแต่คนบอกว่า อาหารบนภูกระดึง อร่อยถูกปากทุกเมนู แถมเจ้าของร้านยังเคลมด้วยว่า ปาท่องโก๋ของเค้าก็อร่อยมากวัวตายควายล้ม! เราเลยจัด
ทอดกันสดๆ เซตนี้ 20 บาทค่ะ สรุปคือ อร่อยมากจริง!!
แต่เนื่องจากวันนี้เราต้องเดินไกล เลยต้องอัดมื้อเช้าเยอะหน่อย โจ๊กไข่ออนเซน อร่อยไม่แพ้กันค่ะ
มาทานอาหารที่ร้านนี้มื้อ2 แล้ว เจ้าของร้านและน้องๆ ก็ยังคงถามเราเหมือนเดิมว่ามาคนเดียวจริงๆ หรอครับเนี่ย ตลกดี แหะๆ
วันนี้เราตั้งใจว่า จะเดินให้ช้า ฟังเสียงธรรมชาติเยอะๆ และต้องได้รูปที่ถูกใจ ก็เลยแบกขาตั้งกล้องไปด้วยค่ะ แผนเดินทางคือ เก็บโซนน้ำตก ซึ่งเป็นส่วนที่ติดกับป่า แล้วมุ่งหน้าไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักค่ะ ง่ายๆ แค่นี้เอง แต่วันนี้ เราเดินไป 26 กิโลเลยทีเดียว! เพราะอะไรน่ะหรอ เดี๋ยวไปดูกัน!
ทริปนี้ น้ำเปล่าแทบไม่ถึงท้องเลยค่ะ น้ำหวานล้วน แดงมะนาวโซดานี่คือเมนูโปรดเลยเพราะสดชื่นสุดๆ แนะนำให้พกกระติกน้ำส่วนตัวมาด้วยนะคะ จะได้ประหยัดขยะพลาสติก 3วัน2คืนนี้เรา ซื้อน้ำดื่มระหว่างทางไป 10แก้ว++ ได้ ประหยัดแก้วพลาสติกได้เยอะเลยเห็นมั้ยย
นี่คือส่วนหนึ่งของน้ำตกที่เราจะไปกันค่ะ เดินจากลานกางเต๊นท์ไปทางพระพุทธเมตตา ไหว้พระขอพร ขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขามาเที่ยว แล้วก็ตามไปไปน้ำตกในหน้าแล้งกันเลยค่า
เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าในเดือนกพ. น้ำตกจะไม่มีน้ำเลย จะไม่สวยเหมือนหน้าฝน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องมาดูให้เห็นกับตา สวยไม่สวยมันก็แล้วแต่คนจะมอง ^^
ป้ายแนะนำนักท่องเที่ยวมีตลอดทางค่ะ
น้ำตกแรกที่เจอคือ น้ำตกถ้ำใหญ่ค่ะ ช่วงเดือนหนาวๆ จะมีใบเมเปิ้ลสีแดงสวยงาม แต่เราไป กพ. ก็ยังเห็นร่วงๆ ให้เห็นอยู่บ้างค่ะ
และนี่ก็คือ จุดเริ่มต้นของการเดินหลงป่า!!! T_T
สำหรับคนทั่วไป หรือคนที่เดินป่าเป็น ก็ขอยืนยันว่าไม่มีทางหลงแน่ๆ ค่า แหะๆ แต่ในส่วนของเรานั้น เดินป่าครั้งแรก คนเดียว ทุกอย่างตรงหน้ามันเลยตื่นเต้นไปหมด ทางเดิน มีรอยใบไม้แห้ง เป็นรอยเท้าคนเดิน เราไม่เดินค่ะ! เราเดินผ่านลำธาร (ที่แห้งแล้ง) ค่า 555 เอ๊ะ ทำไมตอนนั้นไม่ฉุกคิดนะ
หลังจากเดินบนหินที่น่ำแห้ง ไปสักพัก เราก็เจอทางขึ้นผืนป่า ก็พบว่า เห้ยยย ทำไมไม่มีทางเดินเลยนะ แล้วไปทางไหนต่อ เนตก็ติดๆ ดับๆ ด้วย เอาละเว้ยยยย หลังจากนั้นก็ทำได้แค่เดินตามเข็มทิศไอโฟนค่ะ ว่าต้องเดินไปทางเหนือ เราก็เดินฝ่าดงกิ่งไม้แห้งไปเรื่อยๆ ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ สัตว์ก็กลัว ... ก็แอบกลัว เดินยาวๆ 30 นาที ไม่เจอคนเลย ใจแป้วมากก แต่ก็ต้องเดินต่อไป (ซึ่งคิดผิดสุดดดด) จนสุดท้ายเราก็ได้เจอกันค่ะ น้ำตกเพ็ญพบ
ภาพต่อไปนี้ถ่ายตอนที่เริ่มจำคลำเจอทางค่ะ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
CR ภูกระดึงหน้าแล้ง 3วัน2คืนคนเดียวเที่ยวได้จริงๆ ไฟป่า ห่าฝน เต๊นท์ชุ่ม เจอครบ ในทริปเดียว XD
เอาละค่ะ เราจะไม่พูดพร่ำทำเพลง วันนี้เราจะมารีวิวการไปขึ้นภูกระดึงครั้งแรก และยังเปรี้ยวซ่าไปคนเดียวค่ะ! บางคนอาจจะบอกว่าการเที่ยวคนเดียวเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่สำหรับเราจ้า เราไม่ใช่สายป่าสายเขาเลยยยยย ปกติก็จะเที่ยวทะเลตลอด แต่ๆๆๆๆ เนื่องจากเราเป็นคนชอบฟ้าชอบดาวมาก เวลาเดินทางไปต่างประเทศตอนกลางคืน ก็จะนั่งมองดาวตลอด รู้สึกว่ามันใกล้มาก และตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างเครื่องบิน ดังนั้นก็เลยมาคิดได้ว่า เห้ยย เอออ เข้าป่าดีกว่า ฟ้ามืดๆ อากาศเย็นๆ นอนดูดาวตกน่าจะชิวดี แถมท้าทายความสามารถ ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วย
คิดได้ดังนั้น ดูตารางงาน อาทิตย์หน้า ว่าง 4 วัน จัดกระเป๋า ซื้อตั๋วพร้อม เดินทางจ้า เราออกเดินทาง คืนวันที่ 9 กพ. และกลับถึง กทม. เช้ามืดวันที่ 13 กพ. ใช้เวลาบนภูกระดึง 3 วัน 2 คืน
มาเริ่มกันตั้งแต่ กทม. เลยละกัน เรานั่งรถทัวร์ของซันบัส ออกจาก กทม. สี่ทุ่ม ถึง ปลายทาง “ผานกเค้า” ประมาณตี 5
รถทัวร์ของซันบัส จะจอดที่ร้าน คุณเอฟ ซึ่งจากที่อ่านรีวิวมา ทุกคนจะบอกว่า รถจอดที่ร้านเจ๊กิม พอลงรถ เราก็วนๆ หาร้านเจ๊กิม พนักงานรถทัวร์คงรู้ว่าเรางง เค้าก็เลยรีบบอกเรา (และเพื่อนร่วมเดินทางอีก3คน) ว่ารอที่นี่ได้ครับ ทานข้าว ล้างหน้าแปรงฟัน เดี๋ยวรอคนครบแล้วจะมีรถแดงมารับไปที่อุทยาน
ผานกเค้าตอนดวงอาทิตย์ขึ้นค่ะ
พอได้เวลาสัก 7 โมงครึ่ง ก็ยังไม่มีรถมาจ้าา เพราะวันที่เรามาวันเป็นวันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีคนขึ้นภูกระดึงวันนี้ คนเลยน้อย สรุปก็เลยเหมาเราแดงกันไป 4 คน ตกคนละ 50 บาท
ถึงอุทยานละจ้าาา ใบนี้ให้เก็บไว้กับตัวจนถึงทางขึ้นเลยนะคะ เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานจะตรวจเชคอีกที
มาถึงก็จองเต๊นท์ จ้างลูกหาบ เสร็จแล้วก็ยืดเส้นยืดสาย วอร์มร่างกาย จะได้ไม่บาดเจ็บ เตรียมพร้อมขึ้นภูกระดึงโซ่โล่เดี่ยวครั้งแรกของเราค่าาาา
ก่อนขึ้น แนะนำให้เม็มเบอร์อุทยานไว้เผื่อฉุกเฉินด้วยนะคะ สำคัญมาก เราเกือบได้ใช้บริการแน่ะ 555
นี่เป็นเพียง3 ภาพที่ถ่ายระหว่างขึ้นภูกระดึงค่า
ใช่ค่ะเราถ่ายมาเพียงเท่านี้ เพราะมัวไป ig story เลยไม่ค่อยมีรูป 5555 อีกอย่าง เราค่อนข้างรีบเดิน เพราะว่าอากาศค่อนข้างแย่ มีไฟป่า เราก็เลยรีบทำเวลา หวังจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านบน
ถึงละค่าาา ทำเวลา 3 ชั่วโมงเป๊งงง 5.5 กิโล อันแสนทรหด จริงๆ มันก็ไม่ได้ชันตลอด 5.5 กิโลนะคะ มันจะชันแค่ช่วงแรก จากทางขึ้นมาถึงซำแฮก ละก็ช่วงสุดท้ายที่รู้สึกว่าชันสุดๆ บันไดเยอะมาก แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า ขึ้นบันไดนี่ใช้กล้ามเนื้อขาเยอะกว่าปีนอีก แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ค่ะ เย่ๆๆๆๆๆ
แต่!! อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะ เรายังมีทางราบอีกประมาณ3 กิโลรออยู่ พอถึงจุดนี้ก็เดินชิวๆ ได้ค่ะ
ท้องฟ้าค่อนข้างปิดเนื่องจากไฟป่าค่า T_T ตอนนั้นคิดและ หมดกัน ความฝันนอนตากน้ำค้างดูดาว
ทางไปลานกางเต๊นท์ ที่พักของเราทั้ง2 คืนนี้ค่ะ
ป้ายบอกทางมีตลอด ไม่ต้องกลัวหลงเลย
และนี่คือเต๊นท์ของเราค่าา เต๊นท์ที่อุทยานจะมีเพียง 1 ขนาดนะคะ เป็นแบบพักได้ 3 คน คืนละ 200 บาท แต่เรามาคนเดียว ก็เหมาไปชิวๆ เต็มอาณาเขตค่า
อากาศก็ร้อนใช้ได้ เพราะเป็นเวลาเที่ยง บวกกับไฟป่าที่มีมานานกว่า 1 เดือน ตอนแรกว่าจะอาบน้ำแล้วนอนพัก แต่ลูกหาบยังขึ้นมาไม่ถึง ของเลยไม่มีใช้ เลยตัดสินใจ เดินสำรวจซะเลย!! เอ้าา แรงเหลือก็เดินวนไปค่ะ คืนนี้จะได้หลับสบาย
อากาศวันที่ไปถึงค่า 555 หนีฝุ่น กทม. เจอไฟป่าซะงั้น
อันนี้เป็นแผนที่ที่ทางอุทยานมีขายค่ะ มีไว้ก็ดีค่ะ จะได้วางแผนได้ว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง
เนื่องจากวันนี้ก็เร่งฝีเท้าทำเวลาปีนเขามาสุดๆ ก็เลยวางแผนไปเดินเล่น ผานาน้อย และกลับมาดูดวงอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
ภาพนี้ถ่ายที่ผานาน้อยค่ะ ไม่เห็นอะไรเลยจ้า 555555
ไฟป่าหนักขนาดนี้ พรอพเราต้องแน่นค่ะ!
ระหว่างทางขอบหน้าผา จะมีรอยซากต้นไม้ถูกเผาตลอดทาง ไอเราก็เดินไปบ่นไป ใครมันมาเผาป่าบนนี้ว้าาา สุดท้ายไปถามเจ้าหน้าที่อุทยาน ได้ความว่า เค้าตั้งใจเผาเป็นแนวป้องกันไฟป่าลุกลาม เราก็ถึงบางอ้อทันที
แนวป้องกันไฟป่า
ถึงผาหมากดูกตอนประมาณ 5 โมงค่ะ เราก็นอนพักตรงโขดหินนั้นเลยค่ะ เพื่อรอเวลาอาทิตย์ตก
อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะคะ! เดี๋ยวจะโดนทิ้งให้เดินกลับเต๊นท์มืดๆ คนเดียว
ไฟป่าไม่มีทีท่าจะดับง่ายๆ
ดวงอาทิตย์กะลังจะตกแล้วววววว
สรุป ดูดวงอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกวันแรก ก็จะได้ท้องฟ้าเบลอๆ ตามสภาพอากาศ สงสารป่าาาา T_T
ใช้แอพในไอโฟนนับก้าว รวมแล้ววันนี้เดินไป 20.6 กิโล กับ 188 floors ค่ะ!
มื้อเย็น ณ ภูกระดึง เราฝากท้องที่ร้านทิพย์วรรณค่ะ ทุกคนที่ภูกระดึงใจดีมากกกกก และคำถามที่เราโดนถามบ่อย ตั้งแต่ตอนขึ้นภูก็คือ “มาคนเดียวหรอน้อง” เราก็ได้แต่ตอบเขินๆ ไป “มาคนเดียวค่าา เพื่อนๆ ไม่ว่าง” ต้องรีบบอกก่อนเลย เดี๋ยวทุกคนจะคิดว่าเราไม่มีคนคบ ทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน เจ้าของร้านค้าและก็นักท่องเที่ยวนักเดินทาง ต่างถามด้วยความเป็นห่วง ประหนึ่งว่าผญ. คนนี้มันจะรอดมั้ยเนี่ยย ขอขอบพระคุณทุกคนมา ณ ที่นี้อีกทีนะคะ รอดไม่รอด มาดูกันค่ะ
สำหรับคืนแรก ขอส่งด้วยภาพดาวค่ะ ตอน แรกตั้งใจจะมาถ่ายทางช้างเผือก แต่ดูทรงไฟป่าแล้ว น่าจะบังมิด เพราะว่าช้างขึ้นตรงขอบฟ้าพอดี แต่พอส่องกล้องขึ้นฟ้า ก็ยังมีดาวให้เห็นให้ได้ตื่นเต้นบ้าง
มาต่อกันวันที่ 2 เลยค่าาาา
เช้าวันที่ 2 เราตื่นสาย เลยไม่ได้ไปตามนัดของเจ้าหน้าที่อุทยานตอนที่ 5 ที่เค้าจะพาพวกเราเดินไป ผานกแอ่นเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ เราก็เลยนั่งดูพระอาทิตย์จากร้าน ทิพย์วรรณ ร้านประจำที่เรายึดไว้ฝากท้องทริปนี้
อ่านรีวิวไหนๆ ก็มีแต่คนบอกว่า อาหารบนภูกระดึง อร่อยถูกปากทุกเมนู แถมเจ้าของร้านยังเคลมด้วยว่า ปาท่องโก๋ของเค้าก็อร่อยมากวัวตายควายล้ม! เราเลยจัด
ทอดกันสดๆ เซตนี้ 20 บาทค่ะ สรุปคือ อร่อยมากจริง!!
แต่เนื่องจากวันนี้เราต้องเดินไกล เลยต้องอัดมื้อเช้าเยอะหน่อย โจ๊กไข่ออนเซน อร่อยไม่แพ้กันค่ะ
มาทานอาหารที่ร้านนี้มื้อ2 แล้ว เจ้าของร้านและน้องๆ ก็ยังคงถามเราเหมือนเดิมว่ามาคนเดียวจริงๆ หรอครับเนี่ย ตลกดี แหะๆ
วันนี้เราตั้งใจว่า จะเดินให้ช้า ฟังเสียงธรรมชาติเยอะๆ และต้องได้รูปที่ถูกใจ ก็เลยแบกขาตั้งกล้องไปด้วยค่ะ แผนเดินทางคือ เก็บโซนน้ำตก ซึ่งเป็นส่วนที่ติดกับป่า แล้วมุ่งหน้าไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักค่ะ ง่ายๆ แค่นี้เอง แต่วันนี้ เราเดินไป 26 กิโลเลยทีเดียว! เพราะอะไรน่ะหรอ เดี๋ยวไปดูกัน!
ทริปนี้ น้ำเปล่าแทบไม่ถึงท้องเลยค่ะ น้ำหวานล้วน แดงมะนาวโซดานี่คือเมนูโปรดเลยเพราะสดชื่นสุดๆ แนะนำให้พกกระติกน้ำส่วนตัวมาด้วยนะคะ จะได้ประหยัดขยะพลาสติก 3วัน2คืนนี้เรา ซื้อน้ำดื่มระหว่างทางไป 10แก้ว++ ได้ ประหยัดแก้วพลาสติกได้เยอะเลยเห็นมั้ยย
นี่คือส่วนหนึ่งของน้ำตกที่เราจะไปกันค่ะ เดินจากลานกางเต๊นท์ไปทางพระพุทธเมตตา ไหว้พระขอพร ขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขามาเที่ยว แล้วก็ตามไปไปน้ำตกในหน้าแล้งกันเลยค่า
เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าในเดือนกพ. น้ำตกจะไม่มีน้ำเลย จะไม่สวยเหมือนหน้าฝน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องมาดูให้เห็นกับตา สวยไม่สวยมันก็แล้วแต่คนจะมอง ^^
ป้ายแนะนำนักท่องเที่ยวมีตลอดทางค่ะ
น้ำตกแรกที่เจอคือ น้ำตกถ้ำใหญ่ค่ะ ช่วงเดือนหนาวๆ จะมีใบเมเปิ้ลสีแดงสวยงาม แต่เราไป กพ. ก็ยังเห็นร่วงๆ ให้เห็นอยู่บ้างค่ะ
และนี่ก็คือ จุดเริ่มต้นของการเดินหลงป่า!!! T_T
สำหรับคนทั่วไป หรือคนที่เดินป่าเป็น ก็ขอยืนยันว่าไม่มีทางหลงแน่ๆ ค่า แหะๆ แต่ในส่วนของเรานั้น เดินป่าครั้งแรก คนเดียว ทุกอย่างตรงหน้ามันเลยตื่นเต้นไปหมด ทางเดิน มีรอยใบไม้แห้ง เป็นรอยเท้าคนเดิน เราไม่เดินค่ะ! เราเดินผ่านลำธาร (ที่แห้งแล้ง) ค่า 555 เอ๊ะ ทำไมตอนนั้นไม่ฉุกคิดนะ
หลังจากเดินบนหินที่น่ำแห้ง ไปสักพัก เราก็เจอทางขึ้นผืนป่า ก็พบว่า เห้ยยย ทำไมไม่มีทางเดินเลยนะ แล้วไปทางไหนต่อ เนตก็ติดๆ ดับๆ ด้วย เอาละเว้ยยยย หลังจากนั้นก็ทำได้แค่เดินตามเข็มทิศไอโฟนค่ะ ว่าต้องเดินไปทางเหนือ เราก็เดินฝ่าดงกิ่งไม้แห้งไปเรื่อยๆ ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ สัตว์ก็กลัว ... ก็แอบกลัว เดินยาวๆ 30 นาที ไม่เจอคนเลย ใจแป้วมากก แต่ก็ต้องเดินต่อไป (ซึ่งคิดผิดสุดดดด) จนสุดท้ายเราก็ได้เจอกันค่ะ น้ำตกเพ็ญพบ
ภาพต่อไปนี้ถ่ายตอนที่เริ่มจำคลำเจอทางค่ะ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ