ผมติดตามเพจ “วิเคราะห์บอลจริงจัง” วันนี้ได้พูดถึงผู้รักษาประตูทั้ง 2 ครับ เชิญรับชมได้
ในฟุตบอลโลก 2014 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมระหว่างฮอลแลนด์ กับ คอสตาริก้า
เกมเป็นไปอย่างสูสี ทั้งสองทีมบี้กันจนถึงนาทีที่ 119 ซึ่งดูทรงแล้วเกมไปถึงการดวลจุดโทษแน่นอน
ปรากฏว่า โค้ชของทีมชาติฮอลแลนด์ หลุยส์ ฟาน กัล ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน นั่นคือ การเปลี่ยนผู้รักษาประตูเพื่อลงมาเซฟจุดโทษ
แจสเปอร์ ซิเลสเซ่น ทำผลงานดีมาตลอดเกม แต่ทว่า ฟาน กัล หาได้แคร์ไม่ เขาส่งเอาทิม ครูล นายทวารมือ 2 ลงมาเพื่อเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ
นี่เป็นแผนการที่ฟาน กัล เตรียมไว้นานแล้ว เขาแอบซ้อมทิม ครูลอย่างลับๆ โดยไม่ให้ซิเลสเซ่นรู้ตัว
"เราไม่บอกเรื่องนี้กับซิเลสเซ่นก่อนเกม" ฟาน กัลเผย เขาต้องการให้ซิเลสเซ่น มีสมาธิกับเกมเต็มที่
"แต่แน่นอน นายทวารแต่ละคนมีจุดดีจุดด้อยที่ต่างกัน ทิม ครูล มีช่วงแขนที่ยาวกว่า และมีสถิติเซฟจุดโทษที่เหนือกว่าซิเลสเซ่น"
"ผมบอกเรื่องนี้กับทิม และให้เขาไปฝึกเรื่องการเซฟจุดโทษอย่างเดียว"
ในเกมกับคอสตาริก้า พอถึงนาทีที่ 119 ป้ายไฟเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย แทนที่ฮอลแลนด์จะส่งตัวยิงจุดโทษคมๆมาเพิ่มอีกสักคน
แต่เปล่าเลย ฟาน กัล ถอดหมายเลข 1 ซิเลสเซ่น ออก แล้วส่งหมายเลข 23 ทิม ครูลลงแทน
ทุกคนในสนาม รวมถึงผู้บรรยายฟุตบอล ต่างมึนงงกันทั่วหน้า มีงี้ด้วยหรอ เปลี่ยนนายทวารมาเซฟจุดโทษอย่างเดียว
และแน่นอน คนที่งงที่สุด ย่อมไม่พ้นแจสเปอร์ ซิเลสเซ่น เขาเตรียมตัวจะเซฟจุดโทษจากคอสตาริก้าแล้ว แต่อยู่ๆก็โดนเปลี่ยนตัวกะทันหันแบบนี้ คือให้ตายเถอะ โค้ชไม่เชื่อมือเขาหรือไง ว่าจะเซฟจุดโทษได้
ซิเลสเซ่น วิ่งออกจากสนาม ดูสายตาก็รู้ว่าเขาไม่ได้พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่เขาก็ยังออกมา ตามคำสั่งโค้ช
เมื่อเดินพ้นสนามสิ่งแรกที่ซิเลสเซ่นทำ คือเตะขวดน้ำเปรี้ยง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น
"การเปลี่ยนนายทวารท้ายเกมนี่เป็นอะไรที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลย" แกรี่ ลินิเกอร์ พิธีกรของบีบีซีเผย "และมันดูเป็นการทำร้ายจิตใจแจสเปอร์ ซิเลสเซ่นด้วย"
ซิเลสเซ่น สงบสติอารมณ์ข้างสนามได้ราวๆ 5 นาที จิตใจเขาสงบลงแล้ว จากนั้นก็สวมเสื้อกั๊ก และยืนขึ้นให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีมที่กำลังสู้อยู่
ถึงจุดนั้น เขาเข้าใจว่า สาเหตุที่ฟาน กัล เปลี่ยนเขาออก มันย่อมมีเหตุผล ในขณะที่เขาเป็นมือหนึ่งของทีมชาติ แต่นายทวารมือ 2 ทิม ครูล ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อสร้างประโยชน์กับทีมให้มากที่สุด
การที่ส่งครูลลง ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจเขาหรอก แต่โค้ชแค่มองว่า ถ้าใช้งานครูล ทีมจะมีโอกาสเข้ารอบมากกว่าแค่นั้น
ในกีฬาฟุตบอล มันไม่ใช่มีแค่ 11 คนในสนาม แต่มันต้องมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน รวมถึงกลุ่มตัวสำรอง และสตาฟฟ์โค้ชด้วย
สุดท้าย การดวลจุดโทษครั้งนั้น ครูล เซฟได้ 2 จุดโทษ พาฮอลแลนด์เอาชนะคอสตาริก้า ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
และคนแรกที่วิ่งมาดีใจกับทิม ครูล คือใครรู้ไหมครับ
แจสเปอร์ ซิเลสเซ่น นั่นเอง
เรียกได้ว่า การตัดสินใจของฟาน กัล ในครั้งนั้นสมบูรณ์แบบ เพอร์เฟ็กต์ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ
แต่แน่นอนส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมซิเลสเซ่น แม้จะรู้สึกแย่ ที่โดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีสุดท้าย แต่เขาก็ยังยอมออกจากสนามโดยดี เขาเชื่อในสิ่งที่โค้ชบอก และเชื่อในเพื่อนร่วมทีมว่า สามารถ "ทำได้"
----------------------------------------------
จากเหตุการณ์ของทีมชาติฮอลแลนด์ครั้งนั้น ผ่านมาอีก 5 ปี ในฟุตบอลคาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศ เกิดเหตุการณ์คล้ายๆอย่างนั้นอีก
เกมระหว่างเชลซี กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกันอยู่ 0-0 จนถึงนาทีที่ 119 เมาริซิโอ ซาร์รี่ โค้ชเชลซี ตัดสินใจเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย ด้วยการเตรียมส่ง วิลลี่ กาบาเยโร่ ลงสนามเพื่อเอาไปเซฟจุดโทษของแมนฯซิตี้
เกป้า อาริซ่าบาลาก้า ไม่ใช่นายทวารที่แย่ เขาคือเจ้าของราคาสถิติโลก 71.6 ล้านปอนด์ ขณะที่ในเกมนี้ ก็ยังคงเหนียวแน่นไม่เสียประตู
อย่างไรก็ตาม หมากตานี้ของซาร์รี่ เรารู้ได้ว่าเขาไม่ได้คิดมาแบบลวกๆ แต่ซาร์รี่ วางแผนไว้อย่างรอบคอบแล้ว ว่าถ้าถึงจุดโทษ แล้วยังเหลือโควต้าอีกสักตัวให้เปลี่ยน จะใช้งานกาบาเยโร่แน่ๆ
ทำไมต้องเป็นกาบาเยโร่?
ข้อแรกคือ กาบาเยโร่ เคยเล่นอยู่กับแมนฯซิตี้ มา 3 ฤดูกาล ดังนั้นเขารู้จักผู้เล่นของทีมเรือใบสีฟ้าเป็นอย่างดี ซึ่งคนที่เคยฝึกด้วยกัน ซ้อมด้วยกันทุกวัน ย่อมรู้ว่าจะชอบยิงจุดโทษในสไตล์ไหน
คือมีคนที่รู้ Insider แบบนั้นอยู่ในมือ ไม่แปลกที่ซาร์รี่ จะต้องการเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในเกมนี้
เหตุผลข้อ 2 คือ กาบาเยโร่ เป็นสเปเชียลลิสต์เรื่องการเซฟจุดโทษคนหนึ่ง
จำได้ไหมครับ ในลีกคัพฤดูกาล 2015-16 แมนฯซิตี้ เข้าชิงกับลิเวอร์พูล เกมนั้นยืดเยื้อไปถึงการดวลจุดโทษ
ปรากฏว่า กาบาเยโร่ เซฟจุดโทษจากลูคัส , คูตินโญ่ และ อดัม ลัลลาน่า เซฟไปกระจุยจนช่วยแมนฯซิตี้ได้แชมป์
หรือในซีซั่นที่แล้ว ศึกเอฟเอคัพ รอบ 3 ที่เชลซี ดวลจุดโทษกับนอริช กาบาเยโร่ ก็ช่วยเซฟให้ทีมผ่านเข้ารอบ 4 ก่อนจะลงเอยด้วยการเป็นแชมป์ในที่สุด
ดังนั้น เมื่อหักลบเหตุผลแล้ว ซาร์รี่ จึงพร้อมจะส่งวิลลี่ กาบาเยโร่ลงสนามในช่วงท้ายแมตช์ เพื่อจุดประสงค์มาให้เซฟจุดโทษอย่างเดียวนี่แหละ
ติดปัญหาเพียงอย่างเดียว คือ นายทวารในสนาม ดันไม่ใช่แจสเปอร์ ซิเลสเซ่น แต่ดันเป็น เกป้า
และเกป้า ไม่ยอมออกจากสนาม เขาไม่สนว่าใครจะรอข้างสนาม เขาอยากจะเล่นต่อ อยากจะเซฟจุดโทษ และจะไม่ยอมออกจากสนามแน่นอน
----------------------------------------------
ในมุมของเกป้า เขาอาจมองว่า ตัวเองมีอาการบาดเจ็บเล็กๆ ราวๆนาที 118 ซึ่งทำให้ผู้จัดการทีมอาจจะกลัวว่าเขาจะเซฟจุดโทษไม่ไหว จึงอยากเปลี่ยนตัวนายทวาร
ซึ่งเขาก็พยายามยกมือบอกว่า ตัวเองเล่นไหว ไม่ได้บาดเจ็บ ไม่ได้ตะคริวขึ้น ไม่ต้องเปลี่ยนตัว
แต่สำหรับซาร์รี่ เขายืนยันว่า ไม่ต้องการให้นายทวารที่ร่างกายไม่พร้อมลงเซฟจุดโทษ ยิ่งประกอบกับการที่มีวิลลี่ กาบาเยโร่ อยู่ในทีม เกป้า ก็สมควรโดนเปลี่ยนออกที่สุดแล้ว
แต่ก็เหมือนเดิม คือเกป้า ยังไงก็ไม่ยอมออกจากสนาม
เขาไม่คิดแม้แต่จะมาพูดคุยดีๆกับซาร์รี่ที่ข้างสนาม แต่ใช้วิธีทำไม้ทำมือ และดึงดันจะเล่นต่อ
จุดสำคัญในเรื่องนี้ คือ "กฎของเอฟเอ" ระบุแบบนี้ครับ ว่า
If a player who is to be replaced refuses to leave, play continues
แปลว่า ถ้าหากผู้เล่นในสนามปฏิเสธที่จะเปลี่ยนตัว เกมก็ต้องดำเนินต่อไป
จอน มอสส์ ผู้ตัดสินในเกม เห็นแล้วว่าเกป้ายังไงก็ไม่ยอมออก จึงเดินมาแจ้งกับซาร์รี่ ว่าตัวนักเตะไม่ยอมโดนเปลี่ยนตัวออกนะ
ในสถานการณ์นี้ซาร์รี่เอง ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้จะอยากเปลี่ยนตัวแค่ไหน แต่ถ้านักเตะดึงดัน จะยืนในสนามซะอย่าง เขาก็จะได้เล่นต่อไป
จุดที่น่าสังเกตก็คือ เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นว่า ซาร์รี่ เสียการควบคุมในห้องแต่งตัวไปอย่างสิ้นเชิง
ลองคิดว่าถ้าเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สั่งให้นักเตะสักคนเปลี่ยนตัวออก จะมีใครไหมที่กล้าบอกเฟอร์กี้ว่า กูไม่สน กูอยากเล่นต่อ
เรื่องแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับโค้ชคนไหนในระดับพรีเมียร์ลีก แต่มันเกิดขึ้นกับซาร์รี่
ไม่แปลกที่ซาร์รี่ รวมถึงจานฟรังโก้ โซล่า จะหงุดหงิดขนาดนั้น เพราะการที่นักเตะไม่ฟังใครเลยแม้แต่เฮดโค้ช มันส่อให้เห็นถึงปัญหาภายในที่ร้าวลึก
โดนเปลี่ยนตัวออก ก็กูจะไม่ออกอ่ะ จะทำไม ยังไงเกมหน้าก็ต้องใช้งานกูอยู่ดี กูคือนายทวารแพงที่สุดในโลกนะ
ดังนั้นถามว่าเซอร์ไพรส์ไหมที่สุดท้าย เชลซีแพ้จุดโทษ พลาดแชมป์ลีกคัพ
คำตอบคือไม่เลย ในขณะที่นักเตะกับโค้ชเชลซียังปีนเกลียวกันอยู่ ลองไปดูทีมตรงข้ามสิ
นักเตะแมนฯซิตี้ทุกคน เชื่อมั่น และศรัทธาในตัวเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเสมอ มันต่างกันชัดนะ
และเมื่อทีมฟุตบอลต้องขับเคลื่อนด้วยสปิริตภายในทีม เราก็เดาได้ว่าตอนจบของเรื่องนี้ จะลงเอยอย่างไร เชลซีปิดโอกาสชนะของตัวเองไปแล้ว
----------------------------------------------
ถามว่าเคสนี้ ใครผิด?
แน่นอน เกป้า ต้องผิด ที่ไม่แสดงความเป็นมืออาชีพ
เขาอาศัยช่องว่างของกฎในการลงเล่นต่อไปจนจบเกม มัดมือชก ซาร์รี่ ให้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการ
ในตอนนี้แฟนๆเชลซี พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ปกติแล้วก็ไม่ได้ชอบซาร์รี่นะ แต่เคสนี้ รู้สึกสงสารกุนซืออิตาเลียนจริงๆ และเกป้าก็สมควรโดนลงโทษทางวินัย ทั้งดร็อปและปรับเงิน
นอกจากนั้น การที่เขาไม่ยอมโดนเปลี่ยนออก กลายเป็นว่าไปตัดโอกาสของวิลลี่ กาบาเยโร่ไปโดยปริยาย
ปกตินายทวารมือ 2 ของทีมใหญ่ แทบจะไม่ได้ลงสนามอยู่แล้ว และเมื่อมีโอกาสได้โชว์ผลงานนานๆที ก็กลับมีดราม่าไร้สาระนี้เกิดขึ้นอีก และสุดท้ายกาบาเยโร่ ก็เลยไม่ได้ลง
ถามว่า เหตุการณ์นี้จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของเกป้า กับ กาบาเยโร่แย่ลงหรอ ยังไงก็ต้องมีอะไรติดอยู่ในใจแน่ๆ
จากเรื่องนี้ ตัวซาร์รี่เอง ก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกัน ว่าทำไมลูกน้องถึงได้กล้าปีนเกลียวขนาดนี้ เขาทำอะไรผิดพลาดตรงไหนไปหรือไม่
อีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือ ในทีมเชลซีไม่มีใครที่เป็น "ผู้นำ" ในการจัดการปัญหาเหล่านี้เลยหรอ
ลองคิดดูว่า ถ้ามีจอห์น เทอร์รี่อยู่ในทีม เชื่อว่าเขาสามารถเคลียร์ปัญหาจากในสนามได้เลย เรื่องคงไม่ดราม่าได้ขนาดนี้
แต่ดูเชลซี ชุดนี้ ไม่มีใครช่วยโค้ชแก้ปัญหาได้เลย ตอนเกป้าไม่ยอมออก มีแต่ดาวิด ลุยซ์ ที่เดินไปคุยนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีพาวเวอร์ในการยับยั้งปัญหา
กัปตันทีม เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ (ขนาดตอนกรรมการเสี่ยงทายเหรียญ ว่าจะยิงก่อนยิงหลัง อัซปิลิกวยต้า ยังต้องเดินไปตระเวนถามเพื่อน ว่าจะเอาไงดี แทนที่จะฟันธงฉับไปเลย คือเขาเป็นผู้เล่นที่ดีนะ แต่เป็นกัปตันทีมที่ดีหรือไม่ นี่คือคำถาม)
การเจอแมนฯซิตี้ แล้วแพ้ในนัดชิงมันไม่ใช่ประเด็นอะไรหรอก จริงๆถ้าวัดที่ในสนาม เกมนี้เชลซีเล่นได้ดี มีเสียงชื่นชมเยอะ
แต่จากเหตุการณ์นักเตะไม่ฟังโค้ช มันจึงทำให้เกมนัดนี้ เป็นความทรงจำที่แย่ไปโดยปริยาย
----------------------------------------------
ในช่วงดวลจุดโทษ เกป้า เซฟได้ 1 ลูก แต่อีก 4 ลูกโดนยิงเรียบ
คำถามคือ ถ้าเปลี่ยนนายทวาร เป็นวิลลี่ กาบาเยโร่ จะสามารถเซฟได้มากกว่านี้หรือไม่?
นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้ เพราะเกป้า ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น
ในมุมของเกป้า เขาไม่เคยได้แชมป์ระดับสโมสรแม้แต่รายการเดียวในชีวิตนี้ ดังนั้น เมื่ออุตส่าห์พาทีมมาถึงนาทีที่ 120 ในนัดชิงบอลถ้วยแล้ว ก็ย่อมอยากลงเล่นเองเป็นธรรมดา
ก็เข้าใจอยู่ ว่าเกมนัดชิงคาราบาวคัพ สำหรับเกป้า มันมีความสำคัญ
สำคัญ... จนลืมสิ่งที่ควรกระทำไปหมด
แม้ไม่อยากเปรียบเทียบ แต่ลองไปดูแจสเปอร์ ซิเลสเซ่นสิ
กรณีนั้น มันคือรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกเลยนะ มันสำคัญยิ่งกว่าฟุตบอลถ้วยลีกคัพด้วยซ้ำ
วันนั้นซิเลสเซ่น ยังยอมรับการตัดสินใจของโค้ชโดยดี แล้วยอมเปลี่ยนตัวออก แม้ในใจจะโมโหมากก็ตาม
ดังนั้นกับเคสของเกป้า ถ้าหากเขายังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
คนจะไม่จดจำในฐานะนายทวารที่แพงที่สุดในโลกหรอก
แต่จะจดจำในฐานะเด็กไม่รู้จักโต ที่ไร้ความเป็นมืออาชีพต่างหาก
#CHELSEA
ผมไปเจอมาจากเพจนึงเค้าพูดถึงพฤติกรรมของเกป้าเทียบกับซิเลนเซ่นครับ
ในฟุตบอลโลก 2014 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมระหว่างฮอลแลนด์ กับ คอสตาริก้า
เกมเป็นไปอย่างสูสี ทั้งสองทีมบี้กันจนถึงนาทีที่ 119 ซึ่งดูทรงแล้วเกมไปถึงการดวลจุดโทษแน่นอน
ปรากฏว่า โค้ชของทีมชาติฮอลแลนด์ หลุยส์ ฟาน กัล ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน นั่นคือ การเปลี่ยนผู้รักษาประตูเพื่อลงมาเซฟจุดโทษ
แจสเปอร์ ซิเลสเซ่น ทำผลงานดีมาตลอดเกม แต่ทว่า ฟาน กัล หาได้แคร์ไม่ เขาส่งเอาทิม ครูล นายทวารมือ 2 ลงมาเพื่อเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ
นี่เป็นแผนการที่ฟาน กัล เตรียมไว้นานแล้ว เขาแอบซ้อมทิม ครูลอย่างลับๆ โดยไม่ให้ซิเลสเซ่นรู้ตัว
"เราไม่บอกเรื่องนี้กับซิเลสเซ่นก่อนเกม" ฟาน กัลเผย เขาต้องการให้ซิเลสเซ่น มีสมาธิกับเกมเต็มที่
"แต่แน่นอน นายทวารแต่ละคนมีจุดดีจุดด้อยที่ต่างกัน ทิม ครูล มีช่วงแขนที่ยาวกว่า และมีสถิติเซฟจุดโทษที่เหนือกว่าซิเลสเซ่น"
"ผมบอกเรื่องนี้กับทิม และให้เขาไปฝึกเรื่องการเซฟจุดโทษอย่างเดียว"
ในเกมกับคอสตาริก้า พอถึงนาทีที่ 119 ป้ายไฟเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย แทนที่ฮอลแลนด์จะส่งตัวยิงจุดโทษคมๆมาเพิ่มอีกสักคน
แต่เปล่าเลย ฟาน กัล ถอดหมายเลข 1 ซิเลสเซ่น ออก แล้วส่งหมายเลข 23 ทิม ครูลลงแทน
ทุกคนในสนาม รวมถึงผู้บรรยายฟุตบอล ต่างมึนงงกันทั่วหน้า มีงี้ด้วยหรอ เปลี่ยนนายทวารมาเซฟจุดโทษอย่างเดียว
และแน่นอน คนที่งงที่สุด ย่อมไม่พ้นแจสเปอร์ ซิเลสเซ่น เขาเตรียมตัวจะเซฟจุดโทษจากคอสตาริก้าแล้ว แต่อยู่ๆก็โดนเปลี่ยนตัวกะทันหันแบบนี้ คือให้ตายเถอะ โค้ชไม่เชื่อมือเขาหรือไง ว่าจะเซฟจุดโทษได้
ซิเลสเซ่น วิ่งออกจากสนาม ดูสายตาก็รู้ว่าเขาไม่ได้พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่เขาก็ยังออกมา ตามคำสั่งโค้ช
เมื่อเดินพ้นสนามสิ่งแรกที่ซิเลสเซ่นทำ คือเตะขวดน้ำเปรี้ยง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น
"การเปลี่ยนนายทวารท้ายเกมนี่เป็นอะไรที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลย" แกรี่ ลินิเกอร์ พิธีกรของบีบีซีเผย "และมันดูเป็นการทำร้ายจิตใจแจสเปอร์ ซิเลสเซ่นด้วย"
ซิเลสเซ่น สงบสติอารมณ์ข้างสนามได้ราวๆ 5 นาที จิตใจเขาสงบลงแล้ว จากนั้นก็สวมเสื้อกั๊ก และยืนขึ้นให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีมที่กำลังสู้อยู่
ถึงจุดนั้น เขาเข้าใจว่า สาเหตุที่ฟาน กัล เปลี่ยนเขาออก มันย่อมมีเหตุผล ในขณะที่เขาเป็นมือหนึ่งของทีมชาติ แต่นายทวารมือ 2 ทิม ครูล ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อสร้างประโยชน์กับทีมให้มากที่สุด
การที่ส่งครูลลง ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจเขาหรอก แต่โค้ชแค่มองว่า ถ้าใช้งานครูล ทีมจะมีโอกาสเข้ารอบมากกว่าแค่นั้น
ในกีฬาฟุตบอล มันไม่ใช่มีแค่ 11 คนในสนาม แต่มันต้องมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน รวมถึงกลุ่มตัวสำรอง และสตาฟฟ์โค้ชด้วย
สุดท้าย การดวลจุดโทษครั้งนั้น ครูล เซฟได้ 2 จุดโทษ พาฮอลแลนด์เอาชนะคอสตาริก้า ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
และคนแรกที่วิ่งมาดีใจกับทิม ครูล คือใครรู้ไหมครับ
แจสเปอร์ ซิเลสเซ่น นั่นเอง
เรียกได้ว่า การตัดสินใจของฟาน กัล ในครั้งนั้นสมบูรณ์แบบ เพอร์เฟ็กต์ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ
แต่แน่นอนส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมซิเลสเซ่น แม้จะรู้สึกแย่ ที่โดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีสุดท้าย แต่เขาก็ยังยอมออกจากสนามโดยดี เขาเชื่อในสิ่งที่โค้ชบอก และเชื่อในเพื่อนร่วมทีมว่า สามารถ "ทำได้"
----------------------------------------------
จากเหตุการณ์ของทีมชาติฮอลแลนด์ครั้งนั้น ผ่านมาอีก 5 ปี ในฟุตบอลคาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศ เกิดเหตุการณ์คล้ายๆอย่างนั้นอีก
เกมระหว่างเชลซี กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกันอยู่ 0-0 จนถึงนาทีที่ 119 เมาริซิโอ ซาร์รี่ โค้ชเชลซี ตัดสินใจเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย ด้วยการเตรียมส่ง วิลลี่ กาบาเยโร่ ลงสนามเพื่อเอาไปเซฟจุดโทษของแมนฯซิตี้
เกป้า อาริซ่าบาลาก้า ไม่ใช่นายทวารที่แย่ เขาคือเจ้าของราคาสถิติโลก 71.6 ล้านปอนด์ ขณะที่ในเกมนี้ ก็ยังคงเหนียวแน่นไม่เสียประตู
อย่างไรก็ตาม หมากตานี้ของซาร์รี่ เรารู้ได้ว่าเขาไม่ได้คิดมาแบบลวกๆ แต่ซาร์รี่ วางแผนไว้อย่างรอบคอบแล้ว ว่าถ้าถึงจุดโทษ แล้วยังเหลือโควต้าอีกสักตัวให้เปลี่ยน จะใช้งานกาบาเยโร่แน่ๆ
ทำไมต้องเป็นกาบาเยโร่?
ข้อแรกคือ กาบาเยโร่ เคยเล่นอยู่กับแมนฯซิตี้ มา 3 ฤดูกาล ดังนั้นเขารู้จักผู้เล่นของทีมเรือใบสีฟ้าเป็นอย่างดี ซึ่งคนที่เคยฝึกด้วยกัน ซ้อมด้วยกันทุกวัน ย่อมรู้ว่าจะชอบยิงจุดโทษในสไตล์ไหน
คือมีคนที่รู้ Insider แบบนั้นอยู่ในมือ ไม่แปลกที่ซาร์รี่ จะต้องการเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในเกมนี้
เหตุผลข้อ 2 คือ กาบาเยโร่ เป็นสเปเชียลลิสต์เรื่องการเซฟจุดโทษคนหนึ่ง
จำได้ไหมครับ ในลีกคัพฤดูกาล 2015-16 แมนฯซิตี้ เข้าชิงกับลิเวอร์พูล เกมนั้นยืดเยื้อไปถึงการดวลจุดโทษ
ปรากฏว่า กาบาเยโร่ เซฟจุดโทษจากลูคัส , คูตินโญ่ และ อดัม ลัลลาน่า เซฟไปกระจุยจนช่วยแมนฯซิตี้ได้แชมป์
หรือในซีซั่นที่แล้ว ศึกเอฟเอคัพ รอบ 3 ที่เชลซี ดวลจุดโทษกับนอริช กาบาเยโร่ ก็ช่วยเซฟให้ทีมผ่านเข้ารอบ 4 ก่อนจะลงเอยด้วยการเป็นแชมป์ในที่สุด
ดังนั้น เมื่อหักลบเหตุผลแล้ว ซาร์รี่ จึงพร้อมจะส่งวิลลี่ กาบาเยโร่ลงสนามในช่วงท้ายแมตช์ เพื่อจุดประสงค์มาให้เซฟจุดโทษอย่างเดียวนี่แหละ
ติดปัญหาเพียงอย่างเดียว คือ นายทวารในสนาม ดันไม่ใช่แจสเปอร์ ซิเลสเซ่น แต่ดันเป็น เกป้า
และเกป้า ไม่ยอมออกจากสนาม เขาไม่สนว่าใครจะรอข้างสนาม เขาอยากจะเล่นต่อ อยากจะเซฟจุดโทษ และจะไม่ยอมออกจากสนามแน่นอน
----------------------------------------------
ในมุมของเกป้า เขาอาจมองว่า ตัวเองมีอาการบาดเจ็บเล็กๆ ราวๆนาที 118 ซึ่งทำให้ผู้จัดการทีมอาจจะกลัวว่าเขาจะเซฟจุดโทษไม่ไหว จึงอยากเปลี่ยนตัวนายทวาร
ซึ่งเขาก็พยายามยกมือบอกว่า ตัวเองเล่นไหว ไม่ได้บาดเจ็บ ไม่ได้ตะคริวขึ้น ไม่ต้องเปลี่ยนตัว
แต่สำหรับซาร์รี่ เขายืนยันว่า ไม่ต้องการให้นายทวารที่ร่างกายไม่พร้อมลงเซฟจุดโทษ ยิ่งประกอบกับการที่มีวิลลี่ กาบาเยโร่ อยู่ในทีม เกป้า ก็สมควรโดนเปลี่ยนออกที่สุดแล้ว
แต่ก็เหมือนเดิม คือเกป้า ยังไงก็ไม่ยอมออกจากสนาม
เขาไม่คิดแม้แต่จะมาพูดคุยดีๆกับซาร์รี่ที่ข้างสนาม แต่ใช้วิธีทำไม้ทำมือ และดึงดันจะเล่นต่อ
จุดสำคัญในเรื่องนี้ คือ "กฎของเอฟเอ" ระบุแบบนี้ครับ ว่า
If a player who is to be replaced refuses to leave, play continues
แปลว่า ถ้าหากผู้เล่นในสนามปฏิเสธที่จะเปลี่ยนตัว เกมก็ต้องดำเนินต่อไป
จอน มอสส์ ผู้ตัดสินในเกม เห็นแล้วว่าเกป้ายังไงก็ไม่ยอมออก จึงเดินมาแจ้งกับซาร์รี่ ว่าตัวนักเตะไม่ยอมโดนเปลี่ยนตัวออกนะ
ในสถานการณ์นี้ซาร์รี่เอง ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้จะอยากเปลี่ยนตัวแค่ไหน แต่ถ้านักเตะดึงดัน จะยืนในสนามซะอย่าง เขาก็จะได้เล่นต่อไป
จุดที่น่าสังเกตก็คือ เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นว่า ซาร์รี่ เสียการควบคุมในห้องแต่งตัวไปอย่างสิ้นเชิง
ลองคิดว่าถ้าเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สั่งให้นักเตะสักคนเปลี่ยนตัวออก จะมีใครไหมที่กล้าบอกเฟอร์กี้ว่า กูไม่สน กูอยากเล่นต่อ
เรื่องแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับโค้ชคนไหนในระดับพรีเมียร์ลีก แต่มันเกิดขึ้นกับซาร์รี่
ไม่แปลกที่ซาร์รี่ รวมถึงจานฟรังโก้ โซล่า จะหงุดหงิดขนาดนั้น เพราะการที่นักเตะไม่ฟังใครเลยแม้แต่เฮดโค้ช มันส่อให้เห็นถึงปัญหาภายในที่ร้าวลึก
โดนเปลี่ยนตัวออก ก็กูจะไม่ออกอ่ะ จะทำไม ยังไงเกมหน้าก็ต้องใช้งานกูอยู่ดี กูคือนายทวารแพงที่สุดในโลกนะ
ดังนั้นถามว่าเซอร์ไพรส์ไหมที่สุดท้าย เชลซีแพ้จุดโทษ พลาดแชมป์ลีกคัพ
คำตอบคือไม่เลย ในขณะที่นักเตะกับโค้ชเชลซียังปีนเกลียวกันอยู่ ลองไปดูทีมตรงข้ามสิ
นักเตะแมนฯซิตี้ทุกคน เชื่อมั่น และศรัทธาในตัวเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเสมอ มันต่างกันชัดนะ
และเมื่อทีมฟุตบอลต้องขับเคลื่อนด้วยสปิริตภายในทีม เราก็เดาได้ว่าตอนจบของเรื่องนี้ จะลงเอยอย่างไร เชลซีปิดโอกาสชนะของตัวเองไปแล้ว
----------------------------------------------
ถามว่าเคสนี้ ใครผิด?
แน่นอน เกป้า ต้องผิด ที่ไม่แสดงความเป็นมืออาชีพ
เขาอาศัยช่องว่างของกฎในการลงเล่นต่อไปจนจบเกม มัดมือชก ซาร์รี่ ให้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการ
ในตอนนี้แฟนๆเชลซี พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ปกติแล้วก็ไม่ได้ชอบซาร์รี่นะ แต่เคสนี้ รู้สึกสงสารกุนซืออิตาเลียนจริงๆ และเกป้าก็สมควรโดนลงโทษทางวินัย ทั้งดร็อปและปรับเงิน
นอกจากนั้น การที่เขาไม่ยอมโดนเปลี่ยนออก กลายเป็นว่าไปตัดโอกาสของวิลลี่ กาบาเยโร่ไปโดยปริยาย
ปกตินายทวารมือ 2 ของทีมใหญ่ แทบจะไม่ได้ลงสนามอยู่แล้ว และเมื่อมีโอกาสได้โชว์ผลงานนานๆที ก็กลับมีดราม่าไร้สาระนี้เกิดขึ้นอีก และสุดท้ายกาบาเยโร่ ก็เลยไม่ได้ลง
ถามว่า เหตุการณ์นี้จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของเกป้า กับ กาบาเยโร่แย่ลงหรอ ยังไงก็ต้องมีอะไรติดอยู่ในใจแน่ๆ
จากเรื่องนี้ ตัวซาร์รี่เอง ก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกัน ว่าทำไมลูกน้องถึงได้กล้าปีนเกลียวขนาดนี้ เขาทำอะไรผิดพลาดตรงไหนไปหรือไม่
อีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือ ในทีมเชลซีไม่มีใครที่เป็น "ผู้นำ" ในการจัดการปัญหาเหล่านี้เลยหรอ
ลองคิดดูว่า ถ้ามีจอห์น เทอร์รี่อยู่ในทีม เชื่อว่าเขาสามารถเคลียร์ปัญหาจากในสนามได้เลย เรื่องคงไม่ดราม่าได้ขนาดนี้
แต่ดูเชลซี ชุดนี้ ไม่มีใครช่วยโค้ชแก้ปัญหาได้เลย ตอนเกป้าไม่ยอมออก มีแต่ดาวิด ลุยซ์ ที่เดินไปคุยนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีพาวเวอร์ในการยับยั้งปัญหา
กัปตันทีม เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ (ขนาดตอนกรรมการเสี่ยงทายเหรียญ ว่าจะยิงก่อนยิงหลัง อัซปิลิกวยต้า ยังต้องเดินไปตระเวนถามเพื่อน ว่าจะเอาไงดี แทนที่จะฟันธงฉับไปเลย คือเขาเป็นผู้เล่นที่ดีนะ แต่เป็นกัปตันทีมที่ดีหรือไม่ นี่คือคำถาม)
การเจอแมนฯซิตี้ แล้วแพ้ในนัดชิงมันไม่ใช่ประเด็นอะไรหรอก จริงๆถ้าวัดที่ในสนาม เกมนี้เชลซีเล่นได้ดี มีเสียงชื่นชมเยอะ
แต่จากเหตุการณ์นักเตะไม่ฟังโค้ช มันจึงทำให้เกมนัดนี้ เป็นความทรงจำที่แย่ไปโดยปริยาย
----------------------------------------------
ในช่วงดวลจุดโทษ เกป้า เซฟได้ 1 ลูก แต่อีก 4 ลูกโดนยิงเรียบ
คำถามคือ ถ้าเปลี่ยนนายทวาร เป็นวิลลี่ กาบาเยโร่ จะสามารถเซฟได้มากกว่านี้หรือไม่?
นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้ เพราะเกป้า ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น
ในมุมของเกป้า เขาไม่เคยได้แชมป์ระดับสโมสรแม้แต่รายการเดียวในชีวิตนี้ ดังนั้น เมื่ออุตส่าห์พาทีมมาถึงนาทีที่ 120 ในนัดชิงบอลถ้วยแล้ว ก็ย่อมอยากลงเล่นเองเป็นธรรมดา
ก็เข้าใจอยู่ ว่าเกมนัดชิงคาราบาวคัพ สำหรับเกป้า มันมีความสำคัญ
สำคัญ... จนลืมสิ่งที่ควรกระทำไปหมด
แม้ไม่อยากเปรียบเทียบ แต่ลองไปดูแจสเปอร์ ซิเลสเซ่นสิ
กรณีนั้น มันคือรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกเลยนะ มันสำคัญยิ่งกว่าฟุตบอลถ้วยลีกคัพด้วยซ้ำ
วันนั้นซิเลสเซ่น ยังยอมรับการตัดสินใจของโค้ชโดยดี แล้วยอมเปลี่ยนตัวออก แม้ในใจจะโมโหมากก็ตาม
ดังนั้นกับเคสของเกป้า ถ้าหากเขายังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
คนจะไม่จดจำในฐานะนายทวารที่แพงที่สุดในโลกหรอก
แต่จะจดจำในฐานะเด็กไม่รู้จักโต ที่ไร้ความเป็นมืออาชีพต่างหาก
#CHELSEA