สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้จะมาขอเล่าประสบการณ์การใช้ facial oils ที่เราใช้อยู่ตอนนี้ทั้งหมดค่ะ
ก่อนอื่นบอกก่อนว่าเรามาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ เกือบ2 ปีได้แล้ว เป็นพื้นที่ที่มีอากาศแห้งมากๆๆๆๆๆๆ
ขนาดเลย์ที่เราซื้อมากินไม่หมดลืมปิดถุงทิ้งไว้ข้ามคืน วันถัดมายังกรอบอยู่เลยอ่า
แล้วเราเป็นคนผิวแห้งอยู่แล้ว ลำพังจะทาแค่ moisturizing cream อย่างเดียวมันก็ยังแห้งอยู่
เวลาทาครีมเฉยๆจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอลง make up เข้าไปแล้ว เห็นผิวลอกชัดเจน เลยคิดว่าตัวเองน่าจะต้องใช้ Oils แล้วละ
แต่เราก็ไม่ได้ใช้แค่ oil อย่างเดียว moisturizing cream ก็ยังใช้อยู่ปกตินะคะ


เราก็พยายามไปดูตามวิดีโอ ที่เขารีวิวกันว่าเขาใช้อะไรกันบ้าง เลยอยากจะมาบอกต่อว่า facial oils แต่ละแบรนด์มีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง เผื่อจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ในการตัดสินใจใช้ แต่หลักๆเราเน้นเรื่องความชุ่มชื้นอยู่แล้ว oils แต่ละตัวก็มีสรรพคุณแตกต่างกันนิดหน่อย ไปดูกันเลยจ้า

1.Pure Argan oil Josie Maran
ตัวนี้เคยลองใช้ตัวทดลองมาบ้างตอนอยู่ไทย เคยไปเดินสำรวจตลาดเกี่ยวกับ organic skin care มาอยู่บ้างและเดินไปเจอตัวนี้จากร้าน All about you organics เลยสะดุดตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าเขายังเอามาขายอยู่รึป่าว ลองใช้อยู่พักนึงและติดใจ ด้วยความที่มันเป็น “Organic“ บวกกับ Argan oil นอกจากจะเป็น moisturizer แล้วยังช่วยเรื่อง Whitening อีกด้วย ช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นและลดรอยสิวในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว
-ผิวสัมผัส เวลาทาที่หน้าไม่ค่อยเนอะหนะเท่าไหร่ ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจะค่อยๆซึมเข้าไปในผิว แนะนำให้ทาทั้งกลางวันและกลางคืน
-ไม่มีกลิ่นเพราะตัวนี้เป็น Argan oil 100%
-ราคาที่ไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1500฿ (50ml)ตัวนี้ให้ 8|10 คะแนน

2.L'Occitane Divine Youth Oil
ตอนนี้เราอินเลิฟกับตัวนี้มากๆ เราใช้ 3ครั้งแรก รู้เลยว่าช่วยเหลือความแตกร้าวบนใบหน้าของเราได้จริง ผิวชุ่มชื่นขึ้นจริงๆ
ความชุ่มชื่นแล้วเขายังโชว์อีกว่าเป็น ‘youthful skin’ อีกต่างหาก
-เนื้อบางเบา ทาแล้วจะรู้สึกเหนอะแรกๆ แต่พอทิ้งไว้ซักพักจะซึมเข้าผิวเอง เราทาทั้งกลางวันกลางคืนเลยจ้า
-กลิ่นจะเป็นแนวดอกไม้ ด้วยสารสกัดหลักจะมาจากดอก Immortelle
-ราคาที่ไทยเราไม่แน่ใจแต่เราได้มาในราคา 3,100฿ (30ml) ตัวนี้ให้คะแนน 10|10

3.La Mer The Renewal Oil
ตัดสินใจอยู่นานมากไม่รู้จะซื้อดีมั้ย เพราะนางแพงเหลือเกิน เลยซื้อมาทดลองแค่ขวดเล็กๆก่อน ดูจากขวดจะเห็นได้ว่าเราใช้ไปเยอะมากแล้ว
นางช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูสภาพผิว ดีมากเหลือเกิน แต่ถามเพื่อนบางคนก็แพ้นะ แต่เราไม่แพ้
-เนื้อสัมผัสจะมีความบางเบามากๆ เวลาที่ใช้บนผิวหน้าเราใช้เยอะพอสมควรเพราะไม่เห็นถึงความเนอะหนะเลย ทาแล้วซึมเลย
อาจจะไม่ได้ช่วยถึงความชุ่มชื้นเท่าไหร่จะไปทาง skin booster มากกว่า ส่วนตัวเราทาเฉพาะกลางวัน
-กลิ่นของเขาจะเป็นเอกลักษณ์บอกไม่ถูก จะดอกไม้ก็ไม่ใช่ จะทะเลก็ไม่เชิง
-ราคา 4,000฿ นิดๆ (15ml) เราให้ 9|10 คะเเนน (1คะแนนตัดไปจากราคา555)

4.CLARINS Santal Face Treatment Oil
ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อแต่ก็ตัดสินใจซื้อเพื่อมาใช้คู่กับ serum ของนาง จะเน้นในเรื่องของความชุ่มชื่นโดยเฉพาะ บางคนก็ว่าช่วยในเรื่องสิว แต่พอได้มาก็ว้าวในประสิทธิภาพของนาง เราแนะนำให้ทาเฉพาะกลางคืน
-เนื้อสัมผัสเหนะหนะมาก เราเคยลองทาตอนกลางวันแล้วไม่รอด เลยเลือกทาเฉพาะกลางคืนเท่านั้น การซึมเข้าสู่ผิวไม่ต้องพูดถึงใช้เวลานานมากๆ ข้ามคืนเลยแล้วกัน ตื่นขึ้นมายังรู้สึกถึงความมันวาวบนใบหน้าอยู่เลยจ้า
-เราชอบกลิ่นเขามากๆ กลิ่นจะออกไปทางดอกไม้ๆสมุนไพรๆหน่อยๆ ดมแล้วรู้สึกดี
-ส่วนราคาเราได้มาที่ 1860฿ (30ml) คะแนน 8|10

5.VitaminE skin oil
เราได้มาเพราะความบังเอิญ เพราะเราเกิดอุบัติเหตุนากน้ำมันลวกที่แขน แล้วมีเพื่อนแนะนำให้ใช่ vitamin E ทาที่แขนแล้วแผลเป็นจะหาย
เลยลองเอามาใช้ทาที่ใบหน้าตรงรอยสิวที่พึ่งหายไปตอนเป็นประจำเดือน เพราะเห็นว่าถ้านางช่วยทำให้รอยแผลหายได้ นางก็น่าทำให้รอยสิวหายได้เหมือนกัน ปรากฎว่ารอยสิวค่อยๆหายไปจ้า เราเลยนำมาเป็ย facial oil ในลิสของเราซะเลย
ถ้าเพื่อนๆหาแบบนี้ไม่เจอ แนะนำให้หาที่เป็น แคปซูลคล้ายๆแคปซูลของน้ำมันตับปลาก็ได้นะคะ เราว่าใช้ได้เหมือนกัน
ส่วนผสมของตัวนี้จะมีแค่ coconut oil , custer oil และ vitamin E ค่ะ
-ผิวสัมผัสไม่เหนอะ ลื่นๆ ประมาณ 5 นาทีถึงจะซึม
และไม่มีกลิ่นค่ะ ได้มาในราคาประมาณ 200฿ ให้ 8|10 ค่ะ

จบแล้วกับการรีวิว
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเรา ผิดพลาดอะไรขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้า 🙏🏻