"ขอเล่าให้ฟังก่อน"
N.5 L'eau เกิดจากความเป็นจริงที่ว่าทาง Chanel เริ่มกุมขมับมาหลายปี เนื่องจากตัว No.5 eau de parfum รุ่นดั้งเดิมนั้นไม่ค่อยจะเป็นที่ถูกจริตคนรุ่นใหม่ซักเท่าไหร่นัก ถามว่าคนรุ่นใหม่ๆชอบมีไหมมันก็คงจะมีบ้างแหละ แต่ที่รู้ๆไม่ชอบน่ะเยอะกว่า Chanel คิดไม่ตกว่าหากวันนึงคนรุ่นเก่าๆที่หลงใหล No.5 รุ่นดั้งเดิมเริ่มทยอยลาโลกไป แล้วจะเอา No.5 ไปขายใคร๊
N.5 L'eau ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของ Chanel ที่จะหยิบจับน้ำหอมตัวดั้งเดิมที่สร้างชื่อเสียงให้แบรนด์มาทำใหม่ ก่อนหน้านี้ก็มี No.5 eau premiere (2007) , No.5 eau sensuel (2004) ซึ่งก็ถูก discontinued ไปทั้งหมด เหลือแค่ตัว Eau premiere ที่เอามาปรับสูตรใหม่อีกทีในปี 2015 ไม่ต้องบอกชัดๆก็พอจะเดาได้กว่า Chanel กำลังดิ้นรนรักษา essential ของแบรนด์เอาไว้ จากผลิตภัณฑ์ iconic ทั้งหลายทั้งแหล่ที่มีอยู่ แต่น้ำหอม ไม่เหมือนเสื้อผ้า แจ็คเก็ตของ Chanel หรือกระเป๋ารุ่น2.55 อาจจะคลาสสิคอยู่ข้ามกาลเวลา ส่วนน้ำหอม No.5 นั้น ไม่ใช่
กลับมาครั้งนี้ Chanel ขอลองอีกซักตั้ง ด้วยการส่ง No.5 L'eau มาวางขาย เพื่อกอบกู้ความนิยมในไลน์ของ No.5 จากคนรุ่นใหม่ เจาะจงส่งสาสน์ไปที่
มิลเลเนี่ยลโต้งๆ ด้วยการใช้ลิลี่ โรส เดปป์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และโปรโมทด้วยการส่งน้ำหอมในกับดารา เซเลบริตี้ในช่วงอายุ 20กลางๆลงมา
"กลิ่นเป็นยังไง???"
- ช่วงแรก ยังคงรักษาความเป็น No.5 ที่กลิ่นจะออกแป้งๆจากแอลดีไฮด์ ผสมกับความหอมหวานเย้ายวนใจจากกระดังงา ดอกไม้ชนิดนี้ต้องใช้คำว่าหอมหวน ถ้าคนไม่ชอบจะกลายเป็น"หอมหลอกหลอน"เพราะหอมหวานที่มันหนักๆแน่นๆนี่แหละ บ้านจขกท.เคยปลูกกระดังงาเมื่อนานมาแล้ว ดอกไม้ชนิดนี้หอมแรงดีๆจริงๆ หอมหวานๆเย็นๆ และจะส่งกลิ่นช่วงเย็นๆค่ำๆ ฟีลลิ่งที่ได้จากกลิ่นนี้มันก็ออกจะเย้ายวนแต่ลึกลับอยู่ซักหน่อย แต่ไม่ต้องกลัวด้วยความที่ L'eau เขาตั้งใจทำมาให้กลิ่นโปร่ง จึงมีโน้ตของเลม่อนเข้ามาช่วย ทำให้ลดความหนักแน่นของแอลดีไฮนด์และกระดังงาลงไปเยอะ
สรุปว่าตรงนี้ดมแล้ว เอ้ออออ No.5 จริงๆด้วย แต่เป็น No.5 ที่โปร่งสบายขึ้นเยอะ
- ต่อมา กลิ่นของน้ำหอมช่วงแรกอยู่ไม่นานนัก ผ่านไปซักพักกลิ่นก็จางไปเยอะแล้ว เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงกลาง เราจะได้กลิ่นมัสก์สะอาดๆอมเปรี้ยวจากส้มหน่อยๆ (ถ้าถามเราตรงนี้เราว่าค่อนข้างธรรมดานะ) จากนั้นก็จะมีกลิ่นของมะนาวเขียวที่ออกจะติดขมเล็กๆ เหมือนเวลาเราบีบน้ำมะนาวแล้วน้ำมันบนผิวมะนาวมันเริ่มออกมา มันก็จะเปรี้ยวๆขมๆนิดหน่อย ปนๆกับกลิ่นแป้งแห้งๆที่เหมือนแป้งเก่าๆคากระป๋อง จาก Orris root ไม่รู้ภาษาไทยเรียกอะไร
แอบผิดหวังเล็กน้อยกับน้ำหอมช่วงนี้
- ทิ้งท้าย ช่วงกลิ่นเบสมีความเหมือน น้ำหอม Allure eau de toilette อีกรุ่นนึงของ Chanel มาก หวานแป้งๆ อวลๆติดผิว แต่หวานแบบหลอมละลายผสมความหวานจากวานิลลาและกุหลาบ ตรงนี้เป็นส่วนที่เราชอบรองลงมาจากกลิ่นเปิด ช่วงเบสโน้ตอยู่ติดผิวค่อนข้างนานกว่าช่วงอื่นๆ
ความติดทน ปานกลาง 5 - 6 ชั่วโมง ด้วยความที่มันเป็นน้ำหอมกลิ่นโปร่งๆ มันก็จะไม่ค่อยทนเท่าไหร่อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น5-6ชั่วโมงก็จัดว่านานแล้ว อยู่ในระดับที่ดี
ฟุ้งกระจาย ปานกลาง ไม่พุ่งใส่หน้า และไม่ถึงขั้นไม่ได้กลิ่นเลย
ผู้หญิงที่โผล่ขึ้นในหัวเมื่อได้กลิ่นนี้
ผู้หญิงแต่งตัวดี สวยคลาสสิค แต่มาลุคสบายๆ หรือประมาณ dress code ของฝรั่งที่เค้าเรียกว่า casual elegance อารมณ์เป็นสาวเก๋ๆ กระฉับกระเฉง
วางตัวสบายๆ พร้อมลุย แต่ classy และยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ ไม่ใช่สาวทอมบอยซะเลย ก็ผู้หญิงแบบ Chanel นั่นแหละ แต่เป็นผู้หญิงแบบ Chanel ในวันหยุดพักผ่อน ไม่ใช่วันที่เจ้าหล่อนกรุยกรายไปงานราตรี
เกรซ เคลลี่ ในลุคสบายๆวันหยุด ใส่เสื้อเชิร์ตง่ายๆ แต่ดูดี ดู classy ไหมละ
ถ้า No.5 L'eau เป็นผู้หญิงจริงๆก็แบบนี้เลย
สรุป
กลิ่นของ No.5 L'eau มันเด็กกว่า บรรดา No.5 ทุกตัวก็จริง แต่มันก็ไม่ได้สดใสร่าเริงปานเด็กสาววัย 17 - 18 อะไรขนาดนั้น Chanel นี่ทำน้ำหอมยังไง ก็จะออกมาสุขุมๆทุกกลิ่น ไม่ก็เย้ายวนยั่วยวนเป็นหญิงสาวเต็มวัยไปเลย
เราขอให้คะแนนที่ 8/10
Chanel ยังคงเป็นแบรนด์ที่ไว้ใจได้เรื่องน้ำหอมเสมอ เบลด์กลิ่นได้ดี แม้จะมีแอบน่าเบื่อบ้าง(สาเหตุที่ตัดไป2คะแนน)
No.5 L'eau เป็นกลิ่นที่เหมาะกับคนที่มองหาน้ำหอมที่ใช้ง่ายๆ แต่แฝงความมีคลาสเอาไว้นิดๆ เหมาะกับอากาศเมืองไทย
เป็นกลิ่นที่ less is not more but it's enough.
รีวิว Chanel - No. 5 L'eau เข้าใจซะใหม่ด้วยว่า ต่อไปนี้น้ำหอมตระกูล No.5 กลิ่นไม่แก่แล้วนะจ้ะ